จนกระทั่งกลับถึงพระราชวัง ฮ่องเต้ยังโกรธอยู่เล็กน้อย
“เขาบอกว่าคุณหนูตันจูเรียกเขาว่าบิดาบุญธรรม บิดาบุญธรรมไม่อาจไม่สนใจได้ อีกทั้งจัดการได้เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวแล้ว”
“อีกทั้งยังบอกว่าเพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็กป่วยตาย คุณหนูตันจูโศกเศร้าเกินไปทำให้เกือบตายในคุก นางมีจิตใจที่กตัญญูเพียงนี้”
ฮ่องเต้พูดถึงตรงนี้ก็เหลือบมองขันทีจิ้นจง
“มันไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ เฉินตันจูนั้นเกือบตายเพราะจิตใจกตัญญูอันใดกัน เพราะก่อนหน้านี้นางต้องพิษจากการสังหารคุณหนูตระกูลเหยาอะไรนั่น เขาคิดว่าข้าตาบอดหูหนวก หลอกง่ายเพียงนั้นหรือ โกหกได้อย่างหน้าไม่อาย”
แม้ว่าครึ่งเดือนนี้จะประสบกับการตายของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก งานศพที่ยิ่งใหญ่ เรื่องใหญ่อย่างการเคลื่อนย้ายแม่ทัพของกองทหารทั้งสามทั้งโจ่งแจ้งและลับๆ สำหรับฮ่องเต้ที่ทรงงานมากเป็นประจำไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งเขายังหาเวลาว่างสืบกระบวนการที่เฉินตันจูสังหารคนอย่างละเอียด
ขันทีจิ้นจงย่อมรู้ เขาถอนหายใจเสียงเบา “ฝ่าบาทพูดถูก หากไม่ใช่องค์ชายหก คุณหนูตันจูนั้นคงต้องใช้ชีวิตแลกชีวิต เช่นนั้นย่อมไม่ใช่นางที่เศร้าโศกต่อการตายของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หากแต่เป็นคนผมขาวส่งคนผมดำก่อนแล้ว”
คนผมขาวส่งคนผมดำอันใดกัน ทั้งสองคนล้วนเป็นคนผมดำชัดๆ ฮ่องเต้อดหัวเราะไม่ได้ หลังจากหัวเราะเสร็จก็เงียบไป
ความหมายในคำพูดของขันทีจิ้นจง ฮ่องเต้ย่อมเข้าใจ เฉินตันจูไม่ได้กำเริบเสิบสานถึงขั้นขัดขืนพระราชโองการไปฆ่าคน หากแต่เป็นการตายร่วมกัน นางรู้ว่าตนเองต้องโทษประหาร จึงไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อ
ชีวิตแลกชีวิต นางสมดังปรารถนา อีกทั้งไม่ต้องให้ฮ่องเต้ลำบากใจเพราะนางก็ตายตามไป จบสิ้นทุกอย่าง
ฮ่องเต้เงียบไปชั่วครู่ ถามขันทีจิ้นจง “เฉินตันจูนางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว หวังเจียนปล่อยอวี๋หยงเอาไว้ไม่สนใจ เดินร่อนไปเฝ้าอยู่ในห้องขังของผู้อื่น คงไม่ได้ทำไม่สำเร็จสักอย่างใช่หรือไม่”
หวังเจียนสามารถเดินร่อนไปทั่ว ย่อมเป็นเพราะฮ่องเต้อนุญาต ไม่อนุญาตไม่ได้ องค์ชายสาม โจวเสวียนและองค์หญิงจินเหยาผลัดกันมาร้องไห้กับเขา ร้องไห้จนเขาปวดหัว…เพื่อการนอนหลับที่สงบ เขาทำได้เพียงให้พวกเขาทำตามใจ เพียงแค่ไม่พาเฉินตันจูออกจากห้องขัง…ส่วนห้องขังนั้นถูกหลี่จวิ้นโส่วตกแต่งจนกลายเป็นเหมือนห้องนอนของสตรี ฮ่องเต้จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้
ในฐานะโอรสสวรรค์ สิ่งที่ต้องดูแลจัดการคือเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง ห้องขังไม่อยู่ในสายตาของเขา
เมื่อได้ยินฮ่องเต้ถาม ขันทีจิ้นจงรีบตอบ “ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถือว่าดึงกลับมาจากตำหนักยมบาลได้แล้ว ได้ยินว่าสามารถกินอาหารเองได้แล้ว” พูดพลางยิ้มขึ้น “สามารถดีขึ้นได้อย่างแน่นอน นอกจากหวังไต้ฟู หยวนไต้ฟูก็ถูกพี่สาวของคุณหนูตันจูพามา ไต้ฟูทั้งสองล้วนเป็นหมอเทวดาที่ฝ่าบาทเลือกให้องค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ”
แล้วอย่างไร เจตนาของบิดาล้วนถูกบุตรชายส่งไปช่วยชีวิตของเฉินตันจู ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ
“เจ้าไปดู” เขาพูด “เวลานี้เรื่องอื่นจบสิ้นแล้ว ข้าควรสอบสวนเฉินตันจูเสียบ้างแล้ว”
ใช่ ไม่อาจยืดเยื้อได้อีก หลายวันนี้องค์รัชทายาทมาทูลรายงาน ร่างของเหยาฝูถูกคนตระกูลเหยาในซีจิงฝังแล้ว บุตรชายของนางกับหลี่เหลียงถูกคนตระกูลเหยาดูแลอย่างดี ขอฝ่าบาทโปรดวางใจ…เขาตักเตือนฮ่องเต้ทั้งทางตรงทางอ้อม เรื่องนี้ควรมีข้อสรุปแล้ว
ขันทีจิ้นจงตอบรับ
…
ไม่รู้ว่าหลี่จวิ้นโส่วหาห้องขังนี้ได้อย่างไร นั่งอยู่ภายใน ยังสามารถมองเห็นดอกไม้บานสะพรั่งจากหน้าต่างเล็กบานหนึ่ง
ลมในฤดูร้อนพัดผ่าน กิ่งไม้พลิ้วไหว กลิ่นหอมของดอกไม้ล้วนกระจายอยู่ในห้องขัง
เฉินตันจูเอนกายพิงอยู่บนหมอนใหญ่ อดที่จะสูดดมเบาๆ ไม่ได้
ด้านนอกรั้วห้องขังมีเสียงฝีเท้าและเสียงหยกกระทบกันดังขึ้น จากนั้นมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เข้มข้นขึ้น หญิงสาวสองคนถือกิ่งดอกพุดหลายก้านเดินเข้ามา
“ตันจู พวกเราถามหยวนไต้ฟูแล้ว” หลิวเวยพูด “เจ้าสามารถดมกลิ่นของดอกพุดได้”
เฉินตันจูยิ้มให้พวกนาง “ถามข้าก็ได้ ข้าก็เป็นไต้ฟู”
หลี่เหลียนพูด “อย่าเลยดีกว่า ผู้เป็นหมอไม่รักษาตนเอง” พูดพลางหยิบขวดลายครามใบหนึ่งออกมาจากตู้อย่างชำนาญ จากนั้นตักน้ำจากถังน้ำด้านข้างใส่ลงในขวด ปักกิ่งดอกพุดลงไป วางไว้บนหัวเตียงของเฉินตันจู
หลิวเวยนั่งลงพินิจสีหน้าของเฉินตันจู พยักหน้าอย่างพอใจ “ดีกว่าสองวันก่อนมากแล้ว”
หลี่เหลียนกำลังจะนั่งลง ด้านนอกมีเสียงเรียกขานเบาๆ “น้องหญิง น้องหญิง”
หลี่เหลียนหันกลับไปมอง พบว่ามีคนชะเง้อหน้าจากซอกประตู ราวกับอยากรู้แต่ไม่กล้าเข้ามา
“พี่ชายข้าเอง” หลี่เหลียนพูดกับเฉินตันจูและหลิวเวย ลุกขึ้นเดินออกไป
เสียงฝีเท้าแผ่วเบา สองพี่น้องเดินจากไปไกล หลิวเวยและเฉินตันจูพูดคุยเสียงเบา ไม่นานนัก ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น หลี่เหลียนผลักประตูเข้ามา ดวงตาสดใส “พวกเจ้าเดา ผู้ใดมา”
เวลานี้ผู้ที่สามารถมาเยี่ยมเฉินตันจูได้ก็มีเพียงไม่กี่คน เอาเถิด แต่ก่อนก็เป็นเช่นนี้
หลิวเวยเหลือบมองเฉินตันจู นางและหลี่เหลียนอยู่ตรงนี้แล้ว คงจะเป็นโจวเสวียนหรือองค์ชายสาม…ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินตันจูป่วยหนักสลบไป โจวเสวียนและองค์ชายสามมักมาเป็นประจำ แต่หลังจากตันจูฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคยมาอีก
หลิวเวยและเฉินตันจูยังไม่ทันคาดเดา คนด้านหลังของหลี่เหลียนก็เดินเข้ามาอย่างทนรอไม่ไหว เมื่อเห็นคนผู้นี้ เฉินตันจูที่กึ่งนอนอยู่บนเตียงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ นางลุกขึ้นนั่ง อีกทั้งยังต้องการลงจากเตียงทันที “จางเหยา…เหตุใดเจ้า…”
ชายหนุ่มที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนรีบเดินเข้ามา โบกส่ายสองมือต่อนาง ราวกับต้องการห้ามนางลุกขึ้น เขาอ้าปากแต่ไม่อาจส่งเสียงออกมาได้
“คุณชายจางเดินทางมาอย่างเร่งรีบและเหน็ดเหนื่อย คอของเขาจึงส่งเสียงไม่ได้” หลี่เหลียนพูดอยู่ด้านหลัง “ก่อนหน้านี้เขาจะบุกเข้าที่ว่าการมา ทั้งทำท่าทางทั้งหยิบกระดาษเขียนหนังสือ เกือบจะถูกทหารยามตี โชคดีที่พี่ชายข้ายังไม่ไป จำเขาได้”
ถึงแม้จางเหยาจะเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่เฉินตันจูเคยช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนแข่งขันไม่มีผลงานที่โดดเด่น อีกทั้งถูกฮ่องเต้รับสั่งให้ซ่อมแซมทางน้ำ เขาก็ออกจากเมืองหลวงทันที จากไปเป็นเวลานาน เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเขาภายในเมืองหลวงไม่มีคนพูดถึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีใครจดจำเขาได้
เฉินตันจูยิ่งร้อนใจ นางดึงให้จางเหยานั่งลง ก่อนจะจับชีพจรให้เขา จากนั้นให้เขาอ้าปากแลบลิ้นออกมาดู…
จางเหยาโบกมือให้นาง ยืนทำท่าทำทาง…
หลี่เหลียนยิ้มพลางหยิบกระดาษและพู่กันมา “คุณชายจาง ตรงนี้มีกระดาษและพู่กัน ท่านต้องการพูดสิ่งใดเขียนลงมา”
จางเหยารีบรับมา ท่ามกลางความวุ่นวายยังไม่ลืมขอบคุณนาง หลี่เหลียนถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม มองดูจางเหยาเขียนหนังสือแสดงให้เฉินตันจูดู “ข้าไม่เป็นอันใด หาไต้ฟูระหว่างทางแล้ว พักสองวันก็ดีขึ้น”
เฉินตันจูพูด “ไต้ฟูระหว่างทางจะเก่งกว่าข้าได้อย่างไร…”
หลิวเวยจับนางเอาไว้ “ตันจู เจ้าเก่งเพียงใดก็เป็นคนป่วย ข้าจะพาท่านพี่ไปให้หยวนไต้ฟูดู”
หยวนไต้ฟูหรือ ร่างกายของเฉินตันจูผ่อนคลายลง เขาเป็นไต้ฟูที่พี่สาวของนางพามา ตนเองฟื้นขึ้นมาได้ก็มีความดีความชอบของเขา
หลิวเวยยกที่นั่งของตนเองให้จางเหยา หลี่เหลียนส่งชามาให้เขาถ้วยหนึ่ง จางเหยาก็ไม่เกรงใจ เงยหน้าดื่มจนหมด
“ก่อนหน้านี้เจ้าป่วยรุนแรง ข้าเป็นกังวลอย่างมาก จึงเขียนจดหมายให้ท่านพี่” หลิวเวยพูดอยู่ด้านข้าง
ไม่ว่าในสายตาผู้อื่น เฉินตันจูจะร้ายกาจอย่างไร แต่สำหรับจางเหยาแล้ว นางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของเขา
หากโชคร้าย จางเหยาต้องพบเฉินตันจูเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้
“เพียงแต่ไม่คิดว่า ท่านพี่จะกลับมาเร็วเพียงนี้” หลิวเวยพูด “ข้ายังไม่ทันได้เขียนจดหมายบอกท่านว่าตันจูฟื้นแล้ว สถานการณ์ไม่ได้วิกฤตเพียงนั้นแล้ว ให้ท่านไม่ต้องเร่งรีบ”
เฉินตันจูมองจางเหยาที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เพียงแค่เห็นก็จำได้ แต่เวลาดูเมื่อดูอย่างละเอียด นางกลับรู้สึกแปลกตาไม่น้อย ชายหนุ่มผอมลงอย่างมาก อีกทั้งเนื่องจากการเดินทางที่เร่งรีบหลายวัน ทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งแตก…เมื่อเทียบกับการพบกันในฤดูฝนครั้งแรกนั้น จางเหยาในเวลานี้ยิ่งเหมือนกับคนป่วยหนัก
สีหน้าของเฉินตันจูเต็มไปด้วยความสงสาร “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว ข้าไม่เป็นอันใด”
จางเหยาโบกมือต่อนาง ขยับปากพูด “ไม่เป็นอันใดก็ดี ไม่เป็นอันใดก็ดี”
คนทั้งคนผ่อนคลายลงบนเก้าอี้
ไม่เป็นอันใดก็ดี