ตอนที่ 374 งานเลี้ยงอาหารแฝงจุดประสงค์
กวนหย่งหัวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ได้มีเรื่องอื่นหรอกครับ คุณช่วยชีวิตลูกสาวผม ผมเลยอยากจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ
ฟางจั๋วหรานล้างมือเสร็จแล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าเช็ดหน้า คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้าตอบรับ
เขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่ากวนหย่งหัวจะแค่ต้องการเลี้ยงข้าวเขาเฉยๆ ต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นอีกแน่
เขาต้องไปดูให้รู้ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร
กวนหย่งหัวมีความสุขมาก “ศาสตราจารย์ฟางยังไม่เลิกงาน เดี๋ยวผมจะไปจองโต๊ะที่ภัตตาคารเจียงเฉิงก่อน ศาสตราจารย์เลิกงานแล้วต้องตามไปนะครับ”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า
ใช้เวลาอ่านเวชระเบียนในห้องทำงานไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว
ฟางจั๋วหรานไปที่ภัตตาคารเจียงเฉิงตามนัด พนักงานสวมชุดกี่เพ้านำเขาไปห้องส่วนตัวที่กวนหย่งหัวจองไว้
ในห้องนั้นมีกวนหย่งหัวอยู่เพียงคนเดียว
กวนหย่งหัวจองห้องแบบญี่ปุ่นเอาไว้
เขาลุกขึ้นยืนและผายมือเชิญฟางจั๋วหรานบนเสื่อทาทามิ “เชิญครับศาสตราจารย์ฟาง”
ฟางจั๋วหรานยืนนิ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ผมไม่ชินกับการนั่งคุกเข่ากินข้าว”
กวนหย่งหัวนิ่งไปพักหนึ่ง “กินอาหารญี่ปุ่นก็แบบนี้แหละครับ”
ฟางจั๋วหรานตอบอย่างมีความหมาย “เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่เคยกินอาหารญี่ปุ่นเลย”
กวนหย่งหัวตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงขอให้พนักงานเปลี่ยนเป็นห้องส่วนตัวแบบจีน แล้วกล่าวด้วยความเสียดายกับฟางจั๋วหรานว่า “น่าเสียดายที่คุณไม่กินอาหารญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่นก้าวหน้าไปไกลกว่าอาหารจีนมาก”
“อาหารญี่ปุ่นก้าวหน้าไปไกลกว่าอาหารจีนเหรอ?” ดวงตาของฟางจั๋วหรานฉายแววดูถูก “ยังไม่ต้องพูดถึงอาหารของชาวแมนจูเลย แค่พระกระโดดกำแพง*ก็ทำให้อาหารญี่ปุ่นอยู่ห่างไกลจนมองไม่เห็นฝุ่น”
กวนหย่งหัวเป่าปากและให้ฟางจั๋วหรานสั่งอาหาร
ฟางจั๋วหรานเองก็ไม่เกรงใจ สั่งอาหารมาสองสามอย่าง แต่ราคาแพงทุกอย่าง ซึ่งพระกระโดดกำแพงก็เป็นหนึ่งในนั้น
กวนหย่งหัวรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังบอกเขาว่าอาหารจีนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาหารญี่ปุ่นโดยไม่เอ่ยปากพูด
ต่อหน้าฟางจั๋วหรานผู้รักชาติขนาดนี้ กวนหย่งหัวก็รู้สึกละอายเล็กน้อย
เขาเองก็เป็นลูกหลานชาวมังกร แต่เมื่อเทียบความรักชาติแล้ว เขาไม่สามารถเทียบได้แม้แต่นิ้วเท้านิ้วหนึ่งของศาสตราจารย์ฟาง
พนักงานหน้าตาดีจดรายการอาหารเรียบร้อยแล้วจึงยิ้มถาม “ทั้งสองท่านสั่งอาหารครบหรือยังครับ?”
กวนหย่วหัวเห็นฟางจั๋วหรานไม่สั่งเครื่องดื่มจึงพูดว่า “เอาเหล้าเหมาไถ*มาขวดหนึ่ง”
ฟางจั๋วหรานถามกวนหย่งหัวไปตรงๆ “คุณสั่งเหมาไถมาดื่มคนเดียวเหรอ?”
กวนหย่งหัวแปลกใจมากว่าทำไมเขาถึงถามเช่นนี้จึงตอบว่า “แน่นอนว่าผมสั่งมาให้คุณ ปกติผมดื่มไวน์นำเข้า”
ฟางจั๋วหรานตอบนิ่งๆ “งั้นก็ไม่ต้องสั่งเหมาไถ ในฐานะศัลยแพทย์ ผมไม่ควรดื่มเหล้า”
กวนหย่งหัวถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมเหรอครับ”
“เพราะถ้าดื่มเหล้าแล้วมือจะสั่น ส่งผลต่อการผ่าตัด”
กวนหย่งหัวพูดอย่างอับอายเล็กน้อย “ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย เกือบจะทำร้ายคุณแล้ว”
ว่าแล้วก็รีบเปลี่ยนเครื่องดื่มทันที
พนักงานนำรายการอาหารที่จดเสร็จแล้วออกไป ทั้งสองคนดื่มชาไปพลาง คุยกันไปพลาง ระหว่างรออาหาร
กวนหย่งหัวกล่าวขอบคุณฟางจั๋วหรานหลายครั้งมากที่ช่วยชีวิตลูกสาวของเขา
ฟางจั๋วหรานรอให้เขาพูดจบแล้วจึงถามว่า “เด็กคนนั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
กวนหย่งหัวใจสลาย ส่ายหัวและพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “อาการไม่ค่อยดีครับ โคม่าเป็นระยะ”
ฟางจั๋วหรานเอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติ “ผมถามได้ไหม ลูกสาวของคุณเป็นโรคอะไร?”
กวนหย่งหัวชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกผิดอยู่ในใจ
ถ้ารู้ก่อนว่าอีกฝ่ายจะถามเขา เขาก็จะบอกว่าอาการของลูกดีมาก เป็นแบบนั้นแล้วศาสตราจารย์ฟางจะได้ไม่ถาม
เขาไม่ต้องการให้ฟางจั๋วหรานรู้ว่าลูกสาวเขาป่วยเป็นอะไร
ถ้าฟางจั๋วหรานไม่รู้ ก็จะไม่สามารถเดาได้ถึงจุดประสงค์ที่เขาเข้าหาหวังหรง
หากเดาไม่ออกก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เขามีความกรุณาไปบอกหวังหรง เป้าหมายและแผนการที่ตนเข้าหาหวังหรงก็จะไม่ถูกทำลาย
ต้องโทษตัวเองที่กังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของลูก เจอใครก็ถอนหายใจหนักๆ ใส่
ในขณะที่กวนหย่งหัวพยายามใช้ความคิดว่าจะตอบคำถามฟางจั๋วหรานอย่างไร พนักงานก็เข้ามาพร้อมอาหาร
กวนหย่งหัวรีบเข้าไปช่วยพนักงานวางอาหารลงบนโต๊ะ เลี่ยงหัวข้อนั้นไป
ฟางจั๋วหรานเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบคำถาม ในใจจึงรู้สึกแปลกใจ
เด็กน้อยคนหนึ่งย่อมไม่น่าเป็นโรคที่น่าอับอาย ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่กล้าบอกเขา?
เขาเป็นหมอ หากกวนหย่งหัวบอกเขาว่าลูกสาวของตนป่วยด้วยโรคอะไร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีแผนการรักษาหล่อนก็ได้
ต่อให้เขาจะทำไม่ได้ แต่ก็แนะนำลูกสาวของอีกฝ่ายให้รู้จักกับหมอเฉพาะทางได้
เขากังวลเกี่ยวกับอาการของลูกสาวขนาดนั้น แต่กลับปกปิดเอาไว้ เรื่องนี้ทำให้คนอื่นไม่อาจเข้าใจได้
ฟางจั๋วหรานคิดหนักเพื่อหาเหตุผล
ทันใดนั้นก็กระจ่างในใจ
หรือว่าอาการป่วยของลูกสาวอีกฝ่ายกับหวังหรงจะเกี่ยวข้องกัน และกวนหย่งหัวรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับหวังหรงแล้ว?
ดังนั้นจึงกลัวที่จะบอกเรื่องโรคของลูกสาวกับเขา เมื่อเขาเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหวังหรง จากนั้นก็จะเอาความลับนี้ไปบอกอีกฝ่าย
ถ้าเป็นไปตามความคิดนี้ก็อนุมานได้ว่า ลูกสาวของกวนหย่งหัวต้องการให้หวังหรงปลูกถ่ายอะไรสักอย่างให้ใช่ไหม?
ถ้าเป็นการปลูกถ่ายอวัยวะจริงๆ ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือการปลูกถ่ายตับและไขกระดูก
หากความจริงเป็นอย่างที่เขาคาดเดา คำถามคือ กวนหย่งหัวรู้ได้อย่างไรว่าเงื่อนไขการปลูกถ่ายอวัยวะของหวังหรงและลูกสาวตัวเองเข้ากันได้?
เหตุผลที่ว่าทำไมกวนหย่งหัวรู้ว่าเงื่อนไขการปลูกถ่ายอวัยวะของหวังหรงและลูกสาวเข้ากันได้ก็เพราะว่าอุบัติเหตุที่รถแท็กซี่ที่เขาโดยสารมาชนกับหวังหรง
จุดประสงค์ใหญ่ๆ ที่เขามาเจียงเฉิงก็เพื่อหาผู้ปลูกถ่ายที่เข้ากันได้กับลูกสาวของตน
ที่เขาอยากจะเปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า จุดประสงค์หลักก็เพราะแบบนี้แหละ
ตอนที่เขาวางแผนรับสมัครคนงานตัดเย็บ ใช้ข้ออ้างว่าตรวจสุขภาพในการตรวจสอบผู้สมัครทุกคน ดูว่ามีใครสามารถเข้ากันได้กับลูกสาวของเขาหรือไม่
ถ้ายังไม่มี ผ่านไปพักหนึ่งคนงานบางส่วนจะถูกโละออกและรับสมัครกลุ่มใหม่
แม้ว่าจะไปที่โรงพยาบาลเพื่อสมัครรับคนที่มีเงื่อนไขตรงกับการปลูกถ่ายอวัยวะได้ แต่ก็ต้องรอตามลำดับ
เขากลัวว่าลูกสาวของตนจะไม่สามารถรอผู้บริจาคอวัยวะได้และจากโลกอันสวยงามนี้ไปเสียก่อน
เมื่อหวังหรงเข้ามาอยู่ในสายตาของเขา เขาก็อยากรู้ว่าหล่อนมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่เข้ากันได้กับลูกสาวของเขาหรือไม่
จึงออกปากว่าจะรับผิดชอบหล่อนและพาหล่อนไปตรวจที่โรงพยาบาล
ถือโอกาสนี้ตรวจร่างกายหล่อน ลับหลังก็ให้คุณหมอทดสอบความเข้ากันได้ของการปลูกถ่ายอวัยวะ
ตอนนั้นจึงได้รู้ว่าหวังหรงและลูกสาวของเขาเข้ากันได้ดีมาก
เขาได้หวังหรงมาโดยบังเอิญ ถ้าวันนั้นคนที่โดนแท็กซี่ที่เขานั่งชนเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาก็คิดจะทำกับผู้หญิงเหล่านั้นแบบเดียวกัน
ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ตาม
ไม่คิดเลยว่าหวังหรงที่ถูกเลือกโดยบังเอิญจะเข้ากันได้กับลูกสาวของเขา!
เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วน่าตื่นเต้นพอๆ กับถูกสลากกินแบ่ง
กวนหย่งหัวรอให้พนักงานเสิร์ฟอาหารเสร็จแล้วออกไป จากนั้นจึงหยิบเอาซองสีแดงหนาๆ ออกมาหนึ่งซอง วางไว้ที่หน้าฟางจั๋วหราน
พูดขอบคุณว่า “ขอบคุณที่คุณช่วยชีวิตลูกสาวผมไว้ น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มากมาย”
ฟางจั๋วหรานคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ขอบคุณครับ” รับซองแดงหนาๆ นั้นมา
เขาไม่ได้โลภเรื่องเงิน แค่รู้สึกว่ากวนหย่งหัวไม่ได้เป็นคนดีอะไร
กระทั่งหลอกให้คนปลูกถ่ายอวัยวะให้ลูกสาวตัวเองก็ทำได้ ไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
เอาเงินอีกฝ่ายมาก็ไม่ได้ทำให้ไม่สบายใจ เงินนี้ฟางจั๋วหรานคิดว่าจะบริจาคเงินให้สถานสงเคราะห์ ถือเป็นการใช้เงินในทางที่ดี
กวนหย่งหัวมองไปที่ฟางจั๋วหรานอย่างคาดไม่ถึง
เขาคิดว่าคนคนนี้จะไม่ยอมรับซองแดงและพูดว่า การช่วยชีวิตคนเป็นจรรยาบรรณของแพทย์ อะไรแบบนี้
ไม่คิดว่าเขาจะรับมันไป
แต่รับไปแล้วก็ดี ตนจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณใครแล้ว
และเมื่อเขายอมรับมันไปแล้ว แม้ว่าจะเดาออกถึงจุดประสงค์ที่ตนเข้าหาหวังหรง แม้จะมีจิตใจเมตตากรุณา แต่เกรงว่าเขาคงจะไม่อาจบอกออกไปได้โดยง่าย ความเป็นไปได้ที่แผนของตนจะถูกทำลายจึงมีน้อยมาก
มื้ออาหารจบลงแล้ว นอกจากเรื่อที่กวนหย่งหัวชวนคุย เขาก็ปิดปากเงียบถึงอาการของลูกสาว ไม่เอ่ยถึงมันอีก
ฟางจั๋วหรานเห็นเช่นนี้จึงยิ่งมั่นใจกับข้อสันนิษฐานของตน
หากไม่ใช่ว่ามีผีร้ายในใจ* พ่อที่รักลูกสาวไม่พูดถึงอาการป่วยของลูกเมื่ออยู่หน้าหมอนั้นคงเป็นไปไม่ได้
หวังเพียงแค่ให้มีหมอที่สามารถรักษาลูกสาวของตนเป็นอย่างแรก
อย่างที่สอง เขาบังเอิญเห็นว่ากวนหย่งหัวกับหวังหรงมีความสัมพันธ์ชู้สาวกัน แต่กวนหย่งหัวยังคงสงบนิ่ง ไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว
ไม่แม้กระทั่งจะถามว่าเขาจะกลับไปฮ่องกงอีกไหม
คนที่ทำเรื่องไร้สำนึกแบบนี้ ใจกล้าเสียจริง ไม่กลัวเขาไปฮ่องกงครั้งหน้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกภรรยาเหรอ?
เป็นไปได้ว่าภรรยาของอีกฝ่ายรู้เรื่องของกวนหย่งหัวกับหวังหรงอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงเขาคงไม่นิ่งเหมือนหมาแบบนี้
ต่อให้กวนหย่งหัวจะไม่พูด ฟางจั๋วหรานก็ไม่ถาม
ไม่ว่าหวังหรงจะโดนกวนหย่งหัวจัดการอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
ขณะที่ฟางจั๋วหรานวิเคราะห์กวนหย่งหัวเงียบๆ ในใจ กวนหย่งหัวก็วิเคราะห์อีกฝ่ายเงียบๆ ในใจเช่นกัน
กินข้าวกันอยู่พักหนึ่งแล้ว ศาสตราจารย์ฟางไม่ได้ถามเกี่ยวกับอาการป่วยของลูกสาวเขาอีกเลย อีกทั้งยังไม่พูดถึงว่าทำไมเขาถึงอยู่กับหวังหรง
แสดงว่าเขาไม่สนใจหวังหรง
ต่อให้เขาจะเดาจุดประสงค์ในการเข้าหาหวังหรงออกก็จะยืนดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์พี่น้องนอกไส้คู่นี้น่ารังเกียจมาก!
หึ! สองคนนี้ยิ่งเป็นศัตรูกันก็ยิ่งดีต่อเขา
แบบนี้ความน่าจะเป็นที่ฟางจั๋วหรานจะทำลายแผนการของเขาก็ยิ่งลดลงไปเป็นศูนย์
ผู้ชายสองคนที่มีแผนการในใจต่างพากันแยกย้ายตั้งแต่หน้าภัตตาคารหลังกินข้าวเสร็จ
จนถึงตอนนี้ ฟางจั๋วหรานก็เพิ่งจะเปิดดูซองแดงที่กวนหย่งหัวให้ และพบว่าข้างในเต็มไปด้วยเงินหมื่นหยวน!
เขาอดขำไม่ได้ ให้อย่างใจกว้างจริงๆ
แต่เขาเข้าใจแจ่มแจ้งถึงความหมายที่กวนหย่งหัวให้ซองแดงใหญ่ขนาดนี้ ไม่เพียงแค่ขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกสาวเขาเท่านั้น เกรงว่าจะยังมีเงินค่าปิดปากด้วย
ฟางจั๋วหรานถือมาที่สถานสงเคราะห์ไม่ไกลจากภัตตาคารเจียงเฉิง
เวลานี้ผู้ดูแลสถานสงเคราะห์คงเลิกงานไปแล้ว มีแค่ผู้ดูแลกะกลางคืนเท่านั้นที่ยังอยู่
ยามเฝ้าประตูได้ยินว่าฟางจั๋วหรานมาบริจาคเงินก็ตื่นเต้นทันทีขึ้นมา
ในช่วงนี้แต่ละวันของคนส่วนใหญ่ผ่านไปอย่างยากลำบาก ขนาดรวมกลุ่มบริจาคยังไม่มี ไม่ต้องพูดถึงการบริจาคเงินส่วนตัวเลย
มีประโยคที่พูดไว้ดีมาก จนคิดถึงแต่ตัวเอง รวยทำประโยชน์ให้โลก
ดังนั้นการตอบรับของยามเฝ้าประตูจึงรุนแรงขนาดนี้
เขารีบพาฟางจั๋วหรานไปหาหัวหน้ากะกลางคืน ตื่นเต้นจนพูดตะกุกตะกัก
พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “หัวหน้าวังครับ คะ คือ คือคุณคนนี้มาบริจาคเงินครับ”
“หือ?” หัวหน้าวังเป็นชายวัยกลางคนที่ผมหงอกขาว คอยกังวลกับทั้งคนแก่และเด็กที่สถานสงเคราะห์ทุกวัน
ถึงแม้ว่าสถานสงเคราะห์จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ แต่เงินก็ไม่เพียงพอ ชีวิตขัดสน อยากจะให้ทุกคนได้กินเนื้อสักมื้อยังไม่ง่าย
เมื่อได้ยินที่ยามเฝ้าประตูบอก หัวหน้าวังไม่อยากจะเชื่อ ราวกับตัวเขาเดินละเมออยู่ คิดว่าตัวเองประสาทหลอนไปเอง
ฟางจั๋วหรานไม่พูดสักคำ นำซองเงินวางลงบนโต๊ะของหัวหน้าวังแล้วจากไป
จนถึงตอนนี้หัวหน้าวังจึงรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง มีคนมาบริจาคเงินจริงๆ
เขาเปิดซองแดงอย่างตื่นเต้น ไม่คิดว่าข้างในจะมีเงินหมื่นหยวน!
เงินหมื่นหยวนนี้ทำอะไรได้ไม่น้อยเลย!
หัวหน้าวังถามพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาว่า “ผู้ใจบุญคนนั้นชื่ออะไร เขาสังกัดที่ไหน พวกเราต้องส่งธงผ้าไหมให้เขา”
พนักงานคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง “ผม…ผมไม่ได้ถาม แค่พาเขามาหาหัวหน้าที่นี่”
หัวหน้าวังเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “ฉันก็ไม่คิดจะถาม แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้?”
“ผมว่าคุณคนนั้นคงตั้งใจทำความดีไม่ระบุชื่อ ไม่งั้นคงไม่ออกไปเร็วขนาดนั้น ต่อให้พวกเราถามเขา เขาก็คงไม่บอกแน่”
หัวหน้าวังพยักหน้า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่พรุ่งนี้ไปรายงานให้สำนักหนังสือพิมพ์รู้ซะ คุณคนนั้นต้องการปกปิดความสำเร็จและชื่อเสียงเรียงนาม แต่พวกเราไม่อาจปกปิดเรื่องดีๆ แบบนี้เอาไว้ได้”
ยามเฝ้าประตูพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
………
หลังจากหวังหรงและกวนหย่งหัวบอกลากันแล้ว หล่อนก็ถือของที่กวนหย่งหัวซื้อให้กลับบ้านอย่างมีความสุข
เพื่อนบ้านเห็นเข้าจึงเอ่ยทักทายด้วยความใคร่รู้ “หรงหรง ลุงเขยเธอหาสังกัดดีๆ ให้ได้อีกแล้วเหรอ? ซื้อของมาเยอะแยะเชียว หมดเงินไม่น้อยเลยนะนั่น”
เพื่อนบ้านอีกคนยังกล่าวว่า “เธอต้องรักษางานไว้ให้ดีนะ!”
หวังหรงยิ้มปลอมๆ ให้ หล่อนรังเกียจและดูถูกเพื่อนบ้านเหล่านั้นมาก
ในใจคิดว่า อดทนจนคลื่นลมสงบ รอให้ถึงวันที่กวนหย่งหัวแต่งงานกับหล่อนก่อนเถอะ จะเป็นวันที่หล่อนได้ตบหน้าคนจนพวกนี้
แม่เฒ่าหวังและคนอื่นๆ รู้ว่ากวนหย่งหัวกลับเจียงเฉิงวันนี้
เห็นหวังหรงไปรับที่สนามบินตอนเช้า ตอนนี้เพิ่งจะกลับมา ทุกคนที่นั่งรอข่าวอยู่บ้านล้วนตื่นเต้นกันทั้งสิ้น
แย่งกันถามอย่างกระตือรือร้นว่า “เจอคุณกวนไหม?”
ใบหน้าหวังหรงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “เจอแล้วค่ะ เขาพาไปเดินซื้อของที่ห้าง กินข้าว แล้วก็ให้ชุดเครื่องประดับทองกับเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าเยอะแยะเลย”
ขณะที่พูดก็เอาถุงเล็กถุงใหญ่ในมือวางลงบนโต๊ะน้ำชา
ทุกคนได้ยินว่ากวนหย่งหัวให้เครื่องประดับทองแก่หวังหรงก็เร่งเร้า “รีบเอาออกมาให้เราดูสิ!”
หวังหรงโอ้อวดโดยการหยิบเครื่องประดับทองออกมาทั้งชุด
แม่หรงหยิบสร้อยข้อมือหนักๆ ขึ้นมาสวมที่ข้อมือเส้นหนึ่ง ถามด้วยความสงสัย “พวกนี้เป็นทองแท้หรือเปล่า?”
เครื่องประดับทองเยอะขนาดนี้ คนธรรมดาซื้อไม่ไหวหรอก
แม้ว่าคนฮ่องกงจะมีเงิน แต่ซื้อเครื่องประดับทองมากขนาดนี้เป็นเงินไม่น้อยเลย
หวังหรงอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา “เครื่องประดับทองพวกนี้ฉันกับพี่กวนไปซื้อด้วยกันที่ห้างเจียงเฉิง มันจะปลอมได้ยังไง! แม่ซื้อไม่ไหวก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นซื้อไม่ไหวสักหน่อย ร้ายดียังไงพี่กวนก็เป็นเถ้าแก่โรงงานเสื้อผ้า จะซื้อเครื่องประดับทองแท้ให้ฉันไม่ไหวได้ยังไง?”
แม่หวังหรงจึงเงียบปากไป
แม่เฒ่าหวังเอ่ยถาม “เธอกับคุณกวนคบกันไปถึงไหนกันแล้ว?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
* อาหารประเภทซุปที่รวมสุดยอดวัตถุดิบของอาหารจีนไว้ในถ้วยเดียว อย่างเช่น โสม เห็ดหอม ถั่งเช่า หูฉลาม ปลิงทะเล หอยเป๋าฮื้อ กระเพาะปลา มีตำนานว่าเป็นอาหารถวายฮ่องเต้ที่ส่งกลิ่นหอมไปไกลจนพระวัดเส้าหลินตบะแตกต้องใช้วิชากำลังภายในกระโดดข้ามกำแพงวัดตามกลิ่นหอมของซุปชนิดนี้มาขอกิน
สารจากผู้แปล
มันก็จะมีความเกทับเรื่องอาหารกับประเทศเพื่อนบ้านกันหน่อยนึง ความชาตินิยมของชาวแผ่นดินใหญ่อะนะ
อย่าเพิ่งฝันหวานไปนังหรง เกรงว่าเธอจะกลายเป็นอะไหล่มนุษย์ให้ลูกสาวเขาเสียก่อนน่ะสิ
ไหหม่า(海馬)