“…”
อีอูยอนลืมตาขึ้น เขานิ่วหน้าให้กับอาการปวดหัวที่เหมือนจะผ่าสมองออกจากกัน และหลับตาลงอีกครั้ง แต่แล้วก็เบิกตาโพลงขึ้นมา เพราะความทรงจำอันยุ่งเหยิงที่นึกขึ้นได้
“…เชี่ย”
เขาพ่นคำบ่นที่แฝงไปด้วยการเยาะเย้ยตัวเอง และใช้มือลูบแก้มที่ซูบตอบ เขาเห็นอินซอบที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าทำนานแค่ไหน ไหล่ของอินซอบที่โผล่พ่นผ้าห่มจึงมีร่องรอยอัดแน่น
อีอูยอนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวอินซอบ และค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็เอาผ้านุ่มๆ ไปชุบน้ำอุ่นและเช็ดตัวให้อินซอบ
“…อื้อ…”
อินซอบเอามากอดเขาราวกับอ้อน เพราะถูกปลุกอย่างกะทันหัน
“นอนต่อเถอะครับ”
พอเขาตบหลังให้ไม่กี่ครั้ง อินซอบก็พ่นลมหายใจที่สม่ำเสมอออกมาอีกครั้งและหลับไปในทันที อีอูยอนเช็ดตัวอินซอบและจัดการทำความสะอาดให้อย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่น จากนั้นเขาก็ออกมาจากห้อง และเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
เขากลับมาในห้องอีกครั้งหลังจากที่เตรียมอาหารง่ายๆ เสร็จ เขานอนนิ่งๆ อยู่ข้างๆ อีกฝ่าย เพราะไม่อยากทำให้อินซอบที่หลับอยู่ให้ตื่น
ขนตายาว ปลายจมูกที่เชื่อมต่อกับหน้าผากกลมมน แก้มที่มองเห็นรอยกระจางๆ และริมฝีปากเล็กๆ นี่เป็นใบหน้าที่เขาจ้องมองอยู่บ่อยๆ จนต่อให้หลับตาก็สามารถวาดออกมาได้ มีคืนที่เขานอนไม่หลับ และวันที่เขาตื่นขึ้นมาจ้องมองอินซอบที่หลับใหลอยู่คนเดียวจนเช้าอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะมองมากแค่ไหน เขาก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิดเดียว
‘ชอบอะไรขนาดนั้นล่ะ นี่เป็นเวลาที่ควรจะหยุดชอบแล้วไม่ใช่เหรอ’
เขานึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม
นั่นสิ ทำไมเราถึงชอบเด็กนั่นถึงขนาดนี้นะ…ชอบจนบางครั้งก็รู้สึกเป็นทุกข์
อีอูยอนใช้ปลายนิ้วลูบไล้จอนผมของอินซอบเบาๆ สัมผัสที่อ่อนนุ่มถูกส่งขึ้นมาตามนิ้วราวกับลื่นไหล
อีอูยอนตบตัวอีกฝ่ายเบาๆ ทุกครั้งที่อินซอบพลิกตัว หลังจากอยู่อย่างนั้นอยู่หลายชั่วโมงอินซอบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
อินซอบพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำถามของอีอูยอน
“นอนต่อไหม”
“…ไม่ครับ”
“ผมจะเตรียมน้ำใส่อ่างอาบน้ำไว้ให้ นอนต่ออีกหน่อยนะครับ”
อินซอบนอนลงตามเดิมอย่างว่าง่าย อีอูยอนเตรียมน้ำใส่อ่างอาบน้ำและกลับมาที่เตียง เขาเขย่าไหล่ของอินซอบที่หลับไปอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ เบาๆ
“ลุกไหวไหมครับ จะนอนต่ออีกไหม”
“…จะลุกแล้วครับ”
อินซอบฝืนลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นมา อีอูยอนอุ้มอินซอบขึ้นมาทั้งผ้าห่ม
“ผม…จะไปเองครับ”
อินซอบขยับตัวไปมาอยู่ในผ้าห่ม เพราะค่อยๆ ตื่นเต็มตา อีอูยอนยิ้มและพาอินซอบไปที่ห้องน้ำทั้งๆ แบบนั้นและอาบน้ำให้ หลังจากเป่าผมของอินซอบที่อาบน้ำเสร็จออกมาให้แห้งแล้ว เขาก็เตรียมอาหาร อินซอบทำตาง่วงงุนเพราะยังไม่หายเพลียและนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนวางอาหารที่ปรุงลงบนโต๊ะกินข้าวทีละอย่างพลางพูดต่อ
“ถึงจะไม่อยากก็กินสักหน่อยนะครับ กินเสร็จแล้วจะนอนอีกก็ได้”
“…ครับ ขอบคุณครับ จะทานแล้วนะครับ”
อินซอบค้อมหัวพลางเอ่ยขอบคุณ อีอูยอนนั่งลงตรงข้ามอินซอบ และเริ่มกินข้าวอย่างเงียบเชียบ
“อร่อยไหมครับ”
“ครับ อร่อยครับ”
“โล่งอกไปทีนะครับ”
นั่นคือบทสนทนาทั้งหมด อีอูยอนดื่มน้ำและสังเกตสีหน้าของอินซอบ พอสบตา และเห็นอินซอบที่ยิ้มให้ตัวเองอย่างไม่ต่างอะไรจากปกติ เขาก็เจ็บแปลบตรงหน้าอก
“คุณอินซอบ…”
“…คุณอูยอน”
ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน
“พูดก่อนเลยครับ”
อีอูยอนพูดกับอินซอบ อินซอบตอบว่า “ครับ” และขยำชายเสื้อ นี่เป็นนิสัยที่อินซอบมักจะแสดงให้เห็นก่อนที่จะพูดเรื่องยากๆ
เขากำลังจะขอถอนหมั้นเหรอ เราคงเป็นไอ้สารเลวที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ได้คำตอบสินะ
อีอูยอนลูบแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วก้อยของตัวเองเงียบๆ
แม่ง ถ้าจะตัดนิ้วก็ตัดเลย เขาคงไม่สามารถให้แหวนได้ เพราะนี่เป็นแหวนที่เขาควรจะได้รับ…
“…ผมหวังว่าคุณอูยอนจะไม่อ่านมันครับ”
“ครับ?”
อีอูยอนเลิกคิ้ว เพราะคำพูดที่คาดไม่ถึง
“มันมีข้อมูลที่ผิดกฎหมายอยู่…เพราะตอนนั้นผมเป็นสตอล์กเกอร์อย่างที่คุณอูยอนพูด นะ แน่นอนว่ามีข้อมูลที่ถูกกฎหมายอยู่ด้วยครับ เป็นข้อมูลต่างๆ ที่หาจากอินเทอร์เน็ตน่ะครับ แต่เพราะข้อมูลแค่นั้นมันมีข้อจำกัด ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องได้ตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวให้ได้น่ะครับ…ดังนั้น…”
“…”
“ผมรู้ครับว่าเป็นเรื่องที่ผิด แล้วผมก็สำนึกผิดอยู่ครับ ตอนนี้ผมไม่ทำแบบนั้นแล้ว…ผมจึงหวังว่าคุณจะไม่อ่านมันครับ”
อีอูยอนมองอินซอบนิ่งราวกับคนที่ถูกตีท้ายทอย จากนั้นจึงถามว่า “พูดเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ”
“รายงาน…เล่มนั้นน่ะครับ”
อินซอบหลุบสายตามองด้านล่างและเอ่ยตอบ
เรื่องรายงานที่อินซอบเคยเขียนหลุดออกมาในวงเหล้าเมื่อวาน พออีอูยอนขอให้ช่วยหาเพราะอยากอ่าน อินซอบก็ห้าม อินซอบตอบคำถามที่ถามว่าทำไมถึงห้ามอ่านว่าจะกลับไปตอบที่บ้าน และตอนนี้อินซอบก็ยังไม่ลืมคำนั้น และกำลังอธิบายอย่างตรงไปตรงมาอยู่
“เฮ้อ…”
อีอูยอนถอนหายใจยาวเหยียด พอเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดของอินซอบที่กำลังมองตนด้วยความเป็นห่วงก็เข้ามาในครรลองสายตา
แม่ง จะไม่ชอบได้ยังไง
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไม่อ่านครับ”
คำตอบของอีอูยอนทำให้หน้าตาของอินซอบกลับมาสดใสทันที อีอูยอนมองรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและขยายกว้างราวกับดอกไม้บานในสายลมของฤดูใบไม้ผลิพลางคิด
ต่อให้นิ้วทั้งสิบนิ้วจะโดนตัดออกไปหมดก็จะไม่ยอมยื่นแหวนให้เด็ดขาด
“แต่เรื่องเมื่อวาน…”
“เมื่อวาน…”
พวกเขาพูดพร้อมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้อินซอบกลับหลีกทางให้และบอกว่า “คุณอูยอนพูดก่อนเลยครับ”
“ขอโทษครับ”
เขาขอโทษออกมาตรงๆ โดยไม่มีคำพูดเพิ่มเติม
“ขอโทษครับคุณอินซอบ”
เรื่องเมื่อวานเป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้ข้ออ้างว่าดื่มเหล้าไปเยอะมาก หรืออารมณ์ไม่ดีมากได้ แม้จะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ทั้งหมด แต่ตอนที่คาดเดาจากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลือ เขาต้องทำให้อินซอบจนมุมอย่างรุนแรงแน่นอน
“เมื่อวานผม…”
ลำคอเรียวบางโผล่เข้ามาในครรลองสายตาของอีอูยอน รอยฟันกับรอยห้อเลือดที่เหลืออยู่เป็นจุดๆ แสดงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เห็นโดยไม่ต้องแตะต้อง
อินซอบที่รู้ทันสายตานั้นรีบใช้ชายเสื้อพันคอของตัวเองไว้
“…ปกติผมเป็นรอยง่ายอยู่แล้วครับ”
“ขอโทษนะครับ ที่ผมบังคับ…”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ”
อินซอบเอ่ยขัดคำพูดของอีอูยอนอย่างเด็ดขาด
“ผมเป็นคนชวนทำเองครับ คุณไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”
อินซอบจ้องอีอูยอนตรงๆ และพูดต่อ
“ปกติถ้าดื่มเหล้าเยอะ คุณอูยอนจะนอนคนเดียวใช่ไหมครับ แต่เป็นเพราะเมื่อวานผมอยากทำ…คุณอูยอนบอกแล้วนะครับว่าไม่ทำ แต่เพราะผมโลภมากโดยไม่จำเป็น… …ขอโทษครับ”
อินซอบเอ่ยขอโทษด้วยเสียงที่แผ่วเบา อีอูยอนมองคนรักที่ไม่เคยโกหกได้สำเร็จเลยสักครั้งของตัวเองโดยไม่พูดอะไร อีกฝ่ายไม่สามารถสบตาตรงๆ ได้ ทั้งยังมีใบหน้าแดงระเรื่อ
“คุณอูยอน…”
อีอูยอนโน้มตัวเหนือโต๊ะกินข้าวและจูบอินซอบ มันเป็นการจูบที่อ่อนโยน ริมฝีปากที่แตะลงมาเบาๆ ขยับอย่างนุ่มนวลราวกับจะขอให้ยกโทษให้ หลังจากการจูบสั้นๆ จบลง อีอูยอนก็แตะหน้าผากตัวเองกับหน้าผากของอินซอบก่อนจะพูด
“ห้ามยกโทษให้ง่ายๆ แบบนั้นนะครับ”
เขามองขนตาที่ยาวของอินซอบ ทั้งสวยและน่ารัก
“…มันจะทำให้ผมเป็นคนสันดานเสีย”
อีอูยอนกัดริมฝีปากล่างของอินซอบเบาๆ เหมือนหมาที่เพิ่งเรียนรู้การดูดพลางพึมพำ
“ผมไม่เคยยกโทษให้นะครับ”
อินซอบพูดแบบนั้นก่อนจะรีบพูดต่อ
“เพราะคุณอูยอนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
เขาไม่เคยคิดว่าความบกพร่องทางด้านจิตใจของตัวเองเป็นข้อเสีย แต่เหตุผลที่เขาไม่เปิดเผยเรื่องนั้นออกไปเป็นเพราะวินาทีที่พูด ท่าทีของคนจะเปลี่ยนไป
ถ้าเป็นวันที่ไปร่วม ‘งานประชุมพ่อแม่ผู้มีลูกที่มีปัญหาทางจิตใจ’ ท่าทีของแม่ที่ปฏิบัติต่อเขาก็เปลี่ยนไปเป็นพิเศษ
‘ไม่ใช่ความผิดของลูกเลยที่ลูกเป็นแบบนั้น เพราะนั่นทำให้ลูกเป็นเด็กที่พิเศษ’
เขาเกลียดท่าทีเหี้ยๆ ที่ไม่เหมือนกับคำพูดแบบนั้น มันทั้งน่ารำคาญและน่าเบื่อหน่าย โชคดีที่ท่าทางของแม่เป็นแบบนั้นได้แค่ไม่กี่วัน เพราะอย่าว่าแต่คิดว่าจิตใจที่ไม่ปกติของลูกชายพิเศษเลย แม่อยากจะซ่อมแซมเขาให้ได้ด้วยซ้ำ
“คุณอูยอนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เพราะฉะนั้นผมจะยกโทษให้คุณอีอูยอนได้ยังไง”
อินซอบไม่เบือนหน้าหนีความไม่มั่นคงที่โหดร้ายและน่าเกลียดของเขาและเผชิญหน้าตรงๆ และไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะซ่อมแซมหรือแก้ไขจิตใจที่บิดเบี้ยวของเขา
ไม่ว่าจะเจอเรื่องแบบไหน เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนทีท่า อีกฝ่ายยังรู้สึกสงสารอย่างธรรมดา กอดเขาอย่างธรรมดา….และเห็นเขาเป็นคนธรรมดา
ในทุกๆ ครั้งอีกฝ่ายจะไม่ตกใจ
“…ถึงคุณจะทำผิดนิดหน่อยเรื่องที่ดื่มเหล้ามากเกินไปเมื่อวานก็เถอะ”
น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงไว้ด้วยการตำหนิเล็กน้อย
บางครั้งตอนที่เผชิญหน้ากับอินซอบ เขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เหมือนความรู้สึกถูกตัดออกไป จนเขารู้สึกเหมือนทั้งหมดที่สามารถทำได้คือการมองอินซอบอย่างเหม่อลอย
อีอูยอนยิ้มอย่างช้าๆ
เขารู้ว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งหมดชีวิตก็ไม่สามารถเอาชนะสิ่งนี้ได้
“ครั้งต่อไปถ้ารู้สึกว่าผมเมา อย่าทำตัวไร้สาระและสั่งให้ผมไปนอนนะครับ ถ้าผมไม่ฟังก็ตบหน้าผมได้เลย”
อีอูยอนเอามือของอินซอบมาแกล้งตบแก้มตัวเองเบาๆ อินซอบตกใจและเอามือลง
“มะ ไม่ทำหรอกครับ ทำไมผมต้องตบคุณอูยอนด้วยล่ะครับ”
“ก็คุณตบได้ดี”
“ผมตบตอนไหนครับ”
อินซอบเอ่ยถามเพราะงงงวย
“ตอนนั้นที่ทะเลสาบ”
“นั่นเพราะคุณอูยอนสั่งให้ทำแบบนั้น…”
“ใช่ครับ เก่งมากเลยครับ เพราะฉะนั้น ครั้งต่อไปก็ช่วยทำแบบนั้นด้วยนะครับ”
“…”
“รีบกินข้าวเถอะครับ เดี๋ยวมันจะเย็น”
อินซอบพยักหน้าก่อนจะกินซุป อีอูยอนกินสลัดและพูดขึ้นว่า “ว่าแต่”
“เรื่องที่ตั้งใจจะพูดเมื่อกี้คืออะไรเหรอครับ”
“เอ่อ คือ…”
อินซอบขยำชายเสื้ออีกครั้ง เพราะเป็นเรื่องที่พูดออกมาได้ยาก อีอูยอนลูบแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วก้อยด้วยความเคยชิน
“เรื่องชื่อเรียกน่ะครับ”
“ชื่อเรียกอะไร”
อีอูยอนเอียงคอถาม
“เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่เรียกชื่อกันมาตั้งแต่แรก ก็เลยเรียกชื่อมาเรื่อยๆ แต่ถ้าจะต้องเปลี่ยน ทะ ที่เกาหลีจะไม่เรียกชื่อในความสัมพันธ์ที่สนิทกัน งั้น…”
“จะชวนให้เป็นพี่น้องเหรอ”
“…”
ใบหน้าของอินซอบแดงซ่าน
เรื่องที่ไม่สำคัญอะไรกำลังทำให้ไอ้นั่นแข็ง
อีอูยอนบอกว่า “ไม่ต้องหรอกครับ” ก่อนจะหลุบตาลงและยิ้มเล็กน้อย
“เราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ นี่”
อีอูยอนรินน้ำและยื่นให้อินซอบพลางพูดต่อ
“เรียกตามที่อยากเรียกเถอะครับ ผมไม่สนใจหรอกว่าจะเรียกยังไง”
“…แต่ทำไมเมื่อวาน…”
“เมื่อวานทำไมเหรอครับ”
“มะ ไม่มีอะไรครับ”
อินซอบรีบเลื่อนสายตาลง
เมื่อวานเราเมาและสั่งให้เขาเรียกว่าพี่ชายพร้อมกับสอดใส่เข้าไปเหรอ เราบีบไอ้นั่นไว้จากทางด้านหลัง และข่มขู่ว่าถ้าไม่เรียกแบบนั้นจะไม่ให้เสร็จไปชั่วชีวิตเหรอ ไม่สิ เราอาจจะปล่อยน้ำเชื้อใส่ช่องทางตอดรัดของชเวอินซอบพร้อมกับพูดว่าพี่จะทำให้ท้องก็ได้ หรือว่าเราจะถามไม่หยุดว่าชอบหรือเปล่าที่พี่ใช้ไอ้นั่นเสียบเข้าไปแบบนี้หลังจากที่สั่งให้อีกฝ่ายทำท่าที่ไม่เรียบร้อยที่ไม่เคยทำในตอนปกติ
แม่ง ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นแบบไหน ยังไงคนที่มีอะไรกับเด็กนั่นก็มีแค่เรา
“เรียกตามที่เคยเรียกเถอะครับ เพราะผมชอบที่คุณอินซอบเรียกชื่อผม”
“…ครับ”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงยิ้มให้เล็กๆ ราวกับโล่งใจ อีอูยอนมองเขี้ยวสีขาวของอินซอบที่โผล่มาระหว่างริมฝีปากพลางตัดขนมปัง
“แล้วก็ที่ผมบอกว่าจะเซ็นสัญญาค้ำประกันร่วมให้พวกน้องๆ เมื่อวานน่ะครับ”
“อ๋อ ครับ”
แม้จะเป็นเรื่องที่ทำให้กินข้าวไม่ลงตั้งแต่เช้า แต่อีอูยอนก็ยิ้มเพื่อที่จะไม่แสดงท่าทีออกไปให้ได้มากที่สุด
“มันไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ เพราะพวกเขาเป็นเด็กที่จะไม่ทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด พวกเขาไม่เล่นพนันหรืออะไรพวกนั้น และไม่ก่อเรื่องที่รับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ พวกเขาไม่ทำเด็ดขาดครับ เพราะพวกเขาเป็นเด็กดีและซื่อสัตย์”
“ครับ ผมรู้ครับ”
…กินข้าวไม่ลงจริงๆ
“แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ผมก็คงจะช่วยสักครั้งครับ”
“คุณอินซอบสามารถทำอย่างที่ต้องการได้เลยครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณอินซอบเลือก”
“ไม่ครับ เพราะผมคิดว่าคุณอูยอนต้องรับรู้ด้วยครับ ถ้าแต่งงานกัน ไม่ว่ายังไง…”
ดูเหมือนอินซอบจะห่วงเขาที่จะเดือดร้อนด้วยเรื่องที่ยังไม่เกิด เพราะคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม อีอูยอนตอบด้วยท่าทีสบายๆ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นก็ได้ครับ ถ้าเกิดปัญหาทางกฎหมาย ผมจะจัดการเองครับ”
เขาวางแผนว่าถ้าเกิดปัญหาเพราะน้องชายของอินซอบ เขาจะจัดการคนพวกนั้นให้เรียบโดยไม่สนวิธีการ หรือการปล่อยให้พวกนั้นสร้างเรื่องสักครั้งจะดีกว่านะ
“ผมจะช่วยแค่ครั้งเดียวครับ ผมจะไม่ช่วยมากกว่านั้นเด็ดขาด เพราะนี่เป็นเรื่องที่ครอบครัวควรทำ…”
บางครั้งเขาที่ไม่เข้าใจวิธีการที่เหมาะสมก็ประหลาดใจกับวิธีคิดของอินซอบ เขาจะวุ่นวายขนาดไหนนะที่มีสิ่งที่ต้องปกป้องเยอะมากขนาดนั้นทั้งๆ ที่ตัวเองอ่อนแอมาก
“ถึงจะรู้ว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ และคุณอูยอนเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม มีพรสวรรค์มาก และเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจนผมเทียบไม่ติด แต่…”
ไอ้คนน่ารักเอ๊ย หยิบเหยื่อล่อออกมาถี่ขนาดนี้เพื่อที่จะพูดอะไรกัน
อีอูยอนจิบกาแฟไปอึกหนึ่งและรอคำพูดต่อไปของอินซอบ
“ถ้าคุณอูยอนต้องการความช่วยเหลือของผม ผมจะเซ็นค้ำประกันให้ครับ”
“…”
“ไม่ว่าจะกี่ครั้งผมก็จะเซ็นให้ ผมจะทำแบบนั้นครับ”
อินซอบเม้มปากอย่างดื้อดึง นี่เป็นสีหน้าที่อินซอบซึ่งขี้กลัวและขี้ขลาดทำทุกครั้งที่รวบรวมความกล้าเพื่อปกป้องของของตัวเอง
อีอูยอนถอนหายใจยาว
“…คุณอูยอน?”
อินซอบมีแววตาร้อนใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดหรือเปล่า และเอ่ยเรียกอีอูยอนอย่างระมัดระวัง
“เป็นเรื่องที่จะทำให้ชีวิตพังพินาศเหรอครับ จะเซ็นสัญญาค้ำประกันตั้งหลายรอบอะไรกัน”
อินซอบหัวเราะให้กับคำพูดที่เจือการล้อเล่นของอีอูยอน
เป็นเสียงหัวเราะที่น่ารักและเพราะมาก
ตอนที่คิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว อินซอบก็ก้าวข้ามเส้นนั้นเข้ามาอย่างหน้าตาเฉย
ผมชอบคุณขนาดนี้ได้จริงๆ เหรอ
“คุณอูยอน”
พออีอูยอนเอาแต่มองตัวเองโดยไม่พูดอะไร อินซอบก็เอ่ยเรียกเขา
“ว่าไง”
คุณคงไม่รู้ใช่ไหม…ว่าทุกครั้งคุณเรียกแบบนั้น ผมรู้สึกอ่อนแอและรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญขนาดไหน
อีอูยอนลูบแหวนราวกับเคยชิน
“…ไม่ได้โกรธใช่ไหมครับ”
“ไม่ได้โกรธ แต่กังวลนิดหน่อยน่ะครับ”
เขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไร หากเวลาที่ความรู้สึกของอินซอบที่มีต่ออย่างอื่นนอกเหนือจากตัวเองมาถึงในสักวัน เขาคงทำได้แค่อ้อนวอนจนตายอย่างน่าสงสาร
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ผมรู้สึกเหมือนชีวิตคุณอินซอบพังพินาศเต็มที่แล้ว แย่แล้วล่ะ”
“ครับ?”
“กินข้าวกันเถอะครับ เดี๋ยวซุปจะเย็น”
ตอนที่อินซอบใช้ช้อนคนซุป และถามว่า “มีหนี้เหรอครับ” อีอูยอนก็รู้สึกว่าเส้นแบ่งของตัวเองพังลงอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“…อย่าหัวเราะสิครับ”
แม้อินซอบจะหน้าแดงเพราะอาย และห้ามว่าอย่าหัวเราะอยู่หลายครั้ง แต่อีอูยอนก็ไม่หยุดหัวเราะง่ายๆ