เฉินตันจูพูดจบก็หยุดพูด ภายในตำหนักตกอยู่ในความเงียบ
ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะขึ้นมา เขามองไปที่เฉินตันเหยียน “คุณหนูใหญ่ คำขอของน้องสาวเจ้าคือพระราชทานรางวัลให้แก่นางได้เพียงผู้เดียว พระราชทานรางวัลให้เจ้าไม่ได้”
เฉินตันเหยียนก้มศีรษะตอบรับ “หม่อมฉันฟังเข้าใจแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ตรัส “หลี่เหลียงกับคุณหนูเหยาตายไปแล้ว เหลือเพียงพวกเจ้าสองคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เดิมทีข้าอยากพระราชทานรางวัลให้เจ้า แต่น้องสาวเจ้าไม่เห็นด้วย จะทำอย่างไรดี”
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเสียดายคือเฉินตันเหยียนก้มศีรษะอีกครั้ง “ฝ่าบาทโปรดพระราชทานให้น้องสาวหม่อมฉันเถิดเพคะ”
ไม่มีการแย่งชิงกันระหว่างพี่น้อง? ทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่สาวปกป้องน้องสาวก่อน จากนั้นน้องสาวปกป้องพี่สาว เวลานี้พี่สาวควรปกป้องน้องสาวต่อ เหตุใดพี่สาวจึงไม่แย่งชิงแล้ว
สตรีชนชั้นสูงที่รู้รุกรู้ถอยช่างน่าเบื่อหน่าย!
ฮ่องเต้เหลือบมองเฉินตันจู “เฉินตันจู เจ้าต้องการเช่นนี้จริงหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ารางวัลพระราชทานนี้หมายความว่าอย่างไร”
สำหรับผู้อื่น รางวัลพระราชทานของฮ่องเต้อาจเป็นความภาคภูมิใจ ความสง่างาม อำนาจ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องอิจฉาริษยา แต่สำหรับเฉินตันจูแล้ว สิ่งที่รางวัลพระราชทานของฮ่องเต้นำมามีเพียงความอื้อฉาว ความอิจฉาริษยา ความเฉยเมย และการหลีกเลี่ยง…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ข่าวแพร่ออกไป ฮ่องเต้กำลังพระราชทานรางวัลให้คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินและคุณหนูเหยา สุดท้ายเฉินตันจูฆ่าคุณหนูเหยา อีกทั้งโยนพี่สาวทิ้งไป ส่วนตนเองกลายเป็นองค์หญิง…
คนทั่วไปจะมองนางอย่างไร
เฉินตันจูนั่งคุกเข่า น้ำเสียงของนางอ่อนลง แต่สีหน้าของนางหนักแน่น “ฝ่าบาท อย่างที่หม่อมฉันเคยทูลไว้ หม่อมฉันไม่เคยสนใจว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร สนใจแต่ว่าฝ่าบาทจะมองอย่างไร”
จิ๊ ท่าทางเช่นนี้เหมือนแต่ก่อน อืม แต่ยังมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะความอ่อนแอที่เผยออกมาจากภายใน ฮ่องเต้หุบยิ้มลง พูดเรียบเฉย “เฉินตันจู ข้ายอมรับคำขอของเจ้า”
เฉินตันจูถวายบังคับด้วยความดีใจ “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!”
เฉินตันเหยียนถวายบังคับตาม
ฮ่องเต้ตรัส “เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า อันที่จริงข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ก็เพื่อพระราชทานรางวัล”
หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่การคาดโทษหรือ เฉินตันจูคิดภายในใจ เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นจากด้านบนอย่างต่อเนื่อง
“ก่อนแม่ทัพหน้ากากเหล็กจะจากไป เขาทิ้งคำสั่งเสียไว้ให้ข้า เขาขอให้ข้าดูแลเจ้า ให้อภัยเจ้า”
เฉินตันจูหมอบอยู่บนพื้นไม่ขยับ น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมา ที่แท้ก่อนที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กจะจากไปยังสามารถพูดได้ ดีเสียจริง ท่านแม่ทัพพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ย่อมสามารถจากไปอย่างไร้อาวรณ์แล้ว
…
ถึงแม้ขันทีจิ้นจงให้อาจี๋ไปพักผ่อนแล้ว แต่อาจี๋พักผ่อนได้ไม่ผ่อนคลายนัก เขาเดินทางมารออยู่ทางนี้ เพิ่งเดินมาได้ไม่นานก็เห็นสองพี่สองถอยออกมาจากภายในพระตำหนัก
เขารีบวิ่งเข้าไป เห็นเฉินตันจูถูกเฉินตันเหยียนพยุงไว้ สีหน้าแย่ลงกว่าก่อนหน้านี้มาก…ร่างกายของนางรับไม่ไหวแล้ว หรือว่านางถูกฮ่องเต้ต่อว่าอย่างรุนแรง
แต่ว่ายังดีใช่หรือไม่ ไม่ได้เรียกองครักษ์หลวงมาคุมตัวนาง
“คุณหนูตันจู” เขาพยุงอีกด้าน พูดเสียงแผ่ว “ท่านอดทนอีกเล็กน้อย เมื่อถึงหน้าประตูวังก็สามารถนั่งรถ…”
เฉินตันจูหยุดลง หันมามองเขา “อาจี๋ เจ้ามาพอดี เจ้าไปนำเกี้ยวมาให้ข้าที สภาพข้าเช่นนี้จะเดินได้อย่างไร”
อาจี๋ตกตะลึง นี่ นี่ คุณหนูตันจู ท่านเป็นเช่นนี้ยังอยากนั่งเกี้ยวในวังอีกหรือ นอกจากองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็ก องค์ชายสาม หรือแม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ยังไม่อาจนั่งได้!
อีกทั้งคุณหนูตันจูยังเป็นนักโทษ!
เหตุใดจึงยิ่งกำเริบเสิบสาน
หรือว่า…ป่วยจนสติเลอะเลือนไปแล้ว อาจี๋เกือบจะจับหน้าผากของคุณหนูตันจู
เฉินตันจูตบไหล่ของเขา พูด “อย่าตกตะลึง เวลานี้ข้าไม่เหมือนก่อนแล้ว ฝ่าบาททรงแต่งตั้งข้าเป็นองค์หญิง รีบไป…ข้าองค์หญิงตันจูป่วยเช่นนี้ยังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ย่อมต้องนั่งเกี้ยว”
จริงหรือเท็จ อาจี๋ไม่อยากเชื่อ คุณหนูตันจูมักพูดเกินจริงเช่นนี้ ฮ่องเต้เพียงแค่ให้เขานำทาง คุณหนูตันจูยังสามารถบอกว่าเขาเป็นทูตของฮ่องเต้ เพื่อจะได้ข่มขู่คนที่รั้งนาง…
“เชื่อหรือไม่ เจ้าลองดูก็รู้” เฉินตันจูยิ้ม “เจ้าเรียกเกี้ยวมา ดูว่าจะถูกคนรั้งไว้หรือไม่”
อาจี๋ส่งเสียงตอบรับ เขาอยากไปเรียก แต่เมื่อนึกได้ว่าหากเป็นเรื่องหลอกลวง คงไม่ใช่แค่ถูกรั้งเอาไว้ แต่มันเป็นโทษที่เสียมารยาทหน้าพระตำหนัก ต้องถูกองครักษ์หลวงรุมตีจนตาย
เมื่อเห็นท่าทางสับสนของขันทีน้อย เฉินตันเหยียนตำหนิ “ตันจู อย่ารังแกอาจี๋”
เฉินตันจูหัวเราะคิกคัก เอนตัวพิงนาง “ข้าไม่ได้รังแกอาจี๋”
ถึงแม้จะดูเหมือนการอ้อน แต่เฉินตันเหยียนสามารถสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของน้องสาว แสดงว่านางไม่สามารถประคองตัวยืนได้แล้วจริงๆ
“อาจี๋” เฉินตันเหยียนพูดกับอาจี๋ “เป็นเรื่องจริง ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ตันจูเป็นองค์หญิงแล้ว เวลานี้ร่างกายนางไม่ดี นั่งเกี้ยว ฝ่าบาทไม่ทรงตำหนิ หากนางเป็นลมต่อหน้าพระตำหนัก ทำให้ฝ่าบาททรงตกใจ คงจะเสียมารยาทยิ่งกว่า เจ้าไปเรียกเกี้ยวมาเถิด”
อาจี๋รีบตอบรับทันที ก่อนจะเรียกเหล่าขันทีที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ยกเกี้ยวมา…” ส่วนตัวเขาพยุงเฉินตันจูเอาไว้
เฉินตันจูเอนตัวพิงอยู่บนหัวไหล่ของเฉินตันเหยียน ยิ้มให้เขา “ตอนนี้อาจี๋มีอำนาจมาก แม้แต่ทางฝ่าบาทยังสามารถออกคำสั่งได้แล้ว”
อาจี๋ไม่สนใจคำหยอกล้อของนาง มองสีหน้าและสติของหญิงสาวที่แย่ลง เขาก็เป็นกังวลอย่างมาก ต้องเรียกหมอหลวงมาหรือไม่
“ไม่ต้องกังวล” เฉินตันจูพึมพำ “เจ้ารู้หรือไม่ บิดาบุญธรรมของข้า ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กก่อนจากไปพูดเพียงประโยคเดียว เป็นพระราชโองการที่ขอให้ข้า มันเป็นคำพูดประโยคสุดท้ายของท่านแม่ทัพ”
หากเวลานั้นนางวิ่งเร็วขึ้นอีก นางจะสามารถได้ยินท่านแม่ทัพพูดประโยคนี้เองใช่หรือไม่
เฮ้อ เหตุใดนางจึงวิ่งช้านัก เหตุใดนางจึงต้องโต้เถียงกับองค์ชายสามและโจวเสวียนในกระโจม นางไปพบท่านแม่ทัพเองก็พอแล้ว ไม่ต้องกังวลองค์ชายสามและโจวเสวียนหลอกใช้ตามมา ภายในค่ายทหาร พวกเขาย่อมไม่กล้าบุกเข้าไปตามนาง…
เหตุใดนางจึงไม่ไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะไม่กล้าพบท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งนางไม่รู้ว่าเมื่อพบท่านแม่ทัพ ควรบอกเขาหรือไม่ว่าองค์ชายสามและโจวเสวียนต้องการฆ่าเขา…
เหมือนดั่งที่โจวเสวียนพูด ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ถือเป็นศัตรูของนาง นางคิดว่าเขาเป็นบิดาบุญธรรมจริงหรือ
บิดาบุญธรรม บิดาโดยกำเนิด เฉินตันจูกอดแขนของเฉินตันเหยียน หัวเราะขึ้นมา น่าขันสิ้นดี
“ท่านพี่ ข้าอาจไม่สามารถเป็นบุตรสาวของผู้ใดได้ ท่านดู ข้าทำร้ายท่านพ่อ เวลานี้ คนที่ข้ายอมรับว่าเป็นบิดาบุญธรรมก็ตายแล้ว…”
สติของนางขึ้นๆ ลงๆ ราวกับตกลงไปในน้ำ นางรู้สึกได้ว่าเฉินตันเหยียนกำลังลูบหน้าผากของนางอยู่ อาจี๋จับแขนของนางตะโกนเสียงดัง “ผู้ใดก็ได้ ผู้ใดก็ได้”
อาจี๋ไม่พูดไม่จาทั้งวัน ที่แท้เวลาที่เขาพูดเสียงดังเพียงนี้ ตะโกนจนหูของนางอื้ออึง
เฉินตันจูเหมือนเห็นคนจำนวนมากวิ่งเข้ามา มีทั้งองค์ชายสาม มีทั้งโจวเสวียน แต่ก็มีคนจำนวนมากจากไป หลี่เหลียง เหยาฝู แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
ชาตินี้เรื่องมากมายยังคงเกิดขึ้น อาทิหลี่เหลียงถูกนางฆ่า แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายก่อนนาง แต่ก็มีเรื่องมากมายที่แตกต่างไป อาทิท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่ เหยาฝูตายแล้ว อีกทั้ง นางเฉินตันจูกลายเป็นองค์หญิงแทนเหยาฝูแล้ว
…
เฉินตันจูป็นลมอยู่นอกตำหนักถูกหามออกไป ฮ่องเต้รู้เรื่องในไม่ช้า
“หยวนไต้ฟูรออยู่นอกประตูวัง” ขันทีจิ้นจงทูล “ฝ่าบาท อย่ากังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงในลำคอ “ข้าต้องเป็นกังวลตรงใดกัน มีคนมากมายกังวลอยู่”
เมื่อนึกถึงเฉินตันจูที่เป็นลมไปก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นด้านหน้าตำหนักที่เงียบสงัดก็มีองค์ชายสามและโจวเสวียนปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะนึกถึงหยวนไต้ฟูที่อยู่นอกประตูวัง…เขาเป็นตัวแทนขององค์ชายหกที่ไม่ปรากฏตัว ขันทีจิ้นจงอดหัวเราะไม่ได้ ส่ายหัวเบาๆ
“ฝ่าบาท” เขายิ้ม “เด็กๆ ล้วนโตแล้ว รู้จักความรักความใคร่กันแล้ว”
ฮ่องเต้เย้ยหยัน “บนแผ่นดินมีสตรีมากมาย”
ขันทีจิ้นจงไม่โต้เถียงกับผู้เป็นบิดา รินชายื่นเข้ามาให้ด้วยรอยยิ้ม
ฮ่องเต้ยกขึ้นมาดื่ม ถามขึ้น “อวี๋หยงเล่า”
ขันทีจิ้นจงพูด “บอกว่าเตรียมตัวกลับซีจิงเพื่อพักฟื้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถือถ้วยชาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ตรัสขึ้น “ในเมื่อเขาต้องการพักฟื้น เหตุใดต้องกลับไปซีจิง อายุก็ไม่น้อยแล้ว อยู่ซีจิงคนเดียวไม่เหมาะสม รับเขามาเมืองหลวงเถิด”
แม่ทัพหน้าเหล็กตายแล้ว ต่อจากนี้ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงผู้คน องค์ชายหกย่อมต้องมาอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ขันทีจิ้นจงน้อมรับ จากนั้นฮ่องเต้เรียกเขาอีกครั้ง
“นอกจากนี้” เสียงฮ่องเต้แผ่วเบาเหมือนอยู่ไกล “ส่งคนคุ้มกันเขาด้วย”