เฉินตันจูจับมือของพี่สาว เดินไปอย่างช้าๆ
“ท่านพี่ แตกต่างจากแต่ก่อนใช่หรือไม่” นางถามด้วยเสียงต่ำพลางยิ้ม
เฉินตันเหยียนตอบ “รุ่งเรืองกว่าแต่ก่อน”
เฉินตันจูหัวเราะคิกคัก
อาจี๋ที่เดินอยู่ข้างหน้าคิดในใจ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินพูดจาดี ไม่เหมือนคุณหนูตันจู พูดพล่ามไร้สาระทั้งวัน ดังนั้นมีผู้ใหญ่ติดตามมาด้วยน่าเชื่อถือกว่า
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะเชื่อถือได้ เวลานี้อาจี๋ถือว่ามีประสบการณ์อย่างมาก เขารู้ดีเกี่ยวกับชาติกำเนิดของเฉินตันจู ปีนั้นเฉินเลี่ยหู่หันปลายดาบเข้าหาฮ่องเต้อย่างโหดร้าย
ถึงแม้คนที่มาจะเป็นบุตรสาวคนโตของเฉินเลี่ยหู่ หากฮ่องเต้พบเข้า จะนึกถึงโทษของเฉินเลี่ยหู่ จากนั้นจะโกรธมากยิ่งขึ้นหรือไม่
อาจี๋ขมวดคิ้วอีกครั้ง เดินนำทาง
เฉินตันจูเห็นจึงยิ้ม “อาจี๋ เจ้าอายุน้อย เหตุใดจึงทำหน้าบึ้งตลอดเวลา กลายเป็นตาเฒ่าน้อยไปเสียแล้ว”
คุณหนูตันจูมักจะหยอกล้อเขา อาจี๋ไม่สนใจมาก จากนั้นได้ยินเฉินตันเหยียนตำหนิเฉินตันจู
“อย่าได้หยอกล้อผู้อื่น อาจี๋สุขุมพึ่งพาได้ เขาอายุน้อยกว่าเจ้าเสียอีก”
อันที่จริงเสียงของเฉินตันจูคล้ายคลึงกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิน ล้วนมีน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แต่น้ำเสียงของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินอ่อนโยนยิ่งกว่า อาจี๋คิดในใจ จากนั้นได้ยินคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินพูดกับเขา
“อาจี๋ ข้าไม่เคยพบเจ้า แต่ข้ารู้จักเจ้า ตันจูบอกเรื่องเจ้ากับข้า”
อย่างนั้นหรือ คุณหนูตันจูพูดถึงเขาตอนคุยกับพี่สาวด้วยหรือ อาจี๋บีบนิ้วด้วยความเขินอาย…หึ คงไม่ได้พูดถึงเรื่องดีของเขา
เพิ่งเดินไปถึงหน้าตำหนัก เขาก็เห็นภายในตำหนักมีคนหลายคนเดินออกมา มีองค์ชายสาม องค์รัชทายาท โจวเสวียน
ฝีเท้าของอาจี๋ชะงักลง
เฉินตันเหยียนก็หยุดลง เฉินตันจูก็เห็นเช่นเดียวกัน นางไม่มีการเคลื่อนไหวใด พิงอยู่ด้านหลังของพี่สาวอย่างเชื่อฟัง
องค์รัชทายาทเพียงแค่เหลือบมองมาทางนี้ ก่อนจะพาขันทีจากไป องค์ชายสามกับโจวเสวียนคำนับส่งเขาจากไป หลังจากลุกขึ้น องค์ชายสามก็จากไป ไม่แม้แต่จะมองทางนี้
มีเพียงโจวเสวียนยืนจ้องมองนางอยู่ที่เดิม
อาจี๋แอบโล่งใจ เดินมาทางประตูตำหนัก ได้ยินเฉินตันจูแนะนำต่อเฉินตันเหยียนอยู่ด้านหลังเสียงเบา “ท่านนั้นคือองค์รัชทายาท ท่านนั้นคือองค์ชายสาม ท่านนี้…คือท่านโหวกวนเน่ย”
เวลานี้พวกนางเดินมาถึงหน้าประตู
ท่านโหวกวนเน่ย...ท่านโหวกวนเน่ย โจวเสวียนแอบเย้ยหยันในใจ นางแนะนำตนเองกับพี่สาวเช่นนี้หรือ
เฉินตันเหยียนไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสีหน้าดำทะมึนของท่านโหวหนุ่มผู้นี้ นางย่อเข่าทำความเคารพ “เฉินตันเหยียนคารวะท่านโหว”
เฉินตันจูย่อเข่าอยู่ด้านหลังเฉินตันเหยียน ไม่พูดจา
โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ หันหลังจากไป
อาจี๋อดพูดเสียงเบาไม่ได้ “ท่านโหวกวนเน่ยนิสัยเป็นเช่นนี้เสมอมา”
เฉินตันเหยียนลุกขึ้นยิ้มให้เขา “ขอบคุณอาจี๋กงกง”
อาจี๋ดึงสีหน้ากลับมา “พวกท่านรออยู่ตรงนี้ ข้าเข้าไปทูลฮ่องเต้” เขาเดินเข้าไปในพระตำหนัก ไม่นานนักก็พาขันทีใหญ่ที่มีลักษณะอ้วนท้วม ใบหน้าขาวเดินออกมา
“คุณหนูทั้งสอง” ขันทีจิ้นจงพูด “ฝ่าบาทกำลังเสวยพระกระยาหาร พวกท่านเข้ามารอด้านในเถิด”
เฉินตันเหยียนตอบรับ พร้อมคำนับเขา เฉินตันจูคำนับตามอยู่ด้านหลัง
ขันทีจิ้นจงเหลือบมองเฉินตันจู แทบจะจำไม่ได้ อาจเป็นเพราะนางป่วยหนัก ทำให้นางผอมลงไปมาก ไม่มีชีวิตชีวาเท่าแต่ก่อน สิ่งสำคัญคือเขาเพิ่งเคยเห็นนางสงบเช่นนี้เป็นครั้งแรก เป็นเพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็กจากไปหรือเพราะพี่สาวอยู่ข้างกาย
เขายิ้มพลางโบกมือให้อาจี๋ “เจ้าเหน็ดเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด”
อาจี๋ตอบรับพลางมองขันทีจิ้นจงพาสองพี่น้องเดินเข้าไป ถึงแม้ไม่ต้องเข้าไปเฝ้าอยู่ด้านหน้าของฝ่าบาท…แต่ฝ่าบาทคงต้องทรงกริ้วอย่างมาก ทำให้เขาไม่ได้โล่งใจนัก
ทางด้านองค์ชายสาม เมื่อออกห่างจากหน้าตำหนัก เขาชะลอฝีเท้าลง หันกลับไปมองจากระยะไกล เมื่อเห็นร่างของเฉินตันจูหายลับไปจากหน้าประตูตำหนัก เขาถอนหายใจเสียงเบา
“องค์ชาย” เสี่ยวชวีพูดอยู่ด้านข้าง “เหตุใดท่านจึงไม่พูดกับคุณหนูตันจูตอนอยู่หน้าตำหนัก บอกนางว่าท่านอ้อนวอนต่อฝ่าบาทแล้ว ให้คุณหนูตันจูวางใจ”
องค์ชายสามยิ้ม ภายในดวงตาเศร้าหมอง “ข้าอยู่ตรงนั้นก็ดี พูดกับนางก็ดี แต่คงไม่ได้ทำให้นางวางใจแล้ว”
เขาสูญเสียใจของนางไปแล้ว
เขาอยู่ตรงนั้น พูดกับนาง มีเพียงทำให้นางไม่สบายใจ
องค์ชายสามเบนสายตากลับมา เดินจากไปอย่างเชื่องช้า เสี่ยวชวีมองแผ่นหลังของเขา สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าขององค์ชายสาม เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ องค์ชายสามส่งหญิงสาวเมืองฉีจากไปเพื่อคุณหนูตันจู เขาต้องเสี่ยงอันตรายเพียงใดในการส่งหญิงสาวเมืองฉีจากไป!
หญิงสาวเมืองฉีไม่อยากจากไป หญิงสาวที่เชื่อฟังเปลี่ยนแปลงท่าที “ท่านต้องการทรยศต่อคำมั่นหรือ ท่านไม่กลัวคำหลอกลวงถูกเปิดเผยหรือ”
นางข่มขู่องค์ชายสาม
แต่องค์ชายสาม เพียงแค่ยิ้ม “ระหว่างข้ากับท่านอ๋องฉีไม่ใช่คำมั่น แต่มันคือคำอ้อนวอนของท่านอ๋องฉีที่มีต่อข้า ข้ารับคำอ้อนวอนของเขาเท่านั้น ส่วนเรื่องคำหลอกลวงถูกเปิดเผย…” เขามองหญิงสาวเมืองฉีจากที่สูง เรียกขานอีกฝ่าย “หนิงหนิง หากข้าไปทูลกับฝ่าบาทว่าคำโกหกนั้นคือข้าหายดีแล้ว เจ้าว่าผู้ใดควรกลัว”
น้ำเสียงการพูดขององค์ชายสามไพเราะอย่างมาก เหมือนดั่งลำธารที่ใสสะอาด ครั้งแรกที่หนิงหนิงได้ยินเขาเรียกชื่อ นางก็อยากฟังไปทั้งชีวิต แต่เวลานี้ น้ำเสียงที่ใช้เรียกขานหนิงหนิงยังคงไพเราะ แต่นางอดตัวสั่นเทาไม่ได้ ราวกับมีมีดกรีดลงบนเนื้อ บนกระดูกของนางทีละน้อย
นางไม่สงสัยแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่นางคิดอาจกลายเป็นจริง
เพียงแค่องค์ชายสามทูลต่อฮ่องเต้ บอกว่านางหลอกเขา นางไม่ได้รักษาเขาให้หายดี ทุกสิ่งล้วนเป็นแผนการของนาง เขาอยากจัดการนางอย่างไรก็ได้ ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะสนใจ…
ส่วนท่านอ๋องฉี ยิ่งไม่มีทางปกป้องนาง
องค์ชายสามเพียงแค่ต้องการกำจัดนาง แต่ไม่ได้ต้องการกำจัดท่านอ๋องฉี
เสี่ยวชวีส่งตัวของหญิงสาวเมืองฉีที่โศกเศร้าจากไป เมื่อเขาถึงแคว้นฉี เขาก็ได้อธิบายกับท่านอ๋องฉี ถึงแม้ท่านอ๋องฉีจะเป็นสามัญชนที่ถูกกักบริเวณ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสามัญชนที่ใกล้ตายนี้ให้สมบัติกว่าครึ่งเมืองฉีแก่องค์ชายสาม เสี่ยวชวีก็ไม่กล้าดูถูก…ผู้ใดจะรู้ว่ายังมีกลอุบายอื่นอีกหรือไม่
ท่านอ๋องฉีได้ยินว่าหญิงสาวเมืองฉีทำให้องค์ชายสามขุ่นเคือง องค์ชายสามจึงส่งหญิงสาวเมืองฉีกลับมา เขาไม่ได้โกรธ เพียงแค่ถามด้วยความสงสัย “องค์ชายสามมีหญิงสาวที่ชื่นชอบแล้วหรือ”
สมกับเป็นท่านอ๋องที่ก่อให้เกิดสงครามห้าเมือง สงครามสามอ๋อง คำพูดเดียวก็พูดถึงประเด็นสำคัญ เสี่ยวชวีปฏิเสธด้วยใบหน้าบึ้งตึง ให้ท่านอ๋องฉีไม่ต้องถามมาก อย่างไรก็ตามสัญญาระหว่างองค์ชายสามกับท่านอ๋องฉียังอยู่ เพียงแต่หญิงสาวเมืองฉีอยู่ต่อไม่ได้
ท่านอ๋องฉีไม่ได้ถามอีก ตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ เพียงแต่ก่อนจากมาเขาได้พูดอีกประโยค “ได้ยินว่าเฉินตันจูบุตรสาวของขุนนางอู๋เฉินเลี่ยหู่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงมีเมตตา ไม่ถือสาพวกข้า”
เสี่ยวชวีรู้สึกว่าคำพูดของท่านอ๋องฉีมีนัย แต่เขาไม่อยากพูดมาก เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
แม้แต่ท่านอ๋องฉีที่ถูกขังอยู่ในจวนแคว้นฉียังรู้ว่าเฉินตันจูได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เสี่ยวชวีรู้สึกขบขัน เฉินตันจูถือว่าได้รับความโปรดปรานหรือ หากครุ่นคิดอย่างละเอียดก็คงใช่ แต่อันที่จริงแล้วเฉินตันจูได้รับความเดือดร้อนอย่างไม่ขาดสาย เวลานี้ยิ่งแทบจะต้องสูญเสียชีวิต…
ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะลงโทษนางอย่างไร เพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อยู่แล้ว
ความผิดฐานหลบหลู่อย่างการสังหารคนที่ฮ่องเต้ต้องการพระราชทานรางวัล เพียงแค่มีคำขอร้องขององค์ชายสาม เกรงว่าอาจไม่ถึงโทษประหาร แต่โทษอื่นคงยากที่จะหลีกหนี
เสี่ยวชวีครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบมองตำหนักใหญ่ จากนั้นเดินตามองค์ชายสามจากไป
ภายในตำหนักใหญ่มีเพียงเฉินตันจูและเฉินตันเหยียน หลังจากที่ขันทีจิ้นจงนำพวกนางเข้ามา เขาก็รีบไปปรนนิบัติฝ่าบาท ให้พวกนางรออยู่ตรงนี้
รอไม่มีปัญหา แต่ปัญหาของพี่น้องทั้งสองคือ ให้ยืนรอ นั่งรอ หรือคุกเข่ารอ
“นั่งเถิด” เฉินตันจูแนะนำ “เช่นนี้ไม่เหนื่อย อีกทั้งเมื่อฝ่าบาทเข้ามาก็ย่อมเปลี่ยนเป็นคุกเข่าได้”
เฉินตันเหยียนหัวเราะ “เจ้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทเช่นนี้หรือ”
เฉินตันจูพูด “ไม่ใช่ ข้าเคารพฝ่าบาทอย่างมาก ในใจของข้าฝ่าบาทคือจักรพรรดิผู้เที่ยง…”
ทันทีที่สิ้นเสียงนาง ด้านหลังประตูตำหนักมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น
“จักรพรรดิผู้เที่ยงธรรมหรือ? ในสายตาของเจ้าเฉินตันจู จักรพรรดิผู้เที่ยงธรรมเท่ากับสามารถไม่สนใจ สามารถหลอกลวงได้ใช่หรือไม่”
เฉินตันจูกับเฉินตันเหยียนรีบก้มหน้าคุกเข่าลง กล่าวถวายบังคมฝ่าบาทเสียงดัง
ฮ่องเต้เดินเข้ามานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งสอง เขาไม่ได้มองเฉินตันเหยียน เพียงแค่จับจ้องไปยังเฉินตันจู
“เฉินตันจู เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงเรียกเจ้ามา” ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น
เฉินตันจูเงยหน้าด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้น พูด “หม่อนฉันมี…”
คำว่าโทษของนางยังไม่ทันพูดออกมา เฉินตันเหยียนที่อยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้น “…มาเพื่อขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
สายตาของฮ่องเต้ตกอยู่บนตัวของเฉินตันเหยียน