ตอนฟ้าสว่าง ฮ่องเต้เสด็จมาถึงค่ายทหาร แต่ว่าก่อนเข้าค่ายทหาร เฉินตันจูถูกขับไล่ก่อน
ร่างของแม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่ในกระโจม หลี่จวิ้นโส่วเดินเข้ามา โจวเสวียนและองค์ชายสามก็เดินตามเข้ามา มีเพียงเฉินตันจูไม่ยอมฟังพระราชโองการ
ถึงแม้หลี่จวิ้นโส่วจะยังคงทำหน้าสุขุม แต่สีหน้าของเขาอ่อนโยนลงอย่างมาก หลังจากสั่งให้นางออกไป เขายังโน้มตัวเกลี้ยกล่อมหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าเสียงเบา “ท่านได้พบท่านแม่ทัพแล้ว”
เฉินตันจูมองเขา
ไม่รอเฉินตันจูพูด หลี่จวิ้นโส่วรีบพูดขึ้นก่อน “คุณหนูตันจู เวลานี้ดื้อรั้นไม่ได้ ขบวนเสด็จของฝ่าบาทกำลังจะถึงแล้ว เวลานี้หากท่านดื้อรั้นอีก คงต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน เวลานี้…”
พูดพลางมองร่างของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ถอนหายใจแผ่วเบา ไม่พูดสิ่งใดอีก
เวลานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อาจปกป้องนางได้แล้ว
แม่ทัพหน้ากากเหล็กจากไป เวลานี้ฝ่าบาทเศร้าโศกที่สุด หากเฉินตันจูบังอาจขัดขืน ฮ่องเต้ก็กล้าประหารนาง ให้นางถูกฝังไปพร้อมท่านแม่ทัพ
เฉินตันจูพยักหน้าตอบรับ ลุกขึ้นโดยไม่ได้พูดสิ่งใด เนื่องจากคุกเข่าเป็นเวลานาน ร่างของนางโซเซ หลี่จวิ้นโส่วรีบพยุงนางเอาไว้ โจวเสวียนที่ยื่นมือออกมาอยู่ด้านหลังชักเท้าที่ก้าวออกไปกลับมา
หลี่จวิ้นโส่วพูด “พวกเราไปกันเถิด”
เฉินตันจูก้มหน้าเดินตามออกไปด้านนอกอย่างเชื่อฟัง ไร้ซึ่งความเหิมเกริมเหมือนอดีต ตามหลักแล้วเมื่อเห็นท่าทางนี้ของนาง ภายในใจอาจรู้สึกสะใจเล็กน้อยที่เฉินตันจูมีวันนี้ แต่ความจริงแล้วคนที่เห็นต่างรู้สึกสงสารอย่างประหลาด…
แน่นอน ยกเว้นองค์รัชทายาท
“คุณหนูตันจูช่างน่าเสียดายเสียจริง” เขามองหญิงสาวที่ถูกคุมตัวออกไปโดยหลี่จวิ้นโส่วที่ถือพระราชโองการ พูดพลางถอนหายใจ “คงจะไม่อาจเข้าร่วมงานศพของท่านแม่ทัพได้แล้ว”
เฉินตันจูหยุดลง มองไปทางองค์รัชทายาท
หลี่จวิ้นโส่วอดที่จะพยุงนางเอาไว้ไม่ได้ เฉินตันจูยังคงไม่แสดงความโกรธหรือโวยวาย หากแต่พูดเสียงเบา “ท่านแม่ทัพอยู่ภายในใจของตันจู เข้าร่วมงานศพหรือไม่ หรือแม้แต่ไม่มีงานศพก็ไม่สำคัญ”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว “ไม่มีงานศพหมายความว่าอย่างไร ท่านแม่ทัพจะไม่มีงานศพได้อย่างไร เจ้ากำลังตำหนิฝ่าบาท…”
หลี่จวิ้นโส่วจับพระราชโองการพูดเสียงดัง “องค์รัชทายาท ฝ่าบาทกำลังจะเสด็จมา กระหม่อมมิอาจล่าช้าได้แล้ว”
องค์รัชทายาทเหลือบมองเฉินตันจูที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ยิ้มเย้ยหยันภายในใจ เฉินตันจูเจ้าเล่ห์เพียงนี้ ไม่ถูกความท้าทายหลอกล่อ แต่ไม่สนว่านางจะยโสหรือว่าแสร้งทำตัวน่าสงสาร ในสายตาขององค์รัชทายาทล้วนเป็นคนตายคนหนึ่ง
“ไปเถิด” เขาพูด
เฉินตันจูนึกบางอย่างขึ้นได้ นางเดินไปตรงหน้าของโจวเสวียน โจวเสวียนเบนหน้าหนีไม่มองนาง
“จู๋หลินและอาเถียนเป็นคนของข้า” เฉินตันจูพูด “นายบ่าวมีความผิดร่วมกัน ขังพวกเราไว้ด้วยกันเถิด”
โจวเสวียนไม่สนใจนาง
เฉินตันจูเพียงแค่พูด ไม่ได้ต้องการบังคับเอาคำตอบ พูดจบก็เดินตามหลี่จวิ้นโส่วจากไป จนกระทั่งเดินออกไป นางไม่ได้หันหลังกลับมามองอีกแม้แต่น้อย
แม่ทัพบางคนไม่คุ้นชินนักที่เห็นคุณหนูตันจูเป็นเช่นนี้
“จากไปครานี้ก็มิอาจพบแม่ทัพหน้ากากเหล็กได้อีกแล้ว ไม่แม้แต่จะร้องไห้” แม่ทัพท่านหนึ่งพึมพำ “ก่อนหน้านี้ร้องไห้มาค่ายทหาร เวลานี้เป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจเสียจริง”
ด้านข้างมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าเข้าใจ”
แม่ทัพผู้นั้นหันไปมอง เห็นว่าเป็นโจวเสวียน
โจวเสวียนมองเขา อธิบายอย่างตั้งใจ “ตอนที่บิดาของข้าเสีย ข้าก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมงานศพ นอกจากร้องไห้ไม่กี่ทีตอนได้ยินข่าว ต่อจากนั้นก็ไม่เคยร้องไห้อีก”
ท่านแม่ทัพย่อมเคยได้ยินเรื่องของโจวเสวียน จากนั้นโจวเสวียนจึงเข้าร่วมกองทัพแก้แค้นแทนบิดา…แตกต่างจากเฉินตันจูอย่างสิ้นเชิง มันเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนเกิดความเคารพเมื่อได้ยิน
ท่านโหวโจวคงเกิดอารมณ์เพราะเหตุการณ์นี้ เมื่อเห็นความตายจึงระลึกถึงผู้ที่จากไป
แม่ทัพกำลังครุ่นคิดสิ่งที่จะพูด โจวเสวียนส่ายหัวอักครั้ง “แต่ข้าก็ไม่เข้าใจ” เขามองหญิงสาวที่ถูกทหารล้อมรอบนำตัวจากไป
เขาไม่ร้องไม่ดื้อรั้นเพราะความเศร้าโศกและความเจ็บปวดที่มากเกินไป
แต่นางเศร้าโศกและเจ็บปวดเพราะสิ่งใด แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของนาง! หากแต่เป็นศัตรู
เขาไม่เข้าใจว่านางคิดสิ่งใดอยู่กันแน่!
ร่างของหญิงสาวที่ถูกทหารล้อมรอบหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงเกือกม้ากระทบพื้น มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากระยะไกล ฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว ทุกคนภายในค่ายทหารต่างคุกเข่ารอต้อนรับการเสด็จ
ฮ่องเต้เดินลงมาอย่างเชื่องช้าภายใต้การประคองขององค์รัชทายาท เสียงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าดังขึ้นภายในค่ายทหาร
…
หลี่จวิ้นโส่วนำตัวเฉินตันจูเข้าคุกหลวงในทันที เมื่อเข้าไปในคุกหลวง เฉินตันจูไม่แม้แต่มองดูสภาพแวดล้อมรอบด้าน ทำให้นางล้มป่วยลงทันทีที่เข้าคุกหลวง
ร่างกายของนางยังไม่หายสนิท ตามคำของหวังเจียน นางต้องนอนพักอีกสามสี่วัน แต่เนื่องจากเร่งรีบในการเดินทางกลับมา หลังจากกลับมาก็ได้ข่าวการป่วยของแม่ทัพหน้ากากเหล็กอย่างกะทันหันอีก ตามมาด้วยการตายของท่านแม่ทัพ นอกจากนี้องค์ชายสามและโจวเสวียนยังวางแผนคิดจะทำร้ายแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แรงกระทบอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้นางล้มป่วยลงอย่างรุนแรง ทันทีที่เข้าคุกหลวง นางก็เป็นไข้ขึ้นมาในคืนวันนั้น
เฉินตันจูหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเช้าหรือกลางคืน สิ่งเดียวที่รับรู้คือคนทั้งคนราวกับลอยอยู่ในทะเลสาบ ขึ้นๆ ลงๆ บางเวลาหายใจยากลำบากราวกับสำลักน้ำ บางเวลาร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง เวลานี้เป็นเวลาที่ผ่อนคลาย อีกทั้งยังมีความรื่นรมย์เล็กน้อย แต่ทุกครั้งในเวลานี้ ราวกับสติของนางก็ฟื้นคืนกลับมา
นางได้ยินเสียงร้องไห้ของอาเถียน ได้ยินเสียงโกรธเคืองของหลี่จวิ้นโส่ว อีกทั้งยังเห็นหลี่เหลียนและหลิวเวยล้อมอยู่รอบตัวนาง เช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้นาง อีกทั้งยังเห็นองค์หญิงจินเหยา องค์หญิงนั่งร้องไห้อยู่ข้างกายนางจนตาบวม
นางเห็นร่างขององค์ชายสามและโจวเสวียนด้วย แต่ทั้งสองคนราวกับยืนอยู่ในที่มืด เลือนรางเหมือนจริงแต่ก็เหมือนภาพลวง
ครั้งสุดท้ายที่ร่างกายเบาหวิวนั้น นางเห็นหวังไต้ฟูอีกด้วย
หวังเจียนฝังเข็มลงบนตัวนาง เป็นเข็มสีทองที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่นางลอยอยู่กลางอากาศ ร่างกายนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางแล้ว ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย นางมองดูอย่างสนใจ อีกทั้งยังอยากศึกษา
จนกระทั่งหวังเจียนโกรธ เขาพูดกับนางด้วยความโกรธ เพียงแต่เฉินตันจูไม่ได้ยิน เห็นเพียงรูปปากของเขา
เขาบอกว่า แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นอันใดหรือ เฉินตันจูกังวลเล็กน้อย นางพยายามเข้าใกล้หวังเจียนเพื่อฟังสิ่งที่เขาพูดให้ชัดขึ้น
ในที่สุดนางก็ได้ยินเสียงของหวังเจียน “แม่ทัพหน้ากากเหล็กบอกว่าจะมาพบเจ้าแล้ว”
เฉินตันจูอดดีใจไม่ได้ ใช่ นางป่วยมานานเพียงนี้ ยังไม่เห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเลย แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ควรมาแล้ว…
เมื่อความคิดของนางแล่นผ่านไป นางก็เห็นหวังเจียนฝังเข็มทองที่หนาแน่นนั้นลงไป
ในที่สุดเฉินตันจูก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดสุดหัวใจ นางส่งเสียงกรีดร้องออกมา คนจมลงในทะเลสาบอย่างแรงอีกครั้ง น้ำไหลเข้าปากของนาง นางพยายามสะบัดมือเพื่อขึ้นมาบนผิวน้ำ…
ในที่สุดนางก็ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ลืมตาขึ้น หายใจอย่างแรง มือทั้งสองข้างถูกคนจับเอาไว้ ข้างหูเป็นเสียงตะโกนด้วยความดีใจของอาเถียน
“คุณหนู!”
เฉินตันจูมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความฉงน แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เหมือนอาเถียน ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา…
หญิงสาวยิ้มให้นาง มือทาบลงบนใบหน้าของนาง พูดเสียงเบา “ตันจู อย่ากลัว พี่อยู่ตรงนี้”
ท่านพี่? เฉินตันจูหอบหายใจแรง นางยื่นมือทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง ท่านพี่มาได้อย่างไร ความคิดที่สับสนกำลังแล่นไปมาอยู่ในหัวของนาง ฮ่องเต้จะพระราชทานแต่งตั้งเหยาฝู พระราชทานแต่งตั้งท่านพี่ ต้องไปรับท่านพี่ ท่านพี่จะถูกรังแก…
“ผ่านไปแล้ว” เฉินตันเหยียนมองออกว่าหญิงสาวที่ไร้สติกำลังคิดเรื่องใด นางขยับเข้ามาแนบชิดกว่าเดิม พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ตันจูฆ่าคุณหนูเหยาแล้ว พวกเราไม่ต้องกังวลแล้ว”
ความคิดที่สับสนของเฉินตันจูกระจ่างชัดขึ้นมาเล็กน้อย ใช่ ถูกต้อง นางถอนหายใจยาวด้วยความ
โล่งอก คนล้มเอนไปทางด้านหลัง…
“คุณหนูจะสลบอีกแล้ว!”
“หยวนไต้ฟู!”
“อย่ากังวล ครานี้ไม่ใช่สลบ แต่เป็นการนอนหลับ”
เสียงของคนทั้งสามดังขึ้นอย่างวุ่นวาย จากนั้นเฉินตันจูจึงได้ยินเสียงฮัมเพลงแผ่วเบาตามมา
เป็นเพลงที่ท่านพี่กล่อมนางเข้านอนตอนเด็ก เฉินตันจูดึงมือที่วางอยู่บนหน้าผากลงมา จับมือนั้นแนบหน้าอย่างแน่น ก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง
…
ส่วนลึกสุดของคุกหลวง ราวกับความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุด เสียงประตูคุกถูกผลักออก คนหนึ่งถือตะเกียงเดินเข้ามา ตะเกียงไฟส่องสว่างกระทบดวงตาของเขา
“เฉินตันจูฟื้นแล้ว” เขาพูด “ยังไม่ตาย”
ภายในความมืดมีเงาดำเคลื่อนไหว ปรากฏเป็นร่างคน ร่างคนนอนคว่ำหน้าส่งเสียงถอนหายใจแผ่วเบาออกมา
“หวังไต้ฟูมีความสามารถ” เขาพูด “หากไม่มีหวังไต้ฟู ข้าจะทำอย่างไร”
หวังเจียนวางตะเกียงลงบนโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งอย่างแรง เปลวเพลิงโลดแล่น ส่องสว่างคนที่นอนคว่ำอยู่บนเตียง เขาหนุนแขนของตนเอง ใบหน้าขาวดุจหยก ผมยาวแผ่สยาย มีทั้งสีดำสีขาวปะปนกัน
“ทำอย่างไรหรือ” หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “องค์ชายท่านควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ท่านจะทำอันใด ผู้ใดจะขัดขวางท่านได้”
ใช่ เขาต้องการให้เฉินตันจูมีชีวิตอยู่ เฉินตันจูย่อมสามารถมีชีวิตอยู่ ฉู่อวี๋หยงฟุบหน้าลงบนแขนหัวเราะออกมา