สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้เข้ามาให้บรรดาอี๋เหนียง
สะใภ้หนานหย่งอุ้มสวีซื่อเจี้ยมาคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจ
พึ่งจะยามเหม่าสามเค่อ ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เหตุใดถึงมาเช้าขนาดนี้!
นางมองไปที่สะใภ้หนานหย่ง แต่สะใภ้หนานหย่งกลับก้มหน้าแล้ววางสวีซื่อเจี้ยลงบนพื้น
สวีซื่อเจี้ยโค้งคำนับสืออีเหนียง เขาไม่ได้วิ่งเข้ามาในอ้อมแขนของนางเหมือนปกติ แต่กลับยืนกุมมืออยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อคิดว่าช่วงนี้อาจารย์จ้าวกำลังสอนมารยาทเขา นางจึงไม่ได้คิดอะไร ชี้ไปที่หยางอีเหนี๋ยงแล้วพูดกับสวีซื่อเจี้ยว่า “นี่คือหยางอี๋เหนียง” จากนั้นก็แนะนำสวีซื่อเจี้ยให้หยางอีเหนี๋ยง “นี่คือคุณชายน้อยห้า!”
หยางอีเหนี๋ยงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วเรียกสวีซื่อเจี้ยว่า “คุณชายน้อยห้าเจ้าคะ” นางย่อเข่าคำนับสวีซื่อเจี้ย
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย เขามองไปที่สืออีเหนียงแล้วเรียก “อี๋เหนียง” แบบส่งๆ จากนั้นก็หันไปมองสะใภ้หนานหย่ง แล้วหันมามองสืออีเหนียง ด้วยท่าทีน้อยอกน้อยใจ
สะใภ้หนานหย่งเป็นคนบอกเขาใช่หรือไม่!
ตนมักจะอุ้มสวีซื่อเจี้ยไว้ในอ้อมแขนตลอด ทุกคนล้วนแต่บอกว่าตนตามใจสวีซื่อเจี้ยมากเกินไป ไม่มีความน่าเกรงขามของการเป็นท่านแม่ วันนี้หยางอีเหนี๋ยงมาคารวะตนวันแรก นางกลัวว่าหยางอีเหนี๋ยงเห็นเช่นนั้นแล้วจะดูถูกตนใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงมองไปที่สะใภ้หนานหย่งแล้วยิ้มพลางกวักมือเรียกสวีซื่อเจี้ย “มาเถิด มาหาท่านแม่เถิด!”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มหน้าบาน เขากระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียงราวกับนกน้อยที่โผบินออกจากกรง
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ให้ท่านฟังได้หรือไม่”
เพราะเมื่อวานต้องยุ่งอยู่กับเรื่องของหยางอีเหนี๋ยง สืออีเหนียงจึงบอกให้สะใภ้หนานหย่งกล่อมสวีซื่อเจี้ยนอนตั้งแต่หัวค่ำ
“ได้สิ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ
สวีซื่อเจี้ยได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายน้อยสี่มาคารวะท่านเจ้าค่ะ!”
“รีบเชิญเขาเข้ามา!” สืออีเหนียงยิ้ม
สวีซื่อเจี้ยที่อยู่ข้างสืออีเหนียงเขย่งเท้าแล้วมองไปรอบๆ
สวีซื่อจุนที่สวมเสื้อสีฟ้าเดินเข้ามา
“ท่านแม่ขอรับ!” เขาคำนับสืออีเหนียงด้วยความเคารพ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง เขารู้ว่าท่านพ่อแต่งอนุภรรยาคนใหม่ จึงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความแปลกใจ
สืออีเหนียงจึงแนะนำหยางอีเหนี๋ยงให้เขารู้จัก
หยางอีเหนี๋ยงรู้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือซื่อจื่อของหย่งผิงโหว
นางย่อเข่าคำนับแล้วใช้หางตาเหลือบมองเขา
เขาดูอายุแค่หกเจ็ดขวบ ผิวขาวราวกับหิมะ รูปร่างผอมบางทำให้ดูอ่อนแอปวกเปียก
สวีซื่อจุนโค้งคำนับอย่างขอไปที ก่อนที่จะวิ่งไปข้างๆ สืออีเหนียง
“น้องห้า!” เขากอดกับสวีซื่อเจี้ย สวีซื่อเจี้ยก็ยิ้มแล้วกอดสวีซื่อจุน จากนั้นพวกเขาก็กระซิบอะไรกันสองสามประโยคเบาๆ สวีซื่อจุนดึงแขนเสื้อสืออีเหนียงแล้วพูดออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าไม่ได้มาทานข้าวเที่ยงที่เรือนของท่านตั้งหลายวันแล้ว วันนี้ท่านให้ข้ามาทานข้าวเที่ยงที่เรือนของท่านนะขอรับ! ข้าอยากทานเกี๊ยวหมูต้นอ่อนถั่วลันเตาใส่ข้าวโพดที่เคยทานครั้งก่อน”
“ท่านแม่ขอรับ ท่านแม่ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงแขนเสื้อของสืออีเหนียง “ข้าก็อยากทาน ข้าก็อยากทานขอรับ!”
บรรยากาศในห้องพลันครึกครื้นขึ้นทันที
“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าดึงแขนเสื้อข้าขาดเชียวนะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดหยอกล้อสองพี่น้อง “ข้าบอกให้จู๋เซียงทำเกี๊ยวหมูต้นอ่อนถั่วลันเตาใส่ข้าวโพดให้พวกเจ้าตอนเที่ยงก็ได้!”
สองพี่น้องดีอกดีใจ
สวีซื่อจุนจับมือสวีซื่อเจี้ย “ท่านแม่ พวกเราไปเรียนแล้วนะขอรับ!”
“เมื่อวานท่านพ่อของพวกเจ้าดื่มมากเกินไป กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วช่วยสวีซื่อจุนจัดเสื้อผ้า “พวกเจ้าไปคารวะท่านพ่อก่อนแล้วค่อยไปเรียนเถิด”
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็ทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างสืออีเหนียง
เฉียวเหลียนฝังที่ยืนอยู่ข้างหลังสืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ สายตาของนางก็มองไปที่ผ้าม่านห้องข้างใน
เหวินอี๋เหนียงที่คอยเฝ้าดูอยู่ตลอดก็อดไม่ได้ที่จะแอบก่นด่าในใจว่าเฉียวเหลียนฝังนั้นโง่เง่า
ถึงแม้ว่าอยากจะชิงดีชิงเด่น แต่ก็ไม่ควรมาชิงดีชิงเด่นตอนที่หยางอีเหนี๋ยงแต่งเข้ามาแล้วมาคารวะสืออีเหนียงวันแรกเช่นนี้
คิดแบบนี้แล้วนางก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองหยางอีเหนี๋ยง
หยางอีเหนี๋ยงนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับไม่ได้ยินที่สืออีเหนียงพูด ท่าทางนิ่งสงบราวกับภูเขา
เหวินอี๋เหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
เกรงว่าอี๋เหนียงคนนี้คงจะไม่ธรรมดา!
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงของฉินอี๋เหนียงดังเข้ามาในหู “คุณชายน้อยสี่เจ้าคะ มีฮูหยินอยู่ที่นี่ ท่านไปเถิดเจ้าค่ะ ท่านโหวไม่ตำหนิท่านหรอกเจ้าค่ะ”
ทุกคนในจวนล้วนแต่รู้ว่าท่านโหวไม่พอใจกับท่าทีขี้ขลาดตาขาวของสวีซื่อจุน เมื่อสวีซื่อจุนมาคารวะเขา ก็มักจะถูกเขาสั่งสอนอยู่เสมอ
ฉินอี๋เหนียงพูดเป็นนัยต่อหน้าหยางอีเหนี๋ยงเช่นนี้
หากท่านโหวไม่ตำหนินาง มันก็จะกลายเป็นเพียงภาพท่านแม่ที่มีความเมตตาและลูกที่กตัญญู แต่หากท่านโหวตำหนินาง…
เหวินอี๋เหนียงแอบถอนหายใจในใจ
ฉินอี๋เหนียงอยากจะบอกหยางอีเหนี๋ยงว่า ถึงแม้ว่าสวีซื่อจุนจะเป็นซื่อจื่อ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของท่านโหว หรือว่า นางอยากจะบอกว่าสืออีเหนียงก็เป็นแค่ภรรยาสืบทอดคนหนึ่ง ท่านโหวไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาอยู่แล้ว?
นางมองไปที่สวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยล้วนแต่ยืนอยู่ข้างสืออีเหนียง คนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลา คล้ายกับสืออีเหนียง อีกคนหนึ่งดวงตาสดใส คล้ายกับสวีลิ่งอี๋ พวกเขาสองคนล้วนแต่มีจมูกโด่งเหมือนผู้ชายสกุลสวี คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าพวกเขาเป็นฝาแฝดกันก็ได้
พี่น้องสองคนนี้ยืนอยู่หน้าท่านโหว…
เหวินอี๋เหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
เกรงว่าครั้งนี้ ฉินอี๋เหนียงคิดผิดแล้ว!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา นางก็รู้สึกอึดอัด ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่เจ้าค่ะ คุณชายน้อยสี่ ฮูหยินอยู่ที่นี่ ท่านไปเถิดเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงมองเหวินอี๋เหนียงด้วยความแปลกใจ
ฉินอี๋เหนียงพูดเป็นนัย คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ด้วยความฉลาดของเหวินอี๋เหนียง นางต้องฟังออกแน่นอน นางไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นมาตลอด แต่ทำไมตอนนี้กลับยุยงฉินอี๋เหนียงอยู่ข้างหลัง?
เหวินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็กะพริบตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ แต่สัมผัสได้ว่านางไม่ได้มีเจตนาร้าย จึงยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
เด็กสองคนจะรู้ความคิดของผู้ใหญ่ได้เช่นไร สวีซื่อจุนคิดว่าฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงพูดมีเหตุผล สืออีเหนียงปกป้องเขามาตลอด หากถูกตำหนิจริงๆ สืออีเหนียงต้องช่วยเขาพูดแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเองก็ต้องไปคารวะท่านพ่ออยู่แล้ว
เขาจึงทำสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็จับมือสวีซื่อเจี้ยเดินเข้าไปในห้อง
หู่พั่วเดินไปช่วยเปิดม่านเบาๆ แล้วเดินตามสองพี่น้องเข้าไปข้างใน
สืออีเหนียงโล่งใจ ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วเหลือบมองหยางอีเหนี๋ยง
ทันใดนั้น ห้องโถงก็เงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตก
ในห้องมีเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติของสวีลิ่งอี๋และเสียงตอบคำถามอย่างตะกุกตะกักของสวีซื่อจุน บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะของสวีซื่อเจี้ย
สืออีเหนียงเห็นมือที่วางอยู่บนตักของหยางอีเหนี๋ยงกระตุก
นางยิ้มแล้วมองไปที่เหวินอี๋เหนียง
เห็นเหวินอี๋เหนียงกำลังยิ้มแล้วมองฉินอี๋เหนียงด้วยสายตาดูถูก
ทำไมเหวินอี๋เหนียงถึงแน่ใจว่าครั้งนี้สวีลิ่งอี๋ไม่มีทางตำหนิสวีซื่อจุนเล่า
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ และนางก็รู้ว่าไม่ควรทำให้บรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ต่อไป จึงพูดกับเหวินอี๋เหนียงด้วยรอยยิ้ม “นี่คือชาอู่อี๋ที่พระราชวังมอบให้เมื่อปีก่อน เจ้าดื่มแล้วคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
เหวินอี๋เหนียงคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำลายความเงียบ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่เข้าใจเรื่องชาเจ้าค่ะ ชาชั้นดีอะไร เมื่อเข้าไปในปากข้าก็ราวกับวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น เฉียวอี๋เหนียง เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ดี คิดว่าชานี้เป็นเช่นไรบ้าง”
ในใจของเฉียวเหลียนฝังตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังถูกทอดในกระทะน้ำมัน
เมื่อคืนได้ยินว่าท่านโหวนอนอยู่ที่เรือนของสืออีเหนียง ตอนนั้นนางยังแอบดีใจ หยางอีเหนี๋ยงคนนี้อาจจะขี้เหร่จนท่านโหวไม่ชอบขี้หน้า เช่นนั้นก็เพราะว่าเรื่องที่ตัวเองพูดกับสืออีเหนียงมีประโยชน์ สืออีเหนียงจึงพยายามหาวิธีให้ท่านโหวนอนอยู่ที่เรือนของตัวเอง แต่ทันทีที่ได้เจอกับหยางอีเหนี๋ยงเช้านี้ นางก็ใจหายไปครึ่งหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะแต่งตั้งสตรีที่หน้าตาสวยงามและมีเสน่ห์แบบนี้ให้เป็นอนุภรรยาของท่านโหว และสิ่งที่ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ สืออีเหนียงยังสามารถทำให้ท่านโหวนอนที่เรือนของตัวเองได้ แสดงอำนาจให้หยางอีเหนี๋ยงเห็น
พลันนึกถึงเรื่องที่ตนแท้งลูกชายของท่านโหว ตั้งแต่นั้นมาท่านโหวก็ห่างเกินกับนาง ตอนนี้มีสตรีที่สวยงามเช่นนี้แต่งเข้ามา หากตนไม่พยายามแล้วท่านโหวยังจะนึกถึงตนอีกหรือ
แต่หากจะจัดการหยางอีเหนี๋ยง ก็ต้องใช้ตำแหน่งฮูหยินของสืออีเหนียงเท่านั้น
เพราะเรื่องบางเรื่อง มีแค่ฮูหยินเท่านั้นที่ทำได้
ดังนั้นตอนที่เดินเข้ามาตนจึงเข้าไปประคองสืออีเหนียงอย่างสนิทสนม อยากจะปรับความสัมพันธ์กับสืออีเหนียงสักหน่อย ถือว่าบอกเป็นนัยให้กับหยางอีเหนี๋ยงว่าตนและสืออีเหนียงสนิทสนมกันราวกับพี่น้องแท้ๆ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า หยางอีเหนี๋ยงเพิ่งเข้ามาก็มอบรองเท้าให้สืออีเหนียง คุกเข่าคำนับสืออีเหนียง ถ่อมตัวมากกว่าฉินหลิวเป่าที่เป็นสาวใช้มาก่อนเสียอีก
นางจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสืออีเหนียงจะสนิทสนมกับหยางอีเหนี๋ยง
พลันนึกถึงความขัดแย้งของตัวเองและสืออีเหนียง
หากสืออีเหนียงใช้หยางอี๋เหนียงเป็นเครื่องมือจัดการตัวเอง…เช่นนั้น…นางยังจะมีที่ให้ยืนอยู่อีกหรือ!
ขณะที่นางกำลังหวาดกลัว จู่ๆ ก็ได้ยินเหวินอี๋เหนียงเรียกชื่อนาง
เฉียวเหลียนฝังตกใจ จากนั้นก็ได้สติกลับมา เห็นว่าทุกคนในห้องต่างก็จับจ้องมาที่ตัวเอง นางพยายามคิดว่าเมื่อครู่เหวินอี๋เหนียงพูดอะไร จากนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า ข้า…”
‘ข้า’ อยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นม่านในห้องข้างในก็เปิดออก สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเดินออกมาอย่างมีความสุข
ทุกสายตาหันไปมองสองพี่น้อง
เฉียวเหลียนฝังแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ท่านแม่ขอรับ ข้ากับน้องห้าไปเรียนแล้วนะขอรับ!” สวีซื่อจุนตะโกนบอกสืออีเหนียงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
สืออีเหนียงลุกขึ้นส่งพวกเขา “ระวังทางเดินด้วย”
สองพี่น้องสองพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาพอดี
“พี่หญิงใหญ่ท่านมาสายแล้ว!” สวีซื่อจุนดูมีชีวิตชีวามากกว่าปกติ “ข้าและน้องห้าคารวะท่านแม่และท่านพ่อแล้ว กำลังจะไปเรียน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดง รีบพูดแก้ตัว “ข้าไปเก็บดอกไม้มาให้ท่านแม่”
สวีซื่อจุนถึงได้สังเกตเห็นว่าเสี่ยวหลีที่อยู่ข้างหลังเจินเจี่ยเอ๋อร์ถือเเจกันสีฟ้าอยู่ในมือ แล้วยังมีดอกชากุหลาบแดงสีแดงสดเสียบอยู่สี่ห้าดอก
เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปคำนับสืออีเหนียง
“ท่านแม่” นางถือเเจกันออกมาจากมือเสี่ยวหลี “ดอกชากุหลาบแดงสวยหรือไม่เจ้าคะ ข้าเป็นคนบอกให้สะใภ้จี้ถิงเป็นคนดูแลเอง ใช้ดอกนี้แทนดอกพุดตานชั่วคราว ผ่านไปสองสามวัน ก็จะมีดอกกล้วยไม้หยกแล้ว…”
สืออีเหนียงชอบตั้งดอกไม้ไว้บนขอบหน้าต่าง ทุกคนในจวนล้วนรู้ดี ถึงแม้ว่าจะมีเรือนหน่วนฝัง แต่ก็มีข้อจำกัดไม่สามารถปลูกดอกไม้ได้ตลอดทั้งปี แม้ดอกชากุหลาบแดงนั้นปลูกขึ้นง่ายกว่าดอกชบา แต่กลับต้องใส่ใจดูแลอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์ตั้งใจนำมาให้
“สวยมาก!” สืออีเหนียงยิ้มรับเเจกันมา “สวยมากเลย!” จากนั้นก็พูดว่า “ฤดูกาลนี้ยังให้สะใภ้จี้ถิงช่วยเจ้าดูแลดอกไม้ สะใภ้จี้ถิงคงจะถูกเจ้าบ่นจนปวดหัวกระมัง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วยิ้มแต่กลับไม่ตอบอะไร