“ตอนออกไปจากที่นี่ กลุ่มของพวกเจ้ามีกันทั้งหมดหกคน” ตู๋ซูเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่ตอนกลับมา พวกเจ้าทุกคนกลับแยกกันกลับตัวใครตัวมัน อีกทั้งในเวลานี้อีกสองคนก็ยังไม่กลับมาเลยด้วยซ้ำ ใครสามารถอธิบายให้ข้าฟังได้บ้างว่าอีกสองคนไปอยู่ที่ไหนหรือ”
อวิ๋นปี้ลั่วทำได้เพียงแค่จ้องมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ นางพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบพูดขึ้นว่า “ข้าลืมรายงานท่านไปเอง เจ้าเจ็ดยังเด็กอยู่ ดังนั้นหลังจากที่เขาทำภารกิจที่ตัวเองได้รับมอบหมายเสร็จสิ้น เขาจึงตามองค์ชายสามกลับไปนอน ส่วนนายน้อยหานกำลังตามเก็บกวาดสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ การทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และรักษาความลับของพวกเราเอาไว้ นายน้อยหานจึงเป็นคนที่เหมาะสมกับงานนี้ที่สุด”
“ดีมาก” ตู๋ซูเฟิงพยักหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับอวิ๋นปี้ลั่ว “แน่นอนว่าคนที่หน่วยพิฆาตวิญญาณบอกให้พวกเจ้าไปสืบข้อมูลมานั้นย่อมเป็นปัญหาไม่ผิดแน่ หากพวกเขาไม่มีปัญหา เช่นนั้นพวกเราก็คงไม่สั่งให้เจ้าทำภารกิจนี้ กุญแจสำคัญของภารกิจนี้คือการทดสอบว่าพวกเจ้าจะสืบมาได้หรือเปล่าต่างหากว่ามู่หรงหงตู๋นั้นเป็นต้นตอของปัญหาใด และเห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาเลยแม้แต่นิดเดียว”
“พวกข้า…” คุณชายทั้งสองคนคิดจะอธิบายด้วยความร้อนใจ
แต่ตู๋ซูเฟิงกลับตัดบททั้งสอง เขาเอ่ยช้าๆ ว่า “คุณชายเหลียง คุณชายหลี่ พวกเจ้าอาจจะรู้จักคนคนนี้”
พอพูดจบ ตู๋ซูเฟิงก็มองไปทางด้านหลังของตน แล้วสั่งว่า “ออกมาได้แล้ว”
“ขอรับ” น้ำเสียงไร้ความกระตือรือร้นขานรับ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น และเห็นชายหน้าตามีชีวิตชีวาคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาทางพวกนาง ร่างของเขาราวกับกำลังส่องแสงอยู่ภายใต้แสงที่ริบหรี่ยามค่ำคืน
ทันทีที่คนคนนั้นปรากฏตัวขึ้น สีหน้าของคุณชายทั้งสองคนก็พลันบิดเบี้ยวในทันที
อวิ๋นปี้ลั่วเร้นกายอยู่ในเงามืด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ในเวลานี้รอยยิ้มที่เคยฉาบอยู่บนใบหน้าของตู๋ซูเฟิงนั้นกลับหายวับไปจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย “ข้าได้เตือนเจ้าหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าจงอย่าเปิดเผยตัวตนของเจ้า หรือเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยพิฆาตวิญญาณให้ใครรู้โดยเด็ดขาด แต่เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนเพิกเฉยต่อคำเตือนของข้า”
ทันทีที่ได้ยินดังนี้ คุณชายทั้งสองก็ทรุดลงไปนั่งกับเก้าอี้ของตัวเองจนเกิดเสียงดังตุ้บ “เป็นไปได้อย่างไร คนคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ส่งคนสะกดรอยตามพวกเจ้าระหว่างที่พวกเจ้าทำภารกิจหรือ” ตู๋ซูเฟิงตวัดสายตาเย็นชาไปทางพวกเขา แล้วพูดต่อ “พวกเจ้าแต่ละคนมีบททดสอบเป็นของตัวเอง เพียงเพราะเจ้าถูกแยกตัวออกจากกลุ่ม และถูกขู่ด้วยมีดเพียงเล่มเดียว เจ้าก็ทรยศหน่วยพิฆาตวิญญาณได้อย่างง่ายดาย หน่วยพิฆาตวิญญาณไม่ต้องการคนอย่างเจ้า เม่ย จับสองคนนี้ลงไปชั้นล่าง แล้วจัดการล้างความทรงจำของพวกเขาเสีย”
ชายที่ชื่อเม่ยส่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมา แล้วเดินเข้าไปแบกร่างของทั้งสองขึ้นอย่างง่ายดาย “ไปกันได้แล้ว เจ้าพวกเด็กขี้ขลาดทั้งสอง”
อวิ๋นปี้ลั่วงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า นางรู้สึกได้ถึงความสับสนเล็กน้อยในหัว แต่ตราบใดที่คนที่ถูกพาตัวไปนั้นไม่ใช่นาง เช่นนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
“คุณหนูอวิ๋น” ตู๋ซูเฟิงเคลื่อนสายตาจากชายทั้งสองที่กรีดร้องตัวสั่นงันงกไปทางอวิ๋นปี้ลั่ว “ความสามารถของเจ้านั้นก็จัดว่าเกือบจะไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังพอรับได้”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น มุมปากบางของอวิ๋นปี้ลั่วก็กระตุกขึ้นเป็นเส้นโค้งอันงดงาม นางหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย บนใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มมั่นใจ
แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คือคำพูดประโยคถัดมาของตู๋ซูเฟิง “ครั้งนี้คนที่มีผลงานดีที่สุดก็ยังคงเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวย เวยเวย เจ้าเก็บเงินรางวัลนั้นเอาไว้เถอะ”
“ได้” อารมณ์ของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามกับรอยยิ้มของอวิ๋นปี้ลั่วที่ดูจะแข็งค้างไป กล้ามเนื้อบนใบหน้าของนางกระตุกเกร็ง นางกัดริมฝีปากล่างด้วยความประหม่าอย่างมาก และพยายามฝืนปั้นยิ้มออกมา จากนั้นนางก็กลับไปสู่ท่าทางอันสง่างามดังเดิม นางชูถ้วยชาขึ้นในอากาศ “ขอแสดงความยินดีกับเวยเวยด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปฏิเสธ นางตวัดสายตาไปหาอีกฝ่ายด้วยความสนใจ จากนั้นจึงชูถ้วยชาตอบ แล้วดื่มสิ่งที่อยู่ในแก้วจนหมด ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแผ่วเบาว่า “ดูเหมือนความจำของแม่นางอวิ๋นคงจะไม่ดีเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วอย่างไรว่าพวกเราไม่ได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น ดังนั้นอย่าเรียกข้าว่า ’เวยเวย’ อีก”
หลังจากพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้สนใจว่าอวิ๋นปี้ลั่วจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดราวกับเด็กสาวแรกแย้มออกมาอีกครั้งหรือไม่ นางหันไปหาตู๋ซูเฟิงอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่า “ถ้าท่านเจ้าสำนักไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัว”
วิ่งไปๆ กลับๆ มาตลอดทั้งคืน มิหนำซ้ำตลอดคืนที่ผ่านมานี้ก็ยังต้องเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ถึงสองครั้งในคืนเดียว
นอกจากนั้น คนพวกนั้นก็ยังยากที่จะรับมือด้วยทั้งสิ้น
โดยเฉพาะมู่หรงหงตู๋ที่ถูกอสูรทารกตนนั้นเข้าสิง - เขาทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเหนื่อยเป็นพิเศษ
นางสงสัยขึ้นมาว่าองค์ชายจะจัดการนางด้วยมือตัวเองหรือไม่ หากวันหนึ่งเขาค้นพบว่านางเองก็ยืมร่างคนอื่นอยู่เช่นกัน
เมื่อเห็นนางหาวติดกันถึงสองครั้ง ตู๋ซูเฟิงก็ตัดสินใจว่าจะไม่ถามนางเรื่องกองกำลังลับอีก เนื่องจากนางกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม นั่นก็หมายความว่าผลลัพธ์คงเป็นที่น่าพอใจ
เมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่ไม่สนใจนาง นิ้วของอวิ๋นปี้ลั่วก็กำผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตน ใบหน้าของนางแข็งกระด้างและติดจะซีดเซียว นัยน์ตาอันงดงามสุกใสของนางสั่นระริก พร้อมกันนั้นนางก็หันไปมองตู๋ซูเฟิงด้วยสีหน้าน่าสงสาร
แต่ตู๋ซูเฟิงไม่แม้แต่จะปรายตามองนางเลยด้วยซ้ำ เขาแค่ก้มหน้าลงทุ่มความสนใจให้กับงานของราชสำนักต่อ
“ท่านเจ้าสำนักเจ้าคะ” อวิ๋นปี้ลั่วรอจนกระทั่งเฮ่อเหลียนเวยเวยหายไปจากสายตาก่อนจะเริ่มพูด “เป็นความจริงหรือเปล่าเจ้าคะที่อดีตฮ่องเต้ไม่โปรดที่ข้าอยู่ข้างกายองค์ชาย”
ตู๋ซูเฟิงวางพู่กันในมือลง แล้วหันกลับไปมองนางเล็กน้อย เขาตอบนางกลับไปด้วยคำพูดง่ายๆ เพียงไม่กี่คำว่า “ที่นี่เป็นฐานของหน่วยพิฆาตวิญญาณ ไม่ใช่ที่ที่เหมาะให้พูดคุยเรื่องส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้น คำถามนี้เจ้าควรไปถามกับอดีตฮ่องเต้โดยตรงมากกว่า”
อวิ๋นปี้ลั่วย่อมรู้ดีว่าเวลาใดควรจะเดินหน้าหรือถอยหลัง เมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของตู๋ซูเฟิง นางก็รีบกลืนก้อนความรู้สึกที่อยู่ในลำคอของตนกลับลงไป แล้วฝืนยิ้มกว้างออกมา “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว ท่านเจ้าสำนักจะได้รีบพักผ่อนเหมือนกัน”
ตู๋ซูเฟิงพยักหน้า แล้วมองร่างของอวิ๋นปี้ลั่วที่เดินลับหายไปจากสายตา คิ้วยาวของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เขาไม่รู้ว่าหลานชายผู้แสนเย็นชาของเขาคิดอย่างไรกับอวิ๋นปี้ลั่ว
เมื่อมาถึงขั้นนี้ ข่าวลือหลากหลายเรื่องราวดูเหมือนจะไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ยากนักที่จะตัดสินใจได้ว่าข่าวใดควรเชื่อกันแน่
แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้ก็คือการปรากฏตัวของคนคนเดียวย่อมไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าการคำนวณและการคาดการณ์ของจวนอ๋องมู่หรงในครั้งนี้จะเกิดความผิดพลาดขึ้นเสียแล้ว…
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ จวนแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของเมืองหลวง
มู่หรงอ๋องฟังคำรายงานจากข้ารับใช้ กล้ามเนื้อทั้งหมดบนใบหน้าของเขากระตุกด้วยความเดือดดาล “องค์ชายสามยังอยู่ดีหรือ เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้เที่ยวจับใครต่อใครไปเป็นนักโทษเช่นนั้น?! อดีตฮ่องเต้ตามใจเขามากเกินไปจนเขาคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมายแล้วกระมัง! ข้าจะเข้าวังไปกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบเดียวนี้! ตระกูลมู่หรงเป็นเสนาบดีที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อราชวงศ์มาถึงสามชั่วอายุคน - ถ้าองค์ชายสามคิดจะจับคนตามอำเภอใจเช่นนี้ เขาก็ควรมีคำอธิบายดีๆ ให้กับข้า!”
“ฮอง ฮองเฮากราบทูลเรื่องนี้ไปแล้วขอรับ” ข้ารับใช้คนนั้นพุดตะกุกตะกัก “แต่ฮ่องเต้กลับเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้สาเหตุขอรับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น”
มู่หรงอ๋องประหลาดใจ “ฮ่องเต้เห็นด้วยหรือ”
“ขอรับ” ข้ารับใช้คนนั้นหลุบตาลง
มู่หรงอ๋องยังคงไม่เชื่อโดยสนิทใจ
ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงอันไพเราะก็ดังแว่วมาตามสายลมจากด้านในของห้องหนังสือ น้ำเสียงนั้นไม่เย็นชา แต่ก็ไม่ได้อบอุ่น “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเขารับมือยาก - ตอนนี้เจ้าก็คงจะตระหนักได้แล้วกระมัง”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น มู่หรงอ๋องก็ก้มหน้าลง เขาบอกให้ข้ารับใช้ออกไป แล้วจึงอ้าปากเรียกอีกฝ่าย “คุณชาย…”