ตะเกียงไฟดวงแล้วดวงเล่าถูกจุดติดขึ้นมา ความมืดถูกขจัด เผยให้เห็นห้องขังขนาดเล็ก
ภายในห้องขังไม่มีหญ้าฟางหรือแมลง บนพื้นสะอาดวางเตียงและโต๊ะอย่างละหนึ่งตัว อีกด้านยังมีเก้าอี้โยก ด้านข้างเก้าอี้โยกมีหม้อต้มน้ำ เวลานี้น้ำในหม้อกำลังเดือด
หวังเจียนเดินเข้าไปยกขึ้นมาต้มน้ำชา ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โยก จิบชาหนึ่งคำ ถอนหายใจพร้อมโยกเก้าอี้อย่างอารมณ์ดี
“เหนื่อยเสียจริง” เขาพูด “พวกท่านแต่ละคน คนนี้จะตายคนนั้นจะตาย”
พูดพลางชี้ไปยังชายหนุ่มที่นอนหัวเราะอยู่บนเตียง
“ท่านยังหัวเราะอีก หากแผลของท่านเปิดอีก คงจะกลายเป็นเนื้อเน่าแล้ว! ถึงเวลาข้าจะใช้มีดกรีดลงบนตัวท่าน! ให้ท่านรู้ว่าอันใดคือตายทั้งเป็น”
ฉู่อวี๋หยงยืดร่างกายผ่อนคลายอย่างช้าๆ ราวกับกำลังสัมผัสความเจ็บปวดที่ส่งต่อมาในแต่ละชั้น “จะว่าไป เสด็จพ่อยังคงรักโจวเสวียนมากกว่า โบยข้าโบยจริง”
หวังเจียนพูดด้วยเสียงเย็นชา “ความสัมพันธ์ของท่านกับฝ่าบาทบอบบางที่สุด ท่านยังกล้าไปขัดขืนฝ่าบาท ฝ่าบาทโบยท่านก็ถูกต้องแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงนอนหนุนแขน ยิ้มขึ้นมา “เดิมทีก็ถูกต้องแล้ว ข้ามีโทษอยู่ก่อน โบยหนึ่งร้อยไม้นี้เป็นสิ่งที่ข้าควรได้รับ”
หวังเจียนลุกขึ้นเดินไปที่ริมเตียง เปิดผ้าห่มผืนบางบนตัวเขา ถึงแม้จะผ่านไปสิบวันแล้ว ถึงแม้จะมีฝีมือการรักษาของเขา แต่บาดแผลยังคงเหวอะหวะ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะขยับได้
“หากรอก่อน รอจนผู้อื่นลงมือ” เขาพูดเสียงเบา “แม้จะหาหลักฐานชี้ตัวผู้ร้ายไม่ได้ แต่อย่างน้อยสามารถทำให้ฝ่าบาทเข้าใจ ท่านถูกบังคับให้เล่นไปตามน้ำเพื่อหาตัวผู้ร้าย เพื่อความมั่นคงของทหารต้าเซี่ย หากเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่มีทางโบยท่านแน่”
ฉู่อวี๋หยงหนุนแขนฟังอย่างเงียบสงบ พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“ตอนนั้นอีกแค่เพียงไม่กี่ก้าว” หวังเจียนนึกถึงตอนนั้นก็ร้อนใจ เขาออกไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น “เพื่อเฉินตันจูคนเดียว จำเป็นหรือ”
“จำเป็น” ฉู่อวี๋หยงพูด “ท่านก็เห็นแล้ว เพียงแค่นี้นางก็ป่วยใกล้ตายแล้ว หากทำให้นางคิดว่านางเป็นคนนำคนเหล่านั้นเข้ามาทำร้ายข้า นางคงต้องโทษตัวเองจนตายจริงๆ”
หวังเจียนกัดฟันพูดเสียงต่ำ “ท่านคิดอันใดอยู่ ท่านเคยคิดหรือไม่ รอพวกเราอธิบายให้นางฟังหลังจากนั้นก็พอ แม้แต่ความไม่เป็นธรรมเล็กน้อยยังทนไม่ได้หรือ”
ฉู่อวี๋หยงส่งเสียง ราวกับเพิ่งนึกได้ “หวังไต้ฟูท่านพูดถูก เป็นเช่นนี้ก็ได้ แต่เวลานั้นสถานการณ์คับขัน
เกินไป ไม่ได้คิดมากมายเพียงนั้น”
หวังเจียนโกรธอย่างมาก “แล้วท่านคิดสิ่งใดอยู่ ท่านคิดดูว่ากระทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดปัญหามากมายเพียงใด พวกเราจะพลาดโอกาสไปมากน้อยเพียงใด ท่านไม่ได้คิดสิ่งใดเลยใช่หรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงหันไปมองเขา ยิ้ม “หวังไต้ฟู ทั้งชีวิตของข้าต้องการเป็นคนที่ไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้น”
เป็นคนที่ไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้น? หวังเจียนผงะ ขมวดคิ้ว หมายความว่าอย่างไร
“เหมือนดั่งที่ข้าพูด ข้าทำทุกสิ่งเพื่อตัวข้าเอง” ฉู่อวี๋หยงหนุนแขน มองตะเกียงไฟบนโต๊ะด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากทำสิ่งใดก็ทำ อยากได้สิ่งใดก็ได้ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ ย้ายออกจากพระราชวัง ไปค่ายทหาร ให้ท่านแม่ทัพเป็นอาจารย์ ล้วนเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ได้คิดสิ่งใด ข้าคิดเพียงแต่ข้าต้องทำในเวลานั้น”
เขาหันไปมองหวังเจียนอีกครั้ง
“ตอนนั้นข้าคิดเพียงแค่ไม่อยากให้คุณหนูตันจูเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงทำ”
“ส่วนต่อมาจะเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อเรื่องเกิดแล้ว ข้าเพียงจัดการแก้ไขก็พอ”
“ชีวิตของคนทั้งสั้นทั้งทุกข์ ทำสิ่งใดล้วนต้องคิดมากมาย การมีชีวิตอยู่คงไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”
“หวังไต้ฟู ในเมื่อข้ามาบนโลกนี้ ข้าอยากจะมีชีวิตที่สนุกมากขึ้นเสียหน่อย”
หวังเจียนยืนมองชายหนุ่มที่มีผมขาวครึ่งหัวอยู่ข้างเตียง…ผมของเขาต้องย้อมผงยาเดือนเว้นเดือน เวลานี้สีผมของเขาค่อยๆ จางไปเพราะไม่ได้ใช้ผงยา…เขานึกถึงตอนที่พบเจอองค์ชายหกครั้งแรก เด็กคนนี้พูดจาท่าทางเชื่องช้าเกียจคร้าน ราวกับชายชราตัวน้อย แต่เวลานี้เขาเติบใหญ่แล้ว ดูเหมือนจะนับวันยิ่งไร้เดียงสา ท่าทางราวกับเด็ก
หวังเจียนหัวเราะออกมา ก่อนจะถอนหายใจยาว “อยากจะใช้ชีวิตอย่างสนุก ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ คำขอของท่านช่างยิ่งใหญ่นัก” เขาดึงเก้าอี้มานั่งลง หยิบชามยาด้านข้างขึ้น “มนุษย์ล้วนมีทุกข์ สรรพสิ่งบนโลกล้วนยากลำบาก จะทำสิ่งใดตามใจได้อย่างไร”
พูดพลางสาดผงยาลงบนบาดแผลของฉู่อวี๋หยง ผงยาสีขาวงดงามดุจหิมะหล่นลงไปอย่างแผ่วเบาราวกับคมมีด ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเทาเล็กน้อย
“ถึงแม้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่อาจจมปลักอยู่ตรงนี้” เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด ทำให้น้ำเสียงเจือปนเสียงหัวเราะ “อย่างไรก็ต้องลองทำ”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “สถานการณ์ในเวลานี้ ท่านยังทำสิ่งใดได้อีก แม่ทัพหน้ากากเหล็กจากไปอย่างสงบแล้ว ค่ายทหารมีโจวเสวียนบัญชาการแทนชั่วคราว องค์รัชทายาทและองค์ชายสามต่างกลับคืนสู่ราชสำนัก ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ ความวุ่นวายและเศร้าโศกต่างฝังลงดินพร้อมท่านแม่ทัพ ส่วนท่านก็ต้องถูกขังไว้ในคุกหลวงแห่งนี้ ไม่ได้เห็นฟ้าเห็นตะวัน”
ฉู่อวี๋หยงพูด “ไม่ได้อนาถเหมือนที่เจ้าพูด เสด็จพ่อข้ายังอยู่ ข้าย่อมไม่ถูกลืม”
สายตาของหวังเจียนฉายแววประหลาด ทันใดนั้นเขาโยนชามยาไว้ด้านข้าง “ท่านยังมีหน้ามาพูดอีก! หากภายในสายตาของท่านมีฝ่าบาท ก็คงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น!”
เขาพูดพลางยืนขึ้นมา
“ข้าได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เดิมทีข้าเป็นแค่ไต้ฟู ข้าจะขอลาออกจากตำแหน่งต่อฝ่าบาท”
ทันทีที่สิ้นเสียง มีเสียงทุ้มหนึ่งดังขึ้นจากความมืดด้านหลัง
“เจ้ายังมีตำแหน่งใดอีก หวังอันใด เจ้าชื่ออันใด…เรื่องนี้ไม่สำคัญ ถึงแม้เจ้าจะเป็นแค่ไต้ฟู แต่หลายปีนี้ไม่ทูลรายงานการกระทำขององค์ชายหก เจ้ามีโทษใหญ่ติดตัวอยู่แล้ว”
หวังเจียนคุกเข่าไปตามทิศทางของเสียงทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พูดพลางสะอื้นขึ้น “กระหม่อมไร้ความสามารถ”
ฮ่องเต้เดินออกมาจากความมืดอย่างช้าๆ เหลือบมองเขาหนึ่งที “เจ้ามีความสามารถอยู่ วิ่งไปทั่วคุกหลวง”
หวังเจียนคุกเข่าลงบนพื้น “ฝ่าบาททรงเมตตา ระลึกถึงองค์ชายหก จึงยอมให้กระหม่อมกระทำการตามใจ”
ฮ่องเต้ยิ้มเย้ยหยัน “ถอยออกไป!”
หวังเจียนรีบกล่าวขอบพระทัย ก่อนจะก้มหน้าวิ่งออกไป
ฉู่อวี๋หยงนอนคว่ำคำนับอยู่บนเตียง “กระหม่อมคำนับเสด็จพ่อ” ก่อนจะก้มหัวแตะเตียง
สายตาของฮ่องเต้กวาดผ่านบาดแผลที่สาดผงยา ไร้สีหน้าใด เอ่ย “ฉู่อวี๋หยง ไม่ยุติธรรมหรือไม่ ในสายตาของเจ้าไม่มีบิดาอย่างข้าคนนี้ กลับยังอาศัยที่ตนเองเป็นบุตร ให้ข้าระลึกถึงเจ้า?”
ฉู่อวี๋หยงก้มหน้าพูด “ไม่ยุติธรรมพ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่า บุตรรักบิดามารดาไม่เท่าหนึ่งในสิบส่วนที่บิดามารดารักบุตร กระหม่อมได้เกิดมาเป็นโอรสของเสด็จพ่อ ไม่ว่ากระหม่อมจะดีหรือร้าย ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่เป็นท่า ล้วนเป็นหนี้ที่เสด็จพ่อไม่อาจตัดทิ้งได้ ผู้เป็นบิดามารดาช่างทุกข์ยากเสียเหลือเกิน”
ฮ่องเต้ขบขันกับคำพูดของเขา “ฉู่อวี๋หยง เจ้าไม่ต้องมาป้อนคำหวานกับข้า กลอุบายของเจ้า ข้าพบเจอมามากแล้ว”
ทำท่าทางราวกับเข้าใจผู้อื่นอย่างดี เข้าใจอาจจะเข้าใจ แต่ควรทำอย่างไรพวกเขายังคงทำแบบนั้น!
“ในเมื่อเจ้ารู้ เหตุใดเจ้ายังทำเช่นนี้!”
ฉู่อวี๋หยงเงียบไปชั่วครู่ เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จากนั้นประคองตัวขึ้นทีละท่อน ก่อนจะนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง
ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านข้างไม่ขยับ มองชายหนุ่มที่เปลือยท่อนบนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างสงบ
“เสด็จพ่อ เนื่องจากกระหม่อมรู้ กระหม่อมเป็นผู้ที่ไร้จักรพรรดิไร้บิดาในสายตา ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กได้อีก”
“มิฉะนั้น ต่อไปหากกระหม่อมได้ครอบครองสิทธิทางการทหารมากขึ้น คงจะกลายเป็นผู้ทรยศจริงๆ เสียแล้ว”
สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในใจของบิดาและบุตร ไม่มีผู้ใดยินดีมองหรือสัมผัสถูกเปิดเผยออกมาในที่สุด