ทันใดนั้น ภายในห้องก็เงียบสงัด
สืออีเหนียงเงยหน้ามองปลาทองที่ว่ายน้ำไปมาตรงขอบหน้าต่าง
นางแตะตู้ปลาเบาๆ
ปลาทองว่ายหนีออกไปด้วยความตกใจ จากนั้นก็ว่ายมารวมตัวกัน เป่าฟองอากาศใส่นางที่กระจก
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางพลันนึกถึงหลัวเจิ้นหงที่อยู่อวี๋หังที่ห่างไกล
ครั้งแรกที่ตนกอดเขา เขาก็เป่าฟองอากาศใส่ตนเช่นนี้
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา ตัดสินใจเขียนจดหมายถามไถ่อี๋เหนียงห้าและหลัวเจิ้นซิ่ง
หู่พั่วย้ายโคมไฟมา พับแขนเสื้อขึ้นแล้วช่วยสืออีเหนียงฝนหมึก
หลังจากเขียนจดหมายเสร็จแล้ว เหวินอี๋เหนียงก็มาพอดี
“ทำความสะอาดห้องเรียบร้อยแล้ว!” นางยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ท่านคิดว่า ท่านจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” สืออีเหนียงยื่นจดหมายให้หู่พั่ว บอกให้นางหาคนส่งจดหมายออกไป “ข้าไม่ได้ออกไปอยู่แล้ว เช่นนี้ก็พอแล้ว”
นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวธรรมดา สวมกระโปรงสีฟ้า ม้วนผมเป็นมวย ห้อยหยกขาวดอกกล้วยไม้ไว้ตรงเอว ในความเรียบง่ายมีความสง่างาม เป็นการแต่งตัวที่เหมาะกับช่วงไว้ทุกข์ของนางเป็นอย่างมาก
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วไม่พูดอะไรอีก เหลือบมองนาฬิกาไขลานในห้องปีกทางทิศตะวันออก “อีกหนึ่งเค่อเสลี่ยงก็จะเข้าประตูแล้ว!”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียงไปที่ห้องโถง
สวีลิ่งอี๋สวมเสื้อผ้าไหมสีฟ้าตัวเดิมที่เขาชอบใส่ ม้วนผมด้วยปิ่นไม้ไผ่ อกผ่ายไหล่ผึ่ง ดวงตาที่กลมโตเป็นประกาย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาดื่มสุรา หน้าจึงแดง สีหน้าก็ไม่ได้เคร่มขรึมเหมือนปกติ ทำให้เขาดูเป็นมิตรมากขึ้นไม่น้อย
พวกนางเดินเข้าไปคำนับสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงเอ่ยเตือนเขาว่า “ท่านโหวเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋เข้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าไหมสีฟ้าตัวใหม่ ทำให้เขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วเอ่ยชมเขา “ท่านโหวแต่งตัวเช่นนี้ ดูเด็กลงไม่น้อยเจ้าค่ะ…”
สวีลิ่งอี๋เหลือบไปมองนางช้าๆ
คำพูดของนางจึงติดอยู่ที่ลำคอ พลันทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สาวใช้ในห้องต่างพากันก้มหน้าก้มตาลง ทำท่าทีมองไม่เห็น แต่มันกลับทำให้บรรยากาศอึดอัดมากกว่าเดิม
สืออีเหนียงช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้เหวินอี๋เหนียง “ชาพร้อมแล้วหรือยัง”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” นางกลับมายิ้มอีกครั้ง “ถ้วยชากระเบื้องลายกิ่งไม้ ประเดี๋ยวชงชาหลงจิ่งชั้นดี”
บรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายลง มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวขอรับ เสลี่ยงเข้าประตูมาแล้วขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียง “เจ้ากลับเข้าไปเถิด!”
ตอนที่สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ปรึกษากันเรื่องดื่มชาคารวะ สวีลิ่งอี๋พูดอย่างไม่สนใจว่า “เรื่องไว้ทุกข์ต้องมาก่อน” สืออีเหนียงจึงคิดว่าเขาจะให้มาดื่มชาคารวะที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก
ทันทีที่นางนั่งลง ก็มีบ่าวรับใช้มารายงานว่า “ท่านโหวขอรับ อี๋เหนียงคนใหม่เข้าประตูมาแล้วขอรับ”
เสลี่ยงของคนสกุลหยางเข้ามาทางประตูหลัง จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบันไดเรือนหลักอย่างรวดเร็ว
ป้าตู้และป้าซ่งประคองสตรีที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีชมพูเข้ามาที่ห้องโถง เหวินอี๋เหนียงยิ้มพรายแล้วเดินไปเปิดผ้าคลุมหน้าออก
บรรยากาศในห้องพลันเงียบสงัด ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงหัวเราะที่ราวกับเสียงระฆังของเหวินอี๋เหนียงดังขึ้นมา “ท่านโหวเจ้าคะ อี๋เหนียงดื่มชาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
ลี่ว์อวิ๋นรีบนำเบาะรองเข่าไปไว้ข้างหน้าหยางอี๋เหนียง
หยางอี๋เหนียงที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดก็คุกเข่าลง รับชาในมือของป้าซ่งมาแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ
สวีลิ่งอี๋รับถ้วยชามา
หยางอี๋เหนียงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมา ก็พบเข้ากับใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และหล่อเหลาของสวีลิ่งอี๋
นางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง แต่หางตากลับเหลือบมองไปอีกด้านอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตามกฎแล้วควรมีฮูหยินสกุลหลัวของหย่งผิงโหวนั่งอยู่
แต่บนเก้าอี้ไท่ซือกลับไม่มีใครสักคน มีเพียงเบาะรองนั่งสีแดงบนเก้าอี้ที่อยู่ภายใต้แสงไฟ ทำให้มันสว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน
นางพลันตกใจ
ป้าตู้เข้ามาพยุงแขนนาง
ความคิดผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นหยางอี๋เหนียงก็เข้าใจทันที
คนในสกุลเคยบอกตนว่า สกุลหลัวยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์
คาดว่าคงจะกลัวชนกับงานมงคล ดังนั้นจึงเลือกนั่งอยู่อีกห้องหนึ่งกระมัง
นางลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลและอ่อนโยนแต่น้ำเสียงกลับเรียบเฉยของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา “ดื่มชาคารวะที่นี่เถิด!”
หยางอี๋เหนียงรู้สึกว่าป้าตู้ที่พยุงตัวเองขึ้นมาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองไปที่ป้าตู้ “ฮูหยินยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์”
ดูเหมือนว่ากำลังอธิบาย แต่ก็ดูเหมือนว่ากำลังออกคำสั่ง
ป้าตู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองสวีลิ่งอี๋
เขานั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม สายตาเย็นชา และถ้วยชาที่หยางอี๋เหนียงคารวะเขาเมื่อครู่ก็ถูกเขาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ อย่างไม่สนใจ
ป้าตู้ตกอกตกใจ พลันยืดตัวตรงเงียบๆ จากนั้นก็ก้มหน้าแล้วเดินไปอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว
ป้าซ่งได้ยินแล้วก็ตกใจเช่นกัน
มันไม่เหมือนกับที่ฮูหยินพูดไว้ก่อนหน้านี้ ดื่มชาคารวะที่นี่? จะคารวะอย่างไรกัน…
แต่ตอนนี้ นางไม่มีสิทธิ์สงสัย
ป้าซ่งหยุดความสับสนในใจของตัวเองเอาไว้ รีบถือถ้วยชาที่อยู่บนถาดในมือของสาวใช้ที่เตรียมไว้ตั้งนานแล้วยื่นให้หยางอี๋เหนียง
หยางอี๋เหนียงรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่ว่าป้าซ่งยื่นถ้วยชามาให้แล้ว นางไม่มีเวลามาคิดอะไร รับถ้วยชามา ก้มหน้าลงแล้วยกถ้วยชาขึ้นเหนือศีรษะ
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองเหวินอี๋เหนียงที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ไท่ซือ
ทันใดนั้นเหวินอี๋เหนียงก็รู้สึกเหมือนกลิ้งอยู่ในลมฝนพายุ ราวกับถูกทรมานบนกองไฟที่กำลังใช้หุงอาหาร นางยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ให้ตนรับถ้วยชา!
แต่ตนเป็นอนุภรรยา!
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองนางอีกครั้งด้วยสายตาที่เย็นชา
ฉับพลัน ราวกับถูกสาดด้วยน้ำที่เย็นยะเยือกในฤดูหนาวก็ไม่ปาน เหวินอี๋เหนียงได้สติกลับมา
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามฝืนยิ้มแล้วเดินเข้าไปรับถ้วยชามาจากหยางอี๋เหนียง
“พี่หญิงหยาง” เหวินอี๋เหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความเคารพและสนิทสนม “ฮูหยินของเรายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์”
คนในห้องนี้ ตนทำให้ใครไม่พอใจไม่ได้สักคน ดังนั้นจึงต้องพูดอย่างให้เกียรติ
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นด้วยสายตาที่พอใจ “เอาล่ะ ซุ่นอ๋องและคนอื่นๆ ยังอยู่ข้างนอก พวกเจ้าดูแลหญิงหยางอี๋เหนียงให้ดี ข้าออกไปประเดี๋ยว” จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องโถง
บรรยากาศในห้องพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
“เร็วเข้า ประคองอี๋เหนียงคนใหม่เข้าไปในห้อง” เหวินอี๋เหนียงนึกถึงความเย็นชาในสายตาของสวีลิ่งอี๋เมื่อครู่ นางก็รีบยิ้มแย้ม “ประเดี๋ยวท่านโหวกลับมาแล้วจะตำหนิข้า ข้าไม่รับผิดชอบนะ!”
ป้าตู้ยิ้มแล้วเดินเข้าไปประคองหยางอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงยื่นถ้วยชาให้ลี่ว์อวิ๋นที่อยู่ข้างๆ เดินเข้าไปชี้ป้าตู้ “พี่หญิงหยาง นี่คือป้าตู้ ป้ารับใช้คนสนิทของไท่ฮูหยิน รับใช้ไท่ฮูหยินของเรามากว่าสี่สิบปีแล้ว แม้แต่ท่านโหวของเรายังต้องเรียกท่านป้าด้วยความเคารพ ’“
หยางอี๋เหนียงเองก็เรียกนางว่า “ป้าตู้” อย่างรู้ความ
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดกับเหวินอี๋เหนียง “อย่าฟังนางพูดเหลวไหลเจ้าค่ะ คนรับใช้อย่างเรา ท่านโหวเรียกเช่นนั้นก็เพราะว่าให้เกียรติไท่ฮูหยิน ตัวเองมีความดีความชอบเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มแล้วชี้ไปที่ป้าซ่งที่อยู่ข้างๆ “นี่คือป้าซ่ง ป้ารับใช้คนสนิทของฮูหยิน ต่อไปท่านต้องไปมาหาสู่กับนาง”
หยางอี๋เหนียงก็รีบเรียกนางว่า “ป้าซ่ง” ด้วยความเคารพ
ป้าซ่งยิ้มแล้วโบกมือ “ไม่กล้า ไม่กล้าเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เอาล่ะ พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน!” เหวินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็ยื่นมือออกไปกอดแขนข้างหนึ่งของหยางอี๋เหนียงอย่างสนิมสนม จากนั้นก็พูดด้วยความเป็นห่วงว่า “วันนี้ยุ่งทั้งวันใช่หรือไม่! ถือโอกาสตอนที่ท่านโหวออกไปดื่มสุราขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็พักผ่อนสักหน่อยเกิด มีเรื่องอันใดประเดี๋ยวค่อยว่ากัน มีเวลาอีกตั้งเยอะแยะ!”
หยางอี๋เหนียงเห็นนางสวมเครื่องประดับปิ่นดอกมรกตบนหัว สวมต่างหูเพชรตาแมว อีกทั้งยังสวมเสื้อกั๊กยาวปักฐานสีทองและรองเท้าปักด้ายสีทอง นางยิ้มแล้วพูดคุยกับท่านป้าผู้ดูแล แล้วยังแต่งตัวหรูหราขนาดนี้ บอกว่าตัวเองเป็นอนุภรรยา แต่เมื่อครู่ยังรับถ้วยชาคารวะของตน ปากบอกว่าตนเป็นแขก แต่พฤติกรรมของนางกลับไม่ได้ระมัดระวังอะไรขนาดนั้น หยางอี๋เหนียงจึงไม่แน่ใจ เหลือบไปมองป้าซ่งแล้วพูดด้วยความลังเล “ท่านนี้คือ…”
“ดูข้าสิ! มัวแต่พูดถึงเรื่องตัวเอง” ป้าซ่งยิ้มแล้วแนะนำนาง “นี่คืออี๋เหนียงของเรา สกุลเดิมคือสกุลเหวินเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงจึงเรียก “พี่หญิง” แล้วย่อเข่าคำนับเหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงจับแขนนางไม่ปล่อย “อย่า อย่า อย่า เจ้าเป็นคนของไทเฮา สถานะสูงส่ง จะให้เจ้าคำนับข้าได้เช่นไร”
ป้าตู้ถือโอกาสปล่อยมือหยางอี๋เหนียง
หยางอี๋เหนียงฝืนคำนับ “พี่หญิงพูดอะไรกันเจ้าคะ ในเมื่อแต่งเข้ามาแล้ว ก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน เรื่องของเมื่อก่อนก็คือเรื่องของเมื่อก่อน เรื่องของตอนนี้ก็คือเรื่องของตอนนี้ พี่หญิงแต่งเข้ามาก่อนข้า ข้าต้องคำนับพี่หญิงสิเจ้าคะ…”
“ไอ๊หยา พี่หญิงหยางช่างพูดเป็นเสียจริงๆ!” นางเอ่ยชมหยางอี๋เหนียงพลางประคองนางเดินออกไปข้างนอก
“ท่านเรียกข้าว่าน้องหญิงเถิด…” หยางอี๋เหนียงพูดกับเหวินอี๋เหนียง แล้วเดินออกไปเรื่อยๆ
สาวใช้และป้ารับใช้ของเหวินอี๋เหนียงล้วนเดินตามไป ล้อมรอบเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงไปที่ลานเล็กทางทิศตะวันออก
ป้าตู้และป้าซ่งขยิบตาให้กัน
ทันใดนั้นในห้องก็เงียบสงัด
ลี่ว์อวิ๋นถือถ้วยชาถ้วยนั้นเดินเข้ามาอย่างมึนงง “ป้าซ่ง ชาถ้วยนี้…”
ป้าซ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ป้าตู้ก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อมันเย็นแล้ว ก็เททิ้งเถิด!”
ลี่ว์อวิ๋นมองดูถ้วยชาที่มีควันร้อนลอยออกมาด้วยสีหน้าที่งงงวย
ป้าซ่งยกยิ้มอย่างพอใจ
ป้าตู้เห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงคนใหม่แต่งเข้ามาแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าไปบอกลาฮูหยินแล้วก็จะกลับไปที่เรือน พรุ่งนี้เช้ายังต้องรับใช้ไท่ฮูหยินตื่นนอน!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่กล้ารั้งเจ้าไว้” ป้าซ่งพูด นางเดินออกไปเปิดม่านด้วยตัวเอง “วันไหนเจ้าไม่มีอะไรทำก็ค่อยมานั่งเล่นที่เรือนเถิด!”
ป้าตู้ยิ้มแล้วตอบรับ ก้มหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“ฮูหยินเจ้าคะ” นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “อี๋เหนียงคนใหม่ดื่มชาคารวะแล้วเจ้าค่ะ ส่วนท่านโหวออกไปต้อนรับแขกข้างนอก ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรให้บ่าวรับใช้อีกหรือไม่”
สืออีเหนียงนั่งอยู่ในห้อง นางได้ยินเสียงข้างนอกอย่างแผ่วเบา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสน คิดไม่ถึงว่าป้าตู้จะมาบอกลาตัวเอง
อี๋เหนียงคนใหม่ลงมาจากเสลี่ยงจะต้องมีคนคอยประคอง เดิมที่นางอยากเชิญป้าสือ ท่านป้าคนสนิทของฮูหยินห้ามา แต่ซินเจี่ยเอ๋อร์กลับไม่ค่อยสบายพอดี นางถึงได้เชิญป้าตู้มาแทน
ไม่รู้สถานการณ์ เรื่องบางเรื่องนางก็ไม่ควรถาม นางยิ้มแล้วพูดขอบคุณป้าตู้ บอกให้หู่พั่วหยิบของขวัญที่เตรียมไว้แล้วออกมา
ผ้าทอสองผืน ผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดสองผืน ผ้าไหมสองผืน และผ้าไหมขาวสองผืน ล้วนแต่เป็นของชั้นดี
“ท่านป้าอย่าปฏิเสธเลย ถือว่าเป็นการแสดงความยินดีให้ท่านโหวของเรา”
ป้าตู้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มแล้วรับมันมา จากนั้นก็เอ่ยขอตัวลา
สีหน้าของสืออีเหนียงมืดมนลง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ใบหน้าของป้าซ่งกลับมีรอยยิ้มที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่ “ท่านโหวไม่ได้ให้อี๋เหนียงคนใหม่ดื่มชาคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ!”
ไม่ดื่มชาคารวะ?
หมายความว่าอะไร
สืออีเหนียงมองไปที่ป้าซ่งด้วยความแปลกใจ
“อนุภรรยาแต่งเข้ามา หากไม่ดื่มชาคารวะนายหญิง เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นพิธี” ป้าซ่งยิ้ม “หากไม่เป็นพิธี จะถือว่าเป็นอนุภรรยาของท่านโหวได้เช่นไรเจ้าคะ! “