เจ้าของร้านยื่นถุงในมือให้ นางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมีเลศนัยขณะเอ่ยเช่นนั้น
นางเพิ่งพบคุณหนูอวิ๋นที่ห้องรับรองอื่นมาเมื่อครู่ เด็กสาวคนนั้นเข้าวังในเวลาเดียวกันกับคุณหนูรองตระกูลเฮ่อเหลียน
คุณหนูอวิ๋นยังเอาเรื่องขององค์ชายมาบอกกับนาง
นางอยากให้เจ้าของร้านกล่าวชื่นชมนางต่อหน้าองค์ชาย เพราะดูเหมือนเขาจะยังไม่พอใจกับการที่นางจากเขาไปอย่างกะทันหัน
แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
องค์ชายไม่ได้เพียงแค่พาพระชายามาที่ร้านขายฉลองพระองค์สำหรับราชวงศ์ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ยังสั่งให้นางไปนำของที่เขาสั่งไว้ก่อนหน้านี้มาให้อีกด้วย
เดิมทีนั้นนางคิดว่าของชิ้นนี้เป็นของสำหรับคุณหนูอวิ๋น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะคิดผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงเอียงศีรษะแล้วยิ้มออกมาเมื่อนางสังเกตเห็นว่าเจ้าของร้านกำลังจ้องนางไม่วางตา
นางรู้สึกว่าเจ้าของร้านมีฐานะไม่ธรรมดา เพราะการจะหาใครสักคนที่สามารถทนกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
แม้องค์ชายจะยังคงมีสีหน้าเฉยชาตอนที่พบหน้าเจ้าของร้าน แต่เขาก็ไม่ได้ดูคุกคามเท่ายามปกติ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแนะนำเจ้าของร้านอย่างขอไปทีในทันทีที่เขาสังเกตเห็นสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย “นางเป็นแม่นมของบรรดาเชื้อพระวงศ์ ชื่อแม่นมซวี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าบรรดาองค์ชายมักจะสนิทสนมกับแม่นมของตัวเองยิ่งกว่าแม่แท้ๆ ของตน แต่อย่างไรเจ้าของร้านก็ดูจะอายุมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า
“เจ้ากำลังคิดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่ แม่นมซวีเป็นแม่นมที่ดูแลฮ่องเต้มาต่างหาก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมักรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นมนุษย์ล่องหนเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชาย เขารู้เสมอว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ “แล้วแม่นมขององค์ชายล่ะ”
“ข้าไม่มีแม่นม” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเย็นชาและห่างเหิน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจ “องค์ชายทุกพระองค์มีแม่นมมิใช่หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนยันคำตอบกับนางอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน “ในเวลานั้นเสด็จแม่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการชิงดีชิงเด่นเพื่อเรียกร้องความโปรดปรานจากฮ่องเต้จนลืมข้าไปจนหมดสิ้น ดังนั้นนางก็เลยไม่ได้หาแม่นมให้ข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกไม่ถึงเลยว่าคำตอบจะเป็นเช่นนั้น
ไม่ช่เพราะนางลืมหาแม่นมให้เขา
แต่เป็นเพราะนางลืมไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เป็นลูกชายของตัวเองไปแล้วต่างหาก…
การถูกแม่ของตัวเองลืมคงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดน่าดู
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ใบหน้าด้านข้างของเขายังคงไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่ความเย้ยหยันที่เปื้อนอยู่บนรอยยิ้มของเขาเท่านั้น
นางคิดว่าเขาเติบโตมาในไหทองคำ ใช้ชีวิตอย่างเลิศหรูโดยปราศจากความกังวล
แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าการใช้ชีวิตอยู่ในไหทองคำเองก็มีความทุกข์ในแบบของมันเหมือนกัน
อันที่จริงนั้น หากนางวิเคราะห์บุคลิกของเขาให้ดี นางก็คงรู้ได้ไม่ยากว่าองค์ชายมีวัยเด็กที่เลวร้ายยิ่งนัก
เขาเป็นโรคคลั่งความสะอาด เป็นคนคลั่งความสมบูรณ์แบบ และยังเป็นคนที่ต้องการให้ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของตัวเองจนผิดปกติ
ถ้าไม่ได้ผ่านเรื่องเช่นนั้นมา เขาก็คงไม่ได้เป็นคนที่ภายนอกบริสุทธิ์ผุดผ่องแต่นิสัยภายในกลับชั่วร้ายดำมืดเช่นนี้
นางเองก็เหมือนกัน ตั้งแต่นางจำความได้ นางก็ถูกบอกให้ทำตัวนุ่มนวลอ่อนหวาน เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้นางได้พบคนที่รักและต้องการปกป้องนาง
นางเองก็อยากเป็นคนที่ถูกปกป้องเหมือนกัน
แต่สุดท้ายแล้วนางก็ตระหนักได้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ
นางต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ มีแค่เพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางสามารถอยู่รอดได้
ยิ่งกว่านั้นแม่เลี้ยงของนางก็ยังใส่ร้ายป้ายสีนางว่าเป็นหัวขโมยอีกด้วย
จากวันนั้นเป็นต้นมา นางก็รู้ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่จะสามารถปกป้องนางได้
ดังนั้นแม้ว่านางอาจจะดูเหมือนคนที่เข้าถึงง่าย แต่อันที่จริงนั้นนางกลับเป็นคนที่มีหัวใจเย็นชาอย่างที่สุด นางก็เป็นเพียงแค่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเสียจนนางไม่คิดที่จะไว้ใจใครเลย และยังระมัดระวังตัวเป็นพิเศษในทุกครั้งที่นางต้องทำอะไรสักอย่าง
นางกับเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน บางทีสำหรับคนอื่นนั้น พวกนางอาจจะเป็นคนที่ชั่วร้ายไปจนถึงกระดูกดำเลยก็ว่าได้
ไม่ ถ้าจะพูดให้ถูกละก็
คนที่ชั่วร้ายไปถึงกระดูกดำก็คือนาง
แม้จริงๆ แล้วเขาจะเป็นคนที่ชั่วร้ายไปจนถึงกระดูกดำ แต่องค์ชายก็รักษาชื่อเสียงของตนได้เป็นอย่างดี
“ส่งมือมา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบถุงอันงดงามใบนั้นขึ้นมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดาว่าของที่อยู่ข้างในน่าจะเป็นเครื่องประดับบางอย่าง อย่างไรเสียบรรดาคนรวยต่างก็ชอบให้ของพวกนี้แทนของขวัญกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคนรวยอย่างองค์ชายด้วยแล้ว
แต่แม้กระทั่งคนฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังไม่สามารถอ่านใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ของชิ้นนั้นเป็นเครื่องประดับจริงๆ มันเป็นงานจากช่างฝีมือประณีต ตัวชิ้นงานทำมาจากเงินบริสุทธิ์ที่ถูกทาทับด้วยสีดำสนิทชวนมอง มันส่องแสงเป็นประกายอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า
แต่นางต้องการคำอธิบายจากใครสักคนยิ่งนัก
ทำไมองค์ชายถึงให้ปลอกคอแมวเป็นของขวัญนางหรือ
นี่เป็นปลอกคอแมวไม่ผิดแน่!
ในสมัยศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้น นางเคยเห็นเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ แบบนี้อยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยง ถึงพวกมันจะไม่ได้บาง หรือสวยเท่ากับของชิ้นนี้ แต่พวกมันก็มีรูปทรงไม่ต่างกัน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก ต่อให้นางนับอัลปาก้าเป็นหมื่นตัวที่วิ่งอยู่ในใจก็ยังคงไม่พอที่จะข่มความรู้สึกในปัจจุบันของนางได้
สิ่งเดียวที่นางต้องการทำในเวลานี้คือการเขย่าตัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วถามเขาให้รู้เรื่อง ท่าน พยายาม ทำ อะ ไร กัน แน่!
เขากลัวว่าหลังจากได้รับสัตว์เลี้ยงมา แล้วสัตว์เลี้ยงของเขาจะไม่เชื่อฟังหรือ เพราะอย่างนั้นมันจึงต้องสวมปลอกคอไว้ใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เขียนเบอร์ติดต่อ แล้วสลักชื่อลงไปด้วยเลยล่ะ!
ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะยังสามารถไล่ตามความคิดขององค์ชายทันด้วยเบาะแสสำคัญที่นางหาเจอ
นางพบว่าบนปลอกคอเงินบริสุทธิ์เส้นนั้นมีตัวอักษรตัวหนึ่งถูกสลักเอาไว้จริงๆ ราวกับต้องการโอ้อวดให้ทุกคนเห็น และตัวอักษรที่อยู่บนนั้นก็ไม่ใช่ตัวอักษรใดอื่น นอกไปเสียจากตัวเจวี๋ยที่เป็นชื่อของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมไม่เปิดโอกาสให้ใครปฏิเสธของขวัญของเขาได้ เมื่อเขาเห็นว่านางจ้องที่ฝ่ามือของตัวเองด้วยสายตาเหม่อลอย อีกทั้งยังไม่มีท่าทีที่จะหยิบมันขึ้นมาสวมใส่ เขาก็ยื่นนิ้วเรียวของตนออกไปหานางพร้อมกับคลายปลอกคอโลหะน้ำแข็งทมิฬเส้นนั้น แล้วจัดการสวมมันไว้รอบคอของเฮ่อเหลียนเวยเวย
คอของเฮ่อเหลียนเวยเวยงดงามยิ่งนัก มันทั้งขาวและบาง ปลอกคอสีดำที่ตัดกันนั้นจึงทำให้ยิ่งมองเห็นเส้นเลือดบางๆ นั้นได้อย่างชัดเจน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง เขาอยากโน้มตัวเข้าไปกัดนางโดยไม่รีรอราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบตัว
แต่ครั้งนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้นได้ นางรีบหลบเขา และลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางสบเข้ากับสายตาประหลาดใจของแม่นมซวี นางทำเพียงยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้านและไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
จากที่เห็นในกระจก คอของนางดูงดงามมากทีเดียวเมื่อสวมปลอกคอเส้นนี้ นางให้ความรู้สึกเหมือนเทพธิดาตกสวรรค์เลยทีเดียว ต้องบอกว่า รสนิยมขององค์ชายไม่เลวจริงๆ
แต่ไม่ว่ามันจะสวยงามเพียงใด มันก็ยังเป็นปลอกคอสำหรับแมวอยู่ดี
ใครที่ไหนจะเอาของพรรค์นี้ให้คนสวมกัน
“ขนาดเผ่าแมวยังไม่สวมของชิ้นนี้เลย” น้ำเสียงชื่นมื่นของเสี่ยวไป๋ดังมาจากมิติสวรรค์ “มีก็แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการฝึกฝนจนเชื่องและยินยอมทำตามคำสั่งของเจ้านายเท่านั้นที่สวมกัน”
หยวนหมิงกระตุกมุมปาก “ก็ใกล้จะถึงเวลาที่นางจะถูกฝึกให้เชื่องแล้วอย่างไร หืม ถ้าข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าจะเหลือเวลาอยู่อีกสี่วัน สี่วันก่อนที่จะถึงวันที่นางต้องเสพสังวาส”
“เจ้าหุบปากไปได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเตะชายทั้งสองออกไปจากช่องทางการติดต่อทางกระแสจิตด้วยน้ำเสียงไม่ไยดี จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นจับปลอกคอบนคอของตัวเอง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นางก็เห็นร่างคุ้นตาสองร่างยืนอยู่นอกห้อง
สองคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอวิ๋นปี้ลั่วกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อผู้มักง่วนอยู่กับการวางแผนเล่นงานนางแทบจะทุกขณะ
แม้ว่านางจะเห็นพวกนางเพียงแค่ครู่เดียว แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็มั่นใจว่าร่างสองร่างนั้นจะต้องเป็นพวกนางไม่ผิดแน่
ที่นี่เป็นร้านสำหรับเชื้อพระวงศ์มิใช่หรือ
อวิ๋นปี้ลั่วเข้ามาได้อย่างไร