สำหรับบุตรชายคนหนึ่งแล้วการถูกบิดาส่งคนมาคุ้มกันอาจเป็นความรัก แต่สำหรับขุนนางผู้หนึ่งแล้ว การถูกจักรพรรดิส่งคนมาคุ้มกันอาจไม่ใช่เพียงแค่ความรัก
โดยเฉพาะขุนนางผู้นี้ยังเป็นแม่ทัพ
ขันทีจิ้นจงแอบถอนหายใจ ตอบรับอีกครั้งก่อนจะถอยออกไป
ภายในคุกที่มืดมิด มีเกี้ยววางอยู่ องครักษ์หลายคนรอคอยอยู่ด้านนอก ฉู่อวี๋หยงที่อยู่ด้านในเปลือยท่อนบนนั่งอยู่ หวังเจียนใช้ผ้าพันแผลพันให้เขาอย่างระมัดระวัง พันจากด้านหน้าถึงด้านหลังอย่างแน่นหนา
“เสร็จแล้ว” เขาพูด มือหนึ่งพยุงฉู่อวี๋หยง
ฉู่อวี๋หยงยืนขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะมีองครักษ์อีกสองคนเดินขึ้นหน้าพยุง เขาบอกว่าไม่ต้อง “ข้าลองเดินเองดู”
สิ้นเสียง หวังเจียนปล่อยมือ ฉู่อวี๋หยงที่กำลังจะก้าวขาเกือบหกล้ม เขาส่งเสียงไม่พอใจ “เจ้าพยุงต่อได้”
ชายหนุ่มราวกับตกใจ หวังเจียนอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือพยุงเขาอีกครั้ง
ฉู่อวี๋หยงระอาเล็กน้อย “หวังไต้ฟู ท่านอายุเท่าใดแล้ว ยังทะเล้นเช่นนี้”
หวังเจียนกำลังจะพูด ‘ไม่มากเท่าท่าน’ แต่คนตรงหน้าในเวลานี้ไม่ได้สวมชุดชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่ได้รูปร่างโก่งงอ ผมของเขาไม่ใช่สีขาวเทา ไม่ต้องทำให้ผิวหนังแห้งเหี่ยว…เวลานี้เขาต้องเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้า ถึงแม้กระนี้ เขาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้สมควรสูงกว่าเวลานี้ หลายปีนี้เพื่อควบคุมความสูง เขาจงใจลดปริมาณอาหาร เพื่อรักษากำลังการต่อสู้ เขาต้องประคองการฝึกฝนอย่างหนัก…ต่อจากนี้ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว สามารถกินดื่มได้ตามใจแล้ว
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “มันเป็นการแก้แค้นที่ท่านดื้อกับข้าตอนเด็ก”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม ไม่พูดสิ่งใดอีก เขาเดินไปถึงด้านหน้าเกี้ยวช้าๆ ครานี้เขาไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากองครักษ์ทั้งสอง เขาถูกทั้งสองคนพยุงนั่งลงอย่างช้าๆ
“แต่” เขานั่งอยู่ในเบาะนุ่ม สีหน้าไม่สบายนัก “ข้ารู้สึกว่าควรหมอบอยู่ด้านบน”
หวังเจียนปิดประตูเกี้ยวลง ปิดบังใบหน้าของชายหนุ่ม “เหตุใดจึงกลายเป็นคนอ่อนแอเพียงนี้ แต่ก่อนบนตัวมีสามดาวหกรูยังสามารถขี่ม้ากลับค่ายทหารได้ ไม่เห็นท่านบ่นสักคำ”
ชายหนุ่มด้านหลังม่านหัวเราะเสียงเบา “เวลานั้นไม่เหมือนกัน”
เวลานั้นบาดแผลบนตัวของเขาได้รับจากศัตรู เขาไม่กลัวตายไม่กลัวเจ็บ
หวังเจียนไม่ได้สนใจเขาอีก บอกให้เหล่าองครักษ์ยกเกี้ยวขึ้น ไม่รู้เพราะว่าเดินอยู่ในความมืดเป็นเวลานานหรือไม่ เมื่อสัมผัสกับลมที่สดชื่น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ายังคงเป็นความมืดมิด
“คืนนี้ไม่มีดวงดาวหรือ” ฉู่อวี๋หยงพูดขึ้นในเกี้ยว ราวกับรู้สึกเสียดาย
หวังเจียนส่งเสียงหัวเราะ “เวลานี้ท่านยังพบผู้คนไม่ได้ ย่อมต้องเดินทางในค่ำคืนที่มืดมิด ยังคิดจะดูดาวอันใดกัน”
เกี้ยวเดินทางอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดสักระยะ ก่อนจะพบกับแสงสว่าง รถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่บนถนน ด้านหน้าและด้านหลังรถมีองครักษ์เกราะดำนับสิบ หวังเจียนพยุงฉู่อวี๋หยงออกมาจากเกี้ยว เขาร่วมแรงกับองครักษ์หลายคนยกอีกฝ่ายขึ้นรถ
หลังจากเข้าไปในรถม้าก็สามารถนอนหมอบได้แล้ว
ฉู่อวี๋หยงถอนหายใจด้วยความโล่งอกภายในรถที่กว้างใหญ่ “อย่างนี้สบายกว่า”
รถม้าเคลื่อนตัวไปช้าๆ เสียงเกือกม้าดังเป็นจังหวะเดินทางไปในยามค่ำคืน
คบเพลิงด้านหน้าและด้านหลังทะลุผ่านหน้าต่างรถที่ปิดสนิท สาดส่องลงบนใบหน้าของหวังเจียน เขาแนบหน้ากับหน้าต่างรถมองออกไปด้านนอก พูดเสียงเบา “คนที่ฝ่าบาททรงส่งมามีจำนวนไม่น้อย ราวกับถังเหล็ก”
คำพูดสุดท้ายมีนัย
ถึงแม้องค์ชายหกจะปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเสมอมา กองทัพทั้งสามก็ยอมรับเพียงแม่ทัพหน้ากากเหล็ก องค์ชายหกที่ถอดหน้ากากไม่มีผลบังคับใดต่อกองทัพนับแสน แต่อย่างไรเขาก็แทนที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กมาหลายปี ผู้ใดจะรู้ว่าเขาได้แอบซ่อนกองกำลังส่วนตัวไว้หรือไม่…ฮ่องเต้ยังคงไม่วางใจต่อองค์ชายหกอย่างมาก
ฉู่อวี๋หยงไม่มีความรู้สึกอันใด เพียงแค่เดินทางด้วยท่าทีที่สบาย เขาก็พึงพอใจแล้ว
“มีสิ่งใดต้องรู้สึกกัน” เขาพูด “รู้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ไม่แปลกใจย่อมไม่รู้สึกโศกเศร้าหรือดีใจ
หวังเจียนหัวเราะสองที “ทีอย่างนี้ ท่านสามารถมองเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่ง จิตใจนิ่งดุจน้ำได้…ข้าถามท่าน เหตุใดท่านที่หนีจากตรงนี้ ตามหาอิสระภาพได้ จึงต้องพุ่งชนเข้ามา”
หากตามสัญญาในตอนนั้น แม่ทัพหน้ากากเหล็กตาย ฮ่องเต้จะปล่อยองค์ชายหกเป็นอิสระ ทางด้านซีจิงมีจวนว่างแห่งหนึ่ง องค์ชายที่ร่างกายอ่อนแออยู่ห่างจากผู้อื่น คนบนแผ่นดินไม่รู้จักเขาจำเขาไม่ได้ หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปีก็ตายไป หายลับไปตลอดกาล บนโลกนี้องค์ชายหกก็มีเพียงชื่อเท่านั้น…
ฮ่องเต้ไม่เกรงกลัวองค์ชายหกเช่นนี้ ยิ่งไม่ส่งกำลงพลมาคุ้มกันเพียงในนาม แต่อันที่จริงเป็นการควบคุม
เวลานี้องค์ชายหกต้องการเป็นองค์ชายต่อ ต้องการปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ถึงแม้จะไม่ทำอันใด แค่เพียงฐานะขององค์ชาย ย่อมต้องถูกฮ่องเต้ระแวง ถูกพี่น้องคนอื่นระแวง…มันคือกรงขัง
หวังเจียนถาม “ข้าจำได้ว่าท่านต้องการกระโดดออกจากกรงขังนี้ เหตุใดทั้งที่ทำได้แล้วกลับยังกระโดดกลับมา ท่านไม่ได้บอกว่าต้องการไปดูโลกที่สนุกหรือ”
หัวของฉู่อวี๋หยงหนุนไว้บนแขน ตามการสั่นไหวของรถม้า แสงและเงาเคลื่อนไปมาอยู่บนใบหน้าของเขา
“เพราะว่าเวลานี้ สถานที่แห่งนี้น่าเบื่อหน่ายสำหรับข้า” เขาพูด “อีกทั้งไม่มีสิ่งใดให้ระลึกถึง”
“เวลานี้ ท่านระลึกถึงสิ่งใด” หวังเจียนถาม “เป็นแม่ทัพมานาน ระลึกถึงอำนาจของกองทัพทั้งสามหรือ ความมั่งคั่งขององค์ชายหรือ”
ฉู่อวี๋หยงพูด “สิ่งเหล่านั้นมีค่าอันใด หากข้าระลึกถึงสิ่งเหล่านั้น แม่ทัพหน้ากากเหล็กต้องอยู่ยงคงกระพัน ส่วนความมั่งคั่งขององค์ชาย…ข้าเคยมีหรือ”
หวังเจียนพูด “ดังนั้น เพราะเฉินตันจูหรือ”
ฉู่อวี๋หยงหนุนอยู่บนแขน หันหน้ามองเขาแล้วยิ้ม หวังเจียนราวกับมองเห็นดวงดาวตกอยู่ในรถ
“เพราะเหตุใด!” หวังเจียนกัดฟัน “เพราะความงดงามหรือ”
“ในฐานะองค์ชาย ถึงจะถูกฮ่องเต้เมินเฉย หญิงงามภายในวังก็พบเห็นได้ทั่วไป เพียงแค่องค์ชายต้องการ หญิงงามสักคนจะยากหรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เหล่าหญิงงามของแต่ละเมืองต่างถูกส่งมา…ท่านไม่เคยเลี้ยวมองสักครั้ง แต่เวลานี้กลับถูกเฉินตันจูหลอกล่อ?”
หลอกล่อ? ฉู่อวี๋หยงยิ้ม ยื่นมือลูบหน้าของตนเอง “หากจะพูดถึงความงาม นางมิอาจเทียบข้าได้”
หวังเจียนถ่มน้ำลาย
“อันที่จริง ข้าก็ไม่รู้เพราะเหตุใด” ฉู่อวี๋หยงพูดต่อ “อาจเพราะข้าเห็นนางเหมือนมองเห็นตัวข้าเอง”
เขายังจำภาพแรกที่พบหญิงสาวได้ เวลานั้นนางเพิ่งฆ่าคน ก่อนจะพุ่งมาหาเขาด้วยความโหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังมีความไร้เดียงสาและสับสน นางนั่งอยู่ตรงข้ามเขา ราวกับระยะห่างกันไกล ราวกับมาจากอีกดินแดนหนึ่ง ทั้งโดดเดี่ยวและเงียบเหงา
นางเผชิญหน้ากับเขา ไม่ว่าจะทำท่าทีแบบใด เศร้าโศกหรือดีใจ ไฟในดวงตาล้วนมีความร้อนรุ่มดั่งจะส่องสว่างไปทั่วโลก
หากเขาจากไป ทิ้งนางไว้ตรงนี้คนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดาย ไฟในดวงตาของหญิงสาวย่อมมีวันมอดดับไป
เขาจึงคิดที่จะอยู่เป็นเพื่อนนางดีกว่า