สืออีเหนียงสำรวจมองสวีลิ่งอี๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขายังคงสวมชุดราชสำนักสีแดงที่สวมเข้าพระราชวังเมื่อวานนี้ แต่เครื่องประดับสีทองบนหมวกเหลียงกวนที่ส่องประกายระยิบระยับกลับดูเยือกเย็น ทำให้เขาที่เดิมทีก็ดูเย็นชาอยู่แล้วดูเคร่งขรึมมากขึ้นกว่าเดิม มองไม่เห็นความแตกต่างจากปกติ แต่ว่าเขานอนค้างแรมในพระราชวังทั้งคืน คงต้องมีอะไรบางอย่างแปลกไปใช่หรือไม่
“ท่านโหว” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ลังเล “ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
สืออีเหนียงสวมเสื้อคลุมสีขาว กระโปรงผ้าทอสีฟ้าปักลายดอกเหมยสีขาว ม้วนผมเป็นมวยธรรมดา ไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไร ไม่ได้แต่งหน้า แววตาสดใส สีหน้านิ่งสงบ ท่าทางดูเป็นมิตร
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกผิดปกติ
สืออีเหนียงชอบจัดดอกไม้ต้นไม้พวกนั้น แล้วยังชอบแต่งตัว แต่งห้อง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ สิ่งของที่เหมือนกัน แต่เมื่อผ่านมือของนางแล้ว กลับเผยให้เห็นความแตกต่างที่ไม่เหมือนคนอื่น ทำให้คนที่พบเห็นมีความสุข ไม่เหมือนกับวันนี้ นางไม่ได้สวมเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ เพื่อให้การแต่งตัวของตัวเองดูเรียบง่าย แล้วก็ไม่ได้จับคู่สีสันของเสื้อผ้า แต่กลับแต่งตัวอย่างธรรมดา ทำให้ขาดความงดงามต่างจากปกติ
ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงที่พวกเขาพึ่งจะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่นางก็ยังแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ยังต้องเลือกต่างหูดอกติงเซียงสีม่วงอ่อนมาใส่ให้ดูมีชีวิตชีวา ทำให้ผู้คนที่เห็นอารมณ์ดีขึ้นตามไปด้วย
วันนี้เกิดอะไรขึ้น นางดูใจลอย!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สายตาของเขาก็มีความแปลกใจ
เมื่อวานตอนที่เข้าไปในพระราชวังยังดีๆ อยู่เลย แต่มาวันนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิม…
หัวใจของสวีลิ่งอี๋เต้นระรัว สายตาของเขามีรอยยิ้มที่แผ่วเบา ทำให้สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยเคร่งขรึมแล้ว
“ข้าสบายดี!” สวีลิ่งอี๋มองไปที่นาง “พระราชกฤษฎีกาว่าเช่นไรบ้าง”
แค่ประโยคเพียงประโยคเดียว ก็เปิดเผยข้อมูลทุกอย่างออกมา
สืออีเหนียงก็ไม่พูดอะไรเหลวไหล “กำหนดฤกษ์วันแต่งงานในวันที่สิบสองเดือนสามเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วยกแขนขึ้น บอกให้นางรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “จะขัดพระราชกฤษฎีกาไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็จัดการให้เรียบร้อยเถิด!”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจ
ทันใดนั้นสืออีเหนียงพลันนึกขึ้นได้ว่า ในบรรดาสตรีของสวีลิ่งอี๋ นอกจากหยวนเหนียงที่เป็นภรรยาเอกของเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฉินอี๋เหนียง เหวินอี๋เหนียง ถงอี๋เหนียงและชิวหลัวที่เสียชีวิตไปแล้ว ล้วนแต่เป็นคนที่เขาไม่ได้ต้องการ ส่วนตนกับเฉียวเหลียนฝังก็ยิ่งช่วยไม่ได้ ดังนั้นในคืนวันแต่งงาน ถึงแม้ว่าเขาจะหงุดหงิด แต่เขาก็พยายามระงับอารมณ์แย่ๆ ของตัวเองเอาไว้…ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร
หรือว่า สำหรับเขาแล้วเรื่องในราชสำนักดูน่าสนใจมากกว่า?
คิดได้เช่นนั้น นางก็แอบหัวเราะ
ไม่ต้องพูดถึงบุตรคนโตสมัยโบราณที่ได้รับการศึกษาระบอบศักดินาอย่างสวีลิ่งอี๋ แม้แต่ตนที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่มีวงศ์ตระกูลเป็นรากเหง้ามาเป็นเวลาหลายปี แนวคิดของตนยังเปลี่ยนไปมาก หากไม่มีตระกูลคอยปกป้อง พึ่งพาแค่ความแข็งแกร่งของตัวเอง ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
สืออีเหนียงช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า
“แต่ว่าข้าไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน” นางนึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองเมื่อหลายปีที่ผ่านมา นึกถึงตอนที่สือเหนียงลำบากทุกคนก็คอยยื่นมือให้ความช่วยเหลือ นึกถึงภาพบรรยากาศโกลาหลตอนที่นายหญิงใหญ่เสียชีวิต “ท่านโหวต้องแนะนำข้านะเจ้าคะ” สืออีเหนียงส่งชุดขุนนางที่ถอดออกมาให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “อย่างไรก็ตาม สกุลหยางก็เป็นคนของไทเฮา ไม่รู้ว่ากฎเดิมจะเหมาะสมหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลง สืออีเหนียงถอดปิ่นปักหมวกเหลียงกวนออกให้เขา
“ถึงตอนนั้นต้องเชิญสำนักดาราศาสตร์มาเลือกฤกษ์งามยามดีหรือไม่ งานเลี้ยงควรมีโต๊ะกี่โต๊ะ ให้นางอยู่ที่เรือนไหนถึงจะดี”
สืออีเหนียงหันไปบอกสาวใช้ให้ยกน้ำร้อนเข้ามา สาวใช้อีกคนหนึ่งก็ถือชุดและหมวกเหลียงกวนของสวีลิ่งอี๋เก็บลงในหีบอย่างระมัดระวัง
“อนุภรรยาคนใหม่เข้าจวนมาแล้ว ต้องให้ของขวัญอะไร แล้วต้องเรียกนางอย่างไร ข้าไม่รู้อะไรเลยเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ม้วนแขนเสื้อขึ้น มองดูนางค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ บนหน้ายังมีรอยยิ้มอันแผ่วเบา
ตอนที่เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอหมั้นหมาย เขาไม่เคยแนะนำ นางยังจัดการได้อย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่ทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วง ทำไมครั้งนี้ถึงต้องมีคนคอยแนะนำด้วย
คิดได้เช่นนี้ เขาก็ค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ตรัสว่า ในเมื่อแต่งเข้ามาในจวนของเราแล้ว ก็คือคนของเรา แค่อย่าให้เขากลายเป็นคนอกตัญญูก็พอ!”
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ นี่คือผลพวงของการประนีประนอมหลังจากการต่อสู้ทางการเมือง!
คำพูดประโยคนี้ของฮ่องเต้ เกรงว่าคงจะต้องต้อนรับหญิงสกุลหยางคนนี้อย่างมีมารยาท
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ข้าไม่ค่อยมีความรู้ เกรงว่าคงต้องถามท่านแม่ว่าควรทำเช่นไร!”
“ได้สิ!” สวีลิ่งอี๋มองดูคิ้วที่กำลังขมวดแล้วคลายออกอย่างรวดเร็วของนาง เขายิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ต้องปรึกษาท่านแม่ ประเดี๋ยวข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเราไปหาท่านแม่กัน”
สืออีเหนียงพยักหน้า นั่งบนเตียงเตาแล้วดื่มชารอ
คงจะต้องตรวจดูสมุดบัญชี ดูว่าตอนที่เหวินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามามีกฎเกณฑ์เช่นไร แล้วยังต้องถามป้าซ่ง ดูว่าแต่งอนุภรรยามีรายละเอียดและข้อห้ามอะไรบ้าง ถึงตอนนั้นจะได้มีข้อมูล…
ผ่านไปไม่นาน สวีลิ่งอี๋ก็เดินออกมาจากห้องชำระ
สืออีเหนียงหยุดคิด ช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อสีฟ้าธรรมดาเหมือนทุกวัน จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินไม่ได้อยู่คนเดียว ฮูหยินสองเองก็อยู่ที่นั่นด้วย
การที่สกุลหยางแต่งเข้ามานั้นคือเรื่องใหญ่สำหรับสกุลสวี สืออีเหนียงไม่ได้แปลกใจที่ฮูหยินสองอยู่ที่นี่ เมื่อไท่ฮูหยินเห็นพวกเขาสองคนเดินเข้ามา ก็บอกให้สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา จากนั้นก็ไล่สาวใช้ในห้องออกไป “นับเวลาแล้ว หากเจ้าไม่กลับมาตอนนี้ ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามก็คงจะกลับมาแล้ว!”
โค้งคำนับเสร็จ สวีลิ่งอี๋ก็เดินไปนั่งบนเตียงเตาตรงข้ามไท่ฮูหยิน ส่วนฮูหยินสองและสืออีเหนียงนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ
ไท่ฮูหยินถามอย่างเคร่งขรึม “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ฮ่องเต้ตรัสว่าไทเฮาร่ำไห้อยู่ที่พระตำหนักเฟิ่งเซียน ให้ข้าเข้าไปเกลี้ยกล่อมนาง ข้าจึงส่งคนรีบไปรายงานองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง แล้วตัวเองค่อยตามไปทีหลัง” สวีลิ่งอี๋ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็เล่าว่า “เมื่อข้าไปถึง ซื่อเจิงและองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงไปถึงพระตำหนักเฟิ่งเซียนก่อนแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ไทเฮาและองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงนั้นอยู่ด้วยกันแล้ว คนหนึ่งคุกเข่าอยู่ทางทิศตะวันออกของพระตำหนักเฟิ่งเซียน อีกคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ทางทิศตะวันตก ร้องห่มร้องไห้พูดเรื่องของตัวเอง ไทเฮาบอกว่าไท่จื่อเฟยไม่มีทายาท นางละอายใจต่อบรรพบุรุษ จะรับหญิงสาวที่มีความสามารถมาให้องค์ไท่จื่อ มองดูเขาแตกกิ่งก้านสาขา สิ้นพระชนม์ไปแล้วจะได้มีหน้าไปเจอกับฮ่องเต้องค์ก่อน องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงกลับบอกว่าตัวเองถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่าทำอะไรก็ให้คิดอย่างรอบคอบ ฮ่องเต้คือผู้ยิ่งใหญ่ ตนซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงยกหลานสาวคนโตของตัวเองให้เป็นพระชายาของไท่จื่อ แล้วยังอบรมบ่มสอนนางอยู่ตลอดว่า อย่าทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัว อย่าใช้ข้ออ้างที่ว่าแต่งงานไม่ถึงสี่เดือนแล้วยังไม่มีทายาท หาคนมารับใช้พระสวามีของตัวเองเข้านอน อย่าประจบสอพลอให้ตัวเองเป็นที่โปรดปราน อย่าสร้างความแตกต่างระหว่างบุตรของพระชายาเอกและบุตรของพระสนม ทำให้เกิดความแตกแยก กฎระเบียบเสียหาย ศีลธรรมตาลปัตร กลายเป็นคนชั่วของตระกูล หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไม่มีทายาทตลอดชีวิตยังจะดีเสียกว่า บอกไท่จื่อเฟยว่าต้องตั้งใจเลี้ยงดูทายาทของไท่จื่อ ให้เป็นราชวงศ์ที่มีความสามารถและศีลธรรม ปกป้องความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ต่อไป…”
เขายังเล่าไม่ทันจบ สีหน้าของสตรีทั้งสามคนในห้องก็เปลี่ยนไป
ตอนนั้นไทเฮาถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาก็เพราะว่าไม่มีทายาท องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงพูดเช่นนี้ นางกำลังพูดแทงใจดำไทเฮา
“ฝูเฉิงคนนี้” ไท่ฮูหยินถอนหายใจ “แม้นางเป็นน้องสาวของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ก็ทำเกินไป!”
“ใช่ขอรับ!” สวีลิ่งอี๋ก็ถอนหายใจ “ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็ชี้ไปที่องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงแล้วเรียก ’เจ้า เจ้า…’ จากนั้นก็หมดสติไป”
ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พวกนางสะดุ้งนั่งตัวตรงพร้อมกัน
“โชคดีที่หมอหลวงหลิวของสำนักหมอหลวงเฝ้าอยู่ที่นอกตำหนักตลอดเวลา” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเอือมระอา “วุ่นวายกันอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ปลอดภัย”
ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว แต่คนในห้องก็ยังคงหวาดกลัว
หากไทเฮาสิ้นพระชนม์เช่นนี้ ไม่ต้องบอกว่าฮ่องเต้จะถูกตราหน้าเป็นฮ่องเต้สารเลวที่ทรยศเสด็จแม่ของตัวเอง แม้แต่องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง สวีลิ่งอี๋และโจวซื่อเจิงที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คงหนีไม่พ้น!
“แต่ว่าไทเฮานั้นทรงพระประชวรจริงๆ” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตื่นขึ้นมายังพูดจาไม่คล่อง จับมือฮ่องเต้ร้องไห้อยู่ตลอด ฮ่องเต้จึงทนไม่ได้ องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงคุกเข่าร้องไห้อยู่ข้างๆ เหม่ยเหรินผู้เป็นพระมารดาขององค์หญิงฉังหนิงที่เคยเลี้ยงดูฮ่องเต้ก็เข้ามา”
ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจจนเกือบจะหายใจไม่ออกอีกครั้ง องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเห็นว่ามันผิดปกติ จึงไม่กล้าพูดอะไร เจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วที่คุกเข่าอยู่ข้างนอกก็ถือโอกาสนี้ร้องไห้ออกมา ทันทีที่ไทเฮาได้ยินก็พยายามลุกขึ้นไปวัดไท่เมี่ยว ฮ่องเต้ห้ามไม่ได้ จึงขยิบตาให้ข้า บอกให้ข้าไปพูดเกลี้ยกล่อม”
พูดถึงตรงนี้ สวีลิ่งอี๋ก็ดูเป็นกังวล
“แต่ซื่อเจิงกลับไม่รู้ความ เห็นเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วร้องไห้จนฮ่องเต้ทำอะไรไม่ถูก จึงเรียกข้าเข้าไปอีกครั้ง แล้วยังร้องไห้ไม่มีน้ำตากับพวกเขา ร้องไห้ไม่มีน้ำตายังไม่พอ แล้วยังกลบเสียงของเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋ว ทำให้ไทเฮาเสียพระทัย เกิดอยากจะฆ่าตัวตาย นางลุกขึ้นเอาหัวกระแทกเตียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ…” เขาหยุดพูดแล้วเหลือบมองที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฮ่องเต้จึงเบิกตาใส่ข้า เสนอว่าจะแต่งตั้งบุตรสาวสองคนของสกุลหยางให้ข้าและซื่อเจิง”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
เดิมทีสวีลิ่งอี๋อยากจะยืมมือบุคคลที่สาม แต่สุดท้ายกลับเป็นคนที่ซวยเอง
ฮ่องเต้คงจะกริ้วที่เขาเรียกองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงและโจวซื่อเจิงมาด้วยกระมัง!
“ไทเฮาไม่เห็นด้วย แต่องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงกลับบอกว่าดี บอกว่าหากสกุลหยางยอมมอบบุตรสาวให้กับซื่อเจิง นางก็จะไปมาหาสู่กับสกุลหยางเหมือนสกุลญาติ แล้วนำบรรพบุรุษออกมาเอ่ยอ้างสาบาน ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ก็ใช้คำพูดขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเกลี้ยกล่อมไทเฮา บอกว่าไม่ยอมให้บุตรสาวสกุลหยางไปรับใช้ไท่จื่อ ไม่ได้หมายความว่าจะห่างเหินกับสกุลหยาง แต่เพราะว่าไท่จื่อเป็นองค์ชายของแว่นแคว้น พึ่งจะอภิเษกสมรสได้ไม่กี่วันก็แต่งตั้งสนม ตุลาการคงจะไม่พอใจ ถึงตอนนั้นอาจจะถูกคนที่มีเจตนาไม่ดีปลุกปั่นให้สงสัยในศีลธรรมของไท่จื่อ ทำให้รากฐานของแว่นแคว้นสั่นคลอน สองคือกลัวว่าคนข้างบนทำอะไร คนข้างล่างก็จะทำตาม ทำให้มันแย่ลงกว่าเดิม แล้วยังพูดกับเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วว่า ตั้งแต่ยกเลิกคำสั่งปิดทะเล หนิงปัว เฉวียนโจวและกว่างตงมักจะมีโจรขึ้นฝั่งมาปล้นสะดม ขุนนางในราชสำนักล้วนแต่เสียใจและไม่พอใจกับเรื่องนี้ ราษฎรเองก็ไม่พอใจกับเรื่องนี้ ราชสำนักมีเรื่องมากมาย พวกเขาคือสกุลของไทเฮา สกุลสวีก็คือสกุลเดิมของฮองเฮา ส่วนซื่อเจิงคือบิดาของไท่จื่อเฟย ล้วนแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ ตอนนี้ก็ควรจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สามัคคีกัน ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะพูดเหลวไหลได้มีสาระเช่นนี้
ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองยิ้มอย่างแผ่วเบา
“ตอนแรกไทเฮายังไม่เห็นด้วย” สวีลิ่งอี๋คงจะคิดว่าคำพูดของฮ่องเต้เหลวไหลเช่นกัน สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงไม่น้อย “แต่เจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วเห็นว่าฮ่องเต้พูดเช่นนี้ พวกเขาทั้งหวาดกลัวจิตใจระส่ำระส่าย ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้วจึงตรัสว่าจะประทานสมรสพระราชทาน ไทเฮาจึงไม่พูดอะไรอีก”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ “เช่นนั้นทำไมมันถึงกลายเป็นพระราชกฤษฎีกาของไทเฮาล่ะเจ้าคะ”