ไม่ได้ดื่มชาคารวะนายหญิง ถือว่าพิธีไม่สำเร็จ หากพิธีสำเร็จก็ไม่ถือว่าเป็นอนุภรรยาของท่านโหว
สำหรับคนอื่น อาจจะพูดเช่นนี้ได้ แต่สำหรับสกุลหยางมันไม่เหมือนกัน นางมีพระราชกฤษฎีกา
ป้าซ่งเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้สืออีเหนียงฟัง แต่สืออีเหนียงกลับใจลอย
สวีลิ่งอี๋เป็นขุนนางการเมือง ผ่านไปนานเข้า เขาอาจจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมการทำงาน เขาอาจจะกำลังวางแผน อาจจะกำลังอดทน แต่เขาไม่มีทางบุ่มบ่ามหรือประมาทเพราะความรู้สึก
ที่เขาทำเช่นนี้ มันต้องมีเหตุผลแน่นอน
แต่นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุผลอะไร
แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร สตรีสกุลหยางเป็นคนของไทเฮา แล้วยังแต่งเข้ามาในจวนสกุลสวีตามขนบธรรมเนียม ในสายตาของผู้คน สตรีสกุลหยางก็คืออนุภรรยาของเขาแล้ว หรือว่าคนอื่นจะปฏิเสธว่าสตรีสกุลหยางไม่ใช่อนุภรรยาของสวีลิ่งอี๋เพียงเพราะนางไม่ได้ดื่มชาคารวะตัวเองเช่นนั้นหรือ หรือว่าเมื่อไทเฮาสวรรคตแล้ว เขาสามารถใช้ข้ออ้างนี้ไล่สตรีสกุลหยางออกไปจากจวนเช่นนั้นหรือ เขาทำเช่นนี้ นอกจากอยากทำให้สตรีสกุลหยางรู้ว่าเขาไม่สนใจตัวเองแล้วไม่พอใจ นอกจากอยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่พอใจกับเรื่องนี้ มันยังจะมีข้อดีอะไรอีก
ถึงแม้ว่าเขาพร้อมที่จะหย่ากับสตรีสกุลหยางเมื่อฮ่องเต้แตกแยกกับสกุลหยาง แต่ตอนนี้ ฮ่องเต้เป็นคนตอบตกลงเรื่องแต่งตั้งอนุภรรยา นางคือคนของไทเฮา เขาสามารถถือโอกาสนี้โปรดปรานสกุลหยาง ถึงจะสามารถทำให้ฮ่องเต้พอใจ ทำให้ไทเฮาพอใจ แล้วยังสามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการไปขอร้องความยุติธรรมจากฮ่องเต้ในเวลาที่คับขัน
ได้เปรียบแล้วแต่ยังทำเรื่องไม่มีเหตุผล!
นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของขุนนางการเมืองที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือ
สวีลิ่งอี๋เป็นอะไรไป
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ป้าซ่ง
ภายใต้แสงไฟ ป้าซ่งกำลังพูดด้วยใบหน้าที่มีความสุข
“ป้าซ่ง” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะนาง “หยางอี๋เหนียงแต่งเข้ามาตามพระราชกฤษฎีกา”
เสียงพูดที่มีความสุขของป้าซ่งพลันหยุดชะงักทันที
“ตราบใดที่แต่งเข้ามาแล้ว ก็คืออนุภรรยาของท่านโหว” สืออีเหนียงเตือนนางเบาๆ
“แต่ แต่ว่า…” ป้าซ่งคิดว่าสืออีเหนียงพูดมีเหตุผล แต่เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น นางก็คิดว่าสืออีเหนียงพูดนั้นผิด แต่มันผิดตรงไหน นางก็บอกไม่ได้ ทำได้แค่พึ่งพาสัญชาตญาณของตัวเอง “แต่ว่าท่านโหวไม่ให้นางดื่มชาคารวะฮูหยิน ก็หมายความว่าท่านโหวไม่ยอมรับนางเจ้าค่ะ”
ใช่สิ นี่คือเรื่องที่ทำให้คนสงสัย!
หากไม่พอใจจริงๆ ปล่อยให้นางอยู่ที่นั่นก็ได้ ทำไมต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ นางไล่สาวใช้ที่อยู่ในห้องออกไป จากนั้นก็ให้หู่พั่วรับใช้นางพักผ่อน
อยู่ด้วยกันมานาน นางยิ่งรู้สึกว่าตัวเองและสวีลิ่งอี๋เป็นคนสองคนที่นิสัยคล้ายกันมาก
พวกเขาล้วนแต่หวังว่าตัวเองจะมีอำนาจมากขึ้นเพื่อรับรองว่าตัวเองจะมีชีวิตที่ดีขึ้น พวกเขาล้วนแต่ยอมแบกรับความรับผิดชอบและภาระที่ตัวเองต้องแบกรับ สวีลิ่งอี๋เป็นหย่งผิงโหว ดังนั้นเขาต้องรับผิดชอบความเจริญรุ่งเรืองของสกุล ความเจริญรุ่งเรืองของลูกหลาน และดูแลทุกคนในครอบครัว นางเป็นฮูหยินหย่งผิงโหว ดังนั้นนางจึงมีหน้าที่ดูแลส่วนกลางของจวน เคารพไท่ฮูหยิน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาลูกสะใภ้ จัดการบรรดาอนุภรรยาและดูแลลูกๆ ให้ดี...เมื่อตั้งหลักมั่นคงแล้ว นางก็จะเริ่มคบหาสมาคมกับสหาย เปิดร้านเย็บปักถักร้อย บริหารสินเดิม อยากมีสังคมเป็นของตัวเอง แต่สวีลิ่งอี๋ ดูเหมือนว่าไม่เคยเห็นเขาวางแผนให้ตัวเอง หรือว่า เขาอาจจะวางแผนแล้วนางไม่รู้ พวกเขาทั้งสองคน เขามักจะอยู่ข้างนอก ความดีของเขานางมองไม่เห็น นางมักจะอยู่ข้างใน แค่มีอะไรเคลื่อนไหวเขาก็รู้แล้ว…
ท่ามกลางความมืดมิด มีคนพูดพึมพำข้างหูนางว่า “มั่วเหยียน”
สืออีเหนียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
ท่ามกลางม่านเตียงที่คลุมเครือ มีดวงตาที่เป็นประกายคู่หนึ่งอยู่ตรงหน้านาง ราวกับดวงตาของเสือดาวที่ซ่อนตัวซุ่มมองคนอยู่ในป่า
สืออีเหนียงตกใจอย่างมาก พลันตาสว่างขึ้นทันที ถอยหลังหนีโดยสัญชาตญาณ “ท่านโหว ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋มองดูสีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าเรียวเล็กของนาง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงผู้หญิงที่ถูกพวกอัธพาลขืนใจบนถนนขึ้นมา เขาอยากจะหัวเราะ แต่กลับกลั้นไว้แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ข้าจะทำอะไร…” เขาขยับเข้าไปใกล้นาง
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ แล้วยังมีกลิ่นสุราออกมาจากลมหายใจ ถึงแม้ว่าเขาจะทำหน้าเคร่งขรึม แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
เหตุใดตนถึงถามเช่นนั้นเล่า!
เมื่อเห็นนางหัวเราะ สวีลิ่งอี๋ก็อดหัวเราะตามไม่ได้ เขายิ้มแล้วจับมือสืออีเหนียง “ลุกขึ้น ช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
สืออีเหนียงถึงได้เห็นว่าเขายังสวมเสื้อผ้าไหมตัวนั้นอยู่ แต่ว่ามันยับยู่ยี่ไปหมด
สวีลิ่งอี๋เห็นนางสำรวจมองตัวเอง จึงบ่นขึ้นพึมพำ “เจ้าหมอนั่นฟั่นเหวยกังให้คนนำสุราเซาเตาจากเซวียนถงมาให้ข้าตั้งสองลำรถม้า” เขาพูดแล้วก็ยืนขึ้นด้วยสายตาที่เป็นประกาย “ซุ่นอ๋องอยากจะแข่งดื่มสุรากับข้า แต่กลับแพ้ข้า ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่ในห้องรับแขกที่จวนเรา!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ จากนั้นก็จับมือสืออีเหนียงอีกครั้ง “ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า!” พูดด้วยความเย่อหยิ่ง
สืออีเหนียงจึงตระหนักได้ว่าสวีลิ่งอี๋เมาแล้ว
พูดเหตุผลกับคนเมา ก็แค่หาเรื่องให้ตัวเอง
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร นางยืนขึ้นอย่างอ่อนโยน เรียกสาวใช้ตักน้ำเข้ามาแล้วเดินไปที่ห้องชำระกับเขา
มองจากข้างหลัง สวีลิ่งอี๋ก้าวขาอย่างมั่นคง แต่เมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้จนลุกไม่ขึ้น
สาวใช้เดินเข้าไปก็ถูกเขาเบิกตาใส่ นางตกใจจนตัวสั่น
สืออีเหนียงจึงต้องรับใช้เขาอาบน้ำ
สวีลิ่งอี๋เงียบอยู่ตลอด ปิดปากแน่นสนิท ไม่พูดอะไรกับนางแม้แต่ประโยคเดียว
นางเคยเห็นผู้ชายเมา
ปกติพวกเขามักจะกล้าพูดเรื่องที่ตอนมีสติสัมปชัญญะไม่กล้าพูด ทำในเรื่องที่ตอนมีสติสัมปชัญญะไม่กล้าทำ
คนที่เหมือนกับสวีลิ่งอี๋ นางพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
ดื่มเหล้าจนเมาขนาดนี้ แต่กลับไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไรสักอย่าง
แต่นางเข้าใจความรู้สึกนั้น
เหมือนกับนางเอง ความจริงแล้วนางดื่มสุราเป็น แต่นางไม่เคยกล้าที่จะดื่มอย่างเต็มที่ หากอยากดื่ม ก็จะดื่มนิดหน่อย แต่จะต้องอยู่ในขอบเขตที่ตัวเองกำหนดเอาไว้ เพราะนางกลัวว่าหากตัวเองดื่มจนเมาแล้ว จะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ทำในเรื่องที่ไม่ควรทำ
คิดเช่นนี้ จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกแน่นหน้าอก
นางรับใช้สวีลิ่งอี๋แต่งตัว จากนั้นก็ประคองเขาไปที่เตียงช้าๆ
หู่พั่วเดินเข้ามา “ท่านโหวตรงกลับมาที่เรือนหลักเลยเจ้าค่ะ” นางพูดเบาๆ “ไม่ได้ไปที่เรือนของหยางอี๋เหนียง”
สืออีเหนียงมองดูสวีลิ่งอี๋ที่นอนตะแคงหลับไปแล้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้เขานอนที่เรือนของข้าเถิด เจ้าไปบอกเหวินอี๋เหนียง แล้วก็ไปบอกหยางอี๋เหนียง บอกว่าท่านโหวเมามากแล้ว!”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงห่มผ้าให้สวีลิ่งอี๋ วางน้ำเย็นลงบนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นก็เป่าตะเกียงแล้วหลับไป
นางถูกปลุกตื่นกลางดึก “มั่วเหยียน รินชาเย็นให้ข้าสักถ้วย”
สืออีเหนียงลุกขึ้นแล้วยื่นน้ำเย็นให้เขา
สวีลิ่งอี๋ดื่มจนหมด พลิกตัวแล้วก็นอนหลับไปอีกครั้ง
สืออีเหนียงกลัวว่าประเดี๋ยวเขาจะอยากดื่มน้ำอีก จึงลุกขึ้นไปรินน้ำร้อนไว้ปล่อยให้มันเย็น
แต่กลับมีเสียงพูดขึ้นว่า “มั่วเหยียน เจ้าจะไปไหน”
สืออีเหนียงตอบรับจากนั้นก็เดินไปขึ้นเตียง
สวีลิ่งอี๋ยังคงหลับตา เขากอดนางเข้ามาในอ้อมแขนด้วยความมึนงง จากนั้นก็หลับไปอีกครั้ง
สืออีเหนียงถูกเขาทับ นางพลิกตัวไปมาตั้งนานกว่าจะหาตำแหน่งที่สบายตัวได้แล้วหลับตา
กำลังง่วงก็ถูกปลุกตื่นอีกครั้ง “ชา!”
สืออีเหนียงลุกขึ้นไปรินชาให้เขา
คืนนี้ก็ผ่านไปเช่นนี้
สืออีเหนียงดูเหนื่อยล้า ส่วนสวีลิ่งอี๋ก็ไม่สบายตัว เขานวดขมับแล้วเรียกบ่าวรับใช้เข้ามาถามหาซุ่นอ๋อง “หมอนั่นตื่นแล้วหรือยัง”
“ยังขอรับ!” บ่าวรับใช้พูดอย่างระมัดระวัง “หลินปัวไปเชิญหมอหลวงมาแล้วขอรับ”
สืออีเหนียงนอนลงอีกครั้ง “บอกให้หมอหลวงเข้ามาสั่งยาให้ข้าด้วย”
บ่าวรับใช้ตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงให้คนไปต้มข้าวต้มมา “ท่านโหวทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ฝืนทานไปครึ่งชาม
บรรดาอี๋เหนียงก็มาคารวะนาง
สืออีเหนียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ได้จะลุกขึ้น นางจึงวางหมอนหนุนหลังให้เขา จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ห้องโถง
ท่ามกลางฝูงชน นางเห็นหยางอี๋เหนียงอย่างรวดเร็ว
อายุราวสิบห้าสิบหกปี สูงปานกลางแต่รูปร่างอรชร นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีชมพูเรียบๆ ม้วนผมเป็นมวยอย่างเรียบร้อย ปักปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้หยก ผิวขาว หน้ารูปไข่ คิ้วเรียว ตาโต หางตาชี้ขึ้น ท่ามกลางสายลมที่พัดมาทำให้นางดูเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ แล้วนางยังมีสีหน้าและท่าทีที่สง่างาม มีท่าทีขี้อายของบุตรสาวสกุลใหญ่สกุลโต ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง อยากรู้ว่าสตรีคนนี้มีเสน่ห์หรือว่าขี้อายกันแน่
ความมีเสน่ห์ของนาง ทำให้สืออีเหนียงตกใจ
นางเข้าใจแล้วว่าความเงียบในห้องโถงที่เกิดขึ้นเมื่อวานมาได้เช่นไร
ทันใดนั้นก็มีคนเดินออกมาข้างๆ
นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปประคองนาง “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านนั่งตรงนี้เถิดเจ้าค่ะ” พานางเดินไปที่เก้าอี้ในห้องโถง
นางคือเฉียวเหลียนฝัง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้นาง มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าเงียบๆ
นางสวมเสื้อผ้าไหมสีแดง ม้วนผมเป็นมวยสูง ประดับด้วยดอกโบตั๋นสีขาว สวมต่างหูสีเขียวมรกต ทำให้นางดูหรูหราเกินไป
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ
ล้วนแต่เป็นอนุภรรยาเหมือนกัน หยางอี๋เหนียงดูสง่างาม เดิมทีเฉียวเหลียนฝังชนะหยางอี๋เหนียงตรงความอ่อนหวาน แต่ตอนนี้นางกลับทำตัวสง่างามราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้…
นางนั่งลง แต่เฉียวเหลียนฝังยังคงยืนอยู่ข้างนาง เหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงเดินเข้ามาคำนับสืออีเหนียง จากนั้นเหวินอี๋เหนียงก็ชี้ไปที่หยางอี๋เหนียงแล้วพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ นี่คือหยางอี๋เหนียง”
หยางอี๋เหนียงคุกเข่าลงข้างหน้าสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ ข้าสกุลหยาง ก้มหัวให้ฮูหยินเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ก้มหัวให้สืออีเหนียงสามครั้งด้วยความเคารพ คำนับอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปเอ่ยเรียกป้าหยาง สตรีอายุราวสามสิบกว่าปีเดินเข้ามา นางสวมเสื้อสีฟ้า ถือถาดสีแดงที่มีรองเท้าปักสีแดงสองคู่
“ฮูหยินเจ้าคะ” นางหยิบรองเท้าขึ้นมา “นี่คือรองเท้าที่ข้าทำให้ฮูหยิน ไม่รู้ว่าพอดีกับท่านหรือไม่ ฮูหยินลองสวมดูเถิด”
หู่พั่วรับมายื่นให้สืออีเหนียง
ปักลายนกแก้วและดอกเหมย เย็บอย่างประณีต ใช้สีอย่างพิถีพิถัน หากหยางอี๋เหนียงเป็นคนทำเองจริงๆ เช่นนั้นนางคงจะเย็บปักถักร้อยเก่งไม่น้อย
“ลำบากหยางอี๋เหนียงแล้ว!” นางบอกให้หู่พั่วเก็บรองเท้านั้นไว้ “งานปักไม่เลวเลยทีเดียว” จากนั้นก็ชี้ไปยังเหวินอี๋เหนียง “เหวินอี๋เหนียงเจ้าคงจะรู้จักแล้ว ข้าคงไม่แนะนำไปมากกว่านี้” แล้วชี้ไปที่ฉินอี๋เหนียง “นี่คือฉินอี๋เหนียง มารดาของคุณชายน้อยสองสกุลเรา”
ตั้งแต่สวีซื่ออวี้จากไปนางก็ไม่สบาย สืออีเหนียงบอกให้นางไม่ต้องมาคารวะเช้าเย็น แต่นางก็ยังมาคารวะสืออีเหนียงตรงเวลาทุกวัน สืออีเหนียงจึงตามใจนาง ฉินอี๋เหนียงหน้าแดง ทำให้นางดูไม่ค่อยมีความสุข เห็นสืออีเหนียงแนะนำนางให้หยางอี๋เหนียงรู้จัก ก็รีบย่อเข่าคำนับหยางอี๋เหนียง ทำเอาหยางอี๋เหนียงตกใจ แล้วรีบย่อเข่าคำนับกลับอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายสืออีเหนียงก็ชี้ไปที่เฉียวเหลียนฝัง “นี่คือเฉียวอี๋เหนียง”
เช่นนี้ ก็ถือว่าบอกอายุของบรรดาอนุภรรยาเป็นนัยไปแล้ว
เฉียวเหลียนฝังยิ้มแล้วพยักให้หยางอี๋เหนียงด้วยสีหน้าที่เย่อหยิ่ง
หยางอี๋เหนียงแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไปคำนับพวกนางด้วยรอยยิ้ม