ตอนที่ 384 เลี้ยงอาหารมื้อเช้า
ถ้าเป็นเรื่องของการเลี้ยงอาหารต้อนรับแขกแล้วไม่มีใครใหญ่ไปกว่าคุณปู่ฟาง ใครบ้างจะกล้าขัดใจเขา?
ฟู่เฉียงหิ้วถังหอยโข่งใบใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง ประคองแม่เสียสติของเขาด้วยมืออีกข้าง เขากับคุณลุงคนขับต่างหิ้วถังหอยโข่งใบใหญ่เดินตามสมาชิกครอบครัวของหลินม่ายทั้งสี่ไปยังร้านเปาห่าวซือเพื่อกินอาหารเช้าอย่างว่าง่าย
พอผ่านร้านเซาเข่า ‘เหรินเจียนเยียนหั่ว’ หลินม่ายขอให้พนักงานสองคนช่วยขนหอยโข่งทั้งสองถังเข้าไปเก็บหลังร้าน จากนั้นก็พาทุกคนเข้าไปที่ร้านเปาห่าวซือ
ตอนที่คุณปู่ฟางและภรรยายังอยู่ที่บ้าน พวกเขาได้ยินหลินม่ายเล่าว่าเธอย้ายร้านของว่างเปาห่าวซือไปอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว ทั้งยังมีการขยายสาขา
แต่การได้ยินก็เป็นอย่างหนึ่ง การได้เห็นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นตาตื่นใจออกมาหลายครั้งเมื่อเห็นการตกแต่งที่ทันสมัยของร้านเปาห่าวซือ แถมตัวร้านยังมีขนาดใหญ่กว่าร้านเดิมหลายเท่าตัว
คุณปู่ฟางยังพูดติดตลกด้วยว่า หลินม่ายแทนที่ปืนลูกซองด้วยปืนใหญ่ (1)
ช่วงนี้ลูกค้าแวะเวียนมากินข้าวมื้อเช้าที่ร้านเยอะเป็นพิเศษ
ชั้นแรกแน่นขนัด ไม่มีที่ว่างเลยสักโต๊ะ ลูกค้าหลายคนจำเป็นต้องซื้อซาลาเปากับขนมจีบแล้วเดินไปพลางกินไปพลาง
เจิ้งซวี่ตงกำลังสอนงานให้พนักงานคนหนึ่งในร้าน ทันทีที่เห็นหลินม่ายเดินเข้ามาพร้อมคนกลุ่มหนึ่ง เขาก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับด้วยตัวเอง
เขาถามด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าหลิน เชิญแขกมากั้วจ่าว*เหรอครับ”
(*กั้วจ่าว 过早: เป็นภาษาถิ่น หมายถึงกินอาหารเช้า)
หลินม่ายพยักหน้า “ช่วยเรียกพนักงานให้จัดเตรียมห้องอาหารส่วนตัวให้พวกเราหน่อย”
เจิ้งซวี่ตงรีบเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งการ ให้อีกฝ่ายเตรียมห้องอาหารส่วนตัวริมหน้าต่างสำหรับหลินม่ายและแขกของเธอ
การรับประทานอาหารในห้องส่วนตัวริมหน้าต่าง ทำให้สามารถชมทิวทัศน์ตามท้องถนนไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว
พนักงานเสิร์ฟปลีกตัวไปจัดการโดยทันที จากนั้นก็หยิบสมุดกับปากกาออกมา ถามว่าต้องการสั่งอะไรบ้าง
หลินม่ายบอกฟู่เฉียงกับคุณลุงคนขับว่าถ้าอยากกินอะไรก็ให้สั่งได้เลย แต่ทั้งสองคนกลับอมพะนำไม่ยอมสั่งอาหารท่าเดียว
ท้ายที่สุดหลินม่ายจึงต้องเป็นคนสั่งอาหารหลากหลายเมนู
เมื่อเข่งไม้บรรจุเกี๊ยวนึ่ง ซาลาเปา และขนมจีบถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ไม่ใช่แค่แม่เสียสติของฟู่เฉียงแค่คนเดียว แม้แต่ฟู่เฉียงและคุณลุงคนขับรถยังแอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
ทุกคนกินอาหารที่หลินม่ายสั่งมาจนหมดด้วยความเอร็ดอร่อย กระทั่งพุงป่องด้วยความอิ่มหนำสำราญ
หลินม่ายสั่งเกี๊ยวนึ่งเพิ่มอีกสามเข่ง และซุปเม็ดบัวเห็ดหูหนูอีกหนึ่งชาม เพื่อให้ฟู่เฉียงเอากลับไปฝากพ่อ
ในบรรดาคนทั้งหมด มีแค่พ่อของเขาที่ยังไม่ได้กินอะไร
ฟู่เฉียงรับอาหารแล้วก็สั่งให้แม่เสียสติคอยเดินตามเขาอย่างใกล้ชิด สองแม่ลูกเดินขึ้นชั้นบนไปส่งอาหารให้พ่อของฟู่เฉียงด้วยกัน
ส่วนหลินม่ายก็เดินออกไปส่งคุณลุงคนขับรถ
พอนึกขึ้นได้ว่าคุณลุงคนขับรถอุตส่าห์ขับรถเป็นระยะทางไกลเพื่อมาส่งพวกเขาถึงในเมืองตั้งแต่เช้า แถมยังช่วยขนของอย่างขยันขันแข็ง หลินม่ายจึงเตรียมอั่งเปาไว้ให้เขาเพื่อแสดงความขอบคุณ
คุณลุงคนขับรถกับหลินม่ายโต้เถียงกันอยู่นาน ในที่สุดภายใต้คำเกลี้ยกล่อมของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง เขาจึงยอมรับอั่งเปานั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะขับรถออกไป
หลินม่ายจับมือโต้วโต้ว เดินกลับบ้านพลางพูดคุยกับคุณย่าฟางด้วยเสียงหัวเราะ
ทันทีที่คนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในลานหลังบ้าน พวกเขาก็เห็นว่าฟู่เฉียงกำลังวิ่งลงบันไดมาด้วยความตื่นตระหนก ถามหลินม่ายและคนอื่น ๆ ด้วยความกระวนกระวาย “พวกคุณเห็นแม่ผมหรือเปล่าครับ?”
คุณย่าฟางถามอย่างจริงจัง “แม่เธอไม่ได้คอยเดินตามเธออยู่ตลอดเวลาหรอกเหรอ? ทำไมคนถึงหายไปได้?”
ฟู่เฉียงพยักหน้า “ผมเห็นอยู่ว่าแม่เดินขึ้นไปชั้นบนกับผมแล้ว แต่พอผมเข้าไปในห้องเพื่อส่งอาหารให้พ่อ ตอนออกมาก็ไม่เห็นท่านแล้ว”
คุณปู่ฟางทำหน้าเคร่งขรึม “รีบออกไปหาดูให้ทั่วเถอะ”
ฟู่เฉียงกำลังจะวิ่งจากไป แต่หลินม่ายเรียกไว้ “เธอไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ระวังหลงทางด้วย”
ฟู่เฉียงโบกมือ “ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าผมหลงทางขึ้นมาจริง ๆ แค่ถามใครสักคนว่าร้านเปาห่าวซือตั้งอยู่ตรงไหนก็กลับมาได้แล้ว”
หลินม่ายคิดตาม จากนั้นก็ปล่อยให้เขาออกไปตามหาแม่เสียสติตามลำพัง
ส่วนคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟาง หลินม่ายไม่ยอมให้พวกเขาทั้งสองออกไปตระเวนหาแม่ของฟู่เฉียงเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาอายุมากแล้ว เกิดหลงทางขึ้นมาจะทำยังไง? ข้างนอกอากาศร้อน ถ้าพวกเขาเป็นลมแดดขึ้นมาล่ะ?
ถึงอย่างนั้นคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางก็ยังยืนกรานว่าจะช่วยตามหาอีกแรง หลินม่ายจึงต้องตามใจพวกเขา โดยให้โต้วโต้วคอยติดตามพวกเขาอย่างใกล้ชิด
โต้วโต้วอยู่ที่นี่มาสักระยะหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าหล่อนค่อนข้างคุ้นเคยกับพื้นที่นี้
มีหล่อนตามไปด้วยคนหนึ่ง มีโอกาสน้อยมากที่คนชราทั้งสองจะหลงทาง
ส่วนตัวเธอเองไปขอยืมจักรยาน 28 (2) มาจากอวี๋เจียจิ้น แล้วขี่ตามหาแม่ของฟู่เฉียงไปทั่วถนน
ภายใต้แสงแดดแผดเผา หลินม่ายใช้เวลาออกตามหานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็เจอแม่ของฟู่เฉียงยืนอยู่หน้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งอยู่ไกลจากถนนเจี่ยฟางอยู่หลายช่วงถนน
อีกฝ่ายกำลังแนบหน้าตัวเองเข้ากับกระจก มองดูโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่ติดอยู่ข้างในนั้นด้วยความเพลิดเพลิน
หลินม่ายลงจากจักรยาน ปรี่เข้าไปจับมืออีกฝ่ายไว้ “คุณป้า รีบกลับกันเถอะค่ะ คุณออกมาไกลแบบนี้ ฟู่เฉียงเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว”
แม่ของฟู่เฉียงเดินตามเธอไปสองสามก้าว ปากก็พึมพำคำว่า ‘ฟู่เฉียง’ ซ้ำ ๆ ราวกับกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะนึกให้ได้ว่าฟู่เฉียงคือใคร
ถึงพยายามนึกอยู่นาน ก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าฟู่เฉียงคือใคร จึงถามอย่างระแวดระวังขึ้นมาว่า “คุณเป็นใคร?”
ขณะที่เอ่ยปากถาม ก็ดิ้นรนพยายามจะหลบหนี
หลินม่ายนึกอะไรขึ้นได้ “ฉันชื่อหลินม่ายค่ะ”
ท่าทางของแม่ฟู่เฉียงโอนอ่อนลงกว่าเดิมทันที พูดพึมพำ “ม่ายจื่อเป็นคนดี”
“ในเมื่อคุณรู้ว่าฉันเป็นคนดี ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านไปด้วยกันนะ”
หลินม่ายพยายามตะล่อมอยู่นาน ในที่สุดก็สามารถพาแม่ของฟู่เฉียงกลับบ้านจนได้
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางตระเวนตามหาอยู่ในละแวกใกล้เคียงเป็นเวลานาน แต่ไม่เจอแม่ของฟู่เฉียงเดินเตร่อยู่แถวนี้เลย
พอเห็นว่าหลินม่ายพาแม่ของฟู่เฉียงกลับมาแล้ว พวกเขาต่างก็ผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอก
หลินม่ายพาแม่ของฟู่เฉียงที่เหงื่อท่วมเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างมือ ถามคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางว่า “ฟู่เฉียงยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ?”
“ยังหรอก” คุณปู่ฟางตอบ “เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขาหรอก เขาคงกำลังตามหาแม่ตัวเองอยู่ อีกไม่นานเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
จนกระทั่งเกือบถึงเวลาอาหารกลางวัน ฟู่เฉียงถึงวิ่งกลับมาที่บ้านด้วยอาการหอบเหนื่อย ถามทันทีที่เดินผ่านเข้าประตูมา “แม่ผมกลับมาหรือยังครับ?”
คุณย่าฟางชี้ไปที่ผู้หญิงเสียสติที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงโซฟา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้ว ม่ายจื่อเป็นคนไปเจอหล่อนน่ะ”
ฟู่เฉียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดวงตาของเขาแดงก่ำ ก่อนจะดุแม่ตัวเองเสียงดัง “แม่วิ่งไปวิ่งมาตามใจชอบแบบนี้ได้ยังไง ที่นี่มันในเมืองนะ ถ้าแม่หายตัวไป แล้วผมจะไปตามหาแม่ได้จากที่ไหน?”
คุณย่าฟางโบกไม้โบกมือ “เอาเถอะ เอาเถอะ หยุดพูดได้แล้ว ต่อให้เธอพูดอะไรไป แม่เธอก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี”
ฟู่เฉียงมองไปที่แม่เสียสติซึ่งกำลังส่งยิ้มให้เขาเหมือนคนโง่ ทันใดนั้นหัวใจเขาก็เหมือนจะแตกสลาย
ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นแม่ของเขา เขาไม่สามารถละเลยหล่อนได้…
ตอนเที่ยงฟางจั๋วหรานไม่ได้แวะมาที่บ้านแค่คนเดียว แต่ยังพาฟางจั๋วเยวี่ยมาด้วย
ฟางจั๋วเยวี่ยตะโกนทักทายทันทีที่เดินเข้าประตูมา “พี่สะใภ้ คุณยังติดหนี้อาหารมื้อใหญ่ผมอยู่นะ เมื่อไหร่จะจ่ายคืนเสียทีล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานตบท้ายทอยน้องชายทันควัน “นายโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ยังคิดถึงแต่เรื่องกินอยู่ได้ ฉันพานายมาที่นี่ทำไม นายลืมไปแล้วเหรอ?”
ถึงฟางจั๋วเยวี่ยที่โดนสกัดดาวรุ่งจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ไม่กล้าต่อต้านพี่ชายตัวเอง
พอเห็นว่าคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังมองมาที่เขา เขาก็พูดขึ้นว่า “คุณปู่ คุณย่า ดูซิว่าผมเอาอะไรมาด้วย?”
ในมือของเขาถืออู่เหลียงเย่ (3) ไว้สองขวด
คุณปู่ฟางไม่สนใจเรื่องอาหารการกินใด ๆ เป็นพิเศษ ทว่าสุราชั้นดีถือเป็นข้อยกเว้น
โดยเฉพาะเหล้าเหมาไถกับอู่เหลียงเย่ ทั้งสองอย่างต่างก็เป็นของโปรดของเขา
หลานชายคนเล็กหาเงินได้เดือนหนึ่งไม่กี่หยวน แต่กลับใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ข้อนี้คนชราทั้งสองก็รู้ดี
คุณปู่ฟางชำเลืองมองไปทางห้องรับแขกที่พ่อของฟู่เฉียงกำลังนอนหลับอยู่ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงกระซิบต่ำ “เธอขโมยอู่เหลียงเย่สองขวดนั้นมาจากพ่อเธอใช่ไหมล่ะ? ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้มีเงินอะไรมากมาย บางครั้งยังขอเงินจากพี่ชายอยู่เลย จะเอาเงินที่ไหนซื้อของราคาแพงแบบนี้ให้ฉัน! ต่อให้ซื้อจริง ก็คงเป็นเหล้าคุณภาพต่ำผสมน้ำล่ะสิไม่ว่า!”
ฟางจั๋วเยวี่ยหน้าแดงก่ำทันทีเมื่อถูกคุณปู่ฟางแกล้งหยอก กระแทกอู่เหลียงเย่ทั้งสองขวดวางลงบนโต๊ะด้วยความไม่สบอารมณ์
หลินม่ายเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับคากิตุ๋นสมุนไพรจานใหญ่ และแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินคำแซวของคุณปู่ฟาง
ฟางจั๋วเยวี่ยตั้งท่าจะต่อว่าเธออยู่แล้ว แต่พบว่าพี่ชายกำลังจ้องเขม็งมองมาด้วยสายตาเตือนภัย ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเกาจมูกด้วยความหงุดหงิด
หลินม่ายถามเขาด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงมาที่นี่ได้? คุณนี่เป็นแขกที่หายากจริง ๆ โชคดีที่วันนี้ฉันทำกับข้าวมื้อกลางวันไว้หลายอย่าง ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคุณคงแขวนท้องหิวจนไส้กิ่วแน่”
ฟางจั๋วเยวี่ยชี้ไปทางฟางจั๋วหรานที่กำลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อช่วยยกจานอาหารออกมาวาง “พี่ชายโทรเรียกผมมาน่ะสิ บอกว่าคุณปู่กับคุณย่าอยู่ที่นี่”
พอเห็นฟางจั๋วหรานเดินออกมาพร้อมกับจานอาหารในมือ หลินม่ายก็ถามเขาด้วยความประหลาดใจ
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันจะพาคุณปู่กับคุณย่ากลับมาวันนี้? ฉันไม่ทันได้โทรบอกคุณล่วงหน้าด้วยซ้ำ หรือศัลยแพทย์มีความสามารถพิเศษในการทำนายเวลากลับบ้านด้วย?”
คุณปู่ฟางยิ้มพลางอธิบายแทน “เมื่อกี้นี้ฉันใช้โทรศัพท์บ้านของเธอโทรหาจั๋วหรานเองแหละ บอกว่าพวกเรามาถึงในเมืองแล้ว และอยู่ที่บ้านของเธอ”
หลินม่ายพึมพำ “มิน่าล่ะคะ! ฉันก็นึกว่าจั๋วหรานมีทักษะหยั่งรู้อนาคตซะอีก”
หลังจากนั้นไม่นาน หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานก็ช่วยกันยกจานอาหารออกมาวางจนเต็มโต๊ะ
ฟางจั๋วเยวี่ยมองไปที่อาหารน่ารับประทานบนโต๊ะ จากนั้นก็ถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น ราวกับกำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่างที่สำคัญ พูดพลางทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “ได้เวลาอาหารมื้อใหญ่แล้ว!”
คุณย่าฟางมองค้อนเขา “เธอคิดว่าอาหารพวกนี้มีไว้ต้อนรับเธอคนเดียวรึไง เราทำไว้เผื่อแขกต่างหาก”
ฟางจั๋วเยวี่ยหันศีรษะมองไปรอบ ๆ “แล้วแขกอยู่ไหนล่ะครับ?”
……………………………………………………………………………………………………………….
แทนที่ปืนลูกซองด้วยปืนใหญ่ เป็นสำนวน หมายถึงมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
จักรยาน 28 คือจักรยานโบราณที่มีล้อใหญ่ 28 ที่ว่าหมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ คือ 28 นิ้ว
อู่เหลียงเย่ คือสุราขาวยี่ห้อยอดนิยมของจีน
สารจากผู้แปล
ใจหายเลย อยู่ดี ๆ ก็หายไปไหนไม่รู้ การดูแลคนเสียสติที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นี่มันก็ลำบากเหมือนกันนะ
ไหหม่า(海馬)