หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1087 ตื่น!

บทที่ 1087 ตื่น!

เวลาล่วงผ่าน ไม่แน่ชัดว่าผ่านไปนานเพียงใด สติของหวังเป่าเล่อในเริ่มแรกยังไม่ฟื้นคืนกลับมา สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่แท้จริงแล้วภายในการทดสอบของดาวชะตา กลับใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งวัน

นี่เป็นเวลาสิบสองชั่วยามของวันที่สิบ ตอนนี้ผ่านไปสิบเอ็ดชั่วยามแล้ว ห่างจากช่วงเวลาสิ้นสุดอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

เทียบกับหวังเป่าเล่อแล้ว ในบรรดาผู้ทดสอบคนอื่นๆ มีหลายคนที่ประสบความสำเร็จในการระลึกถึงชาติที่สิบ และการทดสอบของพวกเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะหวังเป่าเล่อยังอยู่ที่นี่และยังไม่ตื่นขึ้นมา ดังนั้นภายในสนามทดสอบแห่งนี้ จึงดำเนินต่อไป หมอกรอบด้านก็ยังไม่หายไปเช่นเดียวกัน

เขา เป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่ตื่น ท่ามกลางการทดสอบที่ปกคลุมด้วยไอหมอกแห่งนี้

นอกจากเขาที่ระลึกชาติแล้ว สวี่อินหลิงที่นั่งอยู่ด้านหน้า บัดนี้ภายในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่กำลังซัดโหมกระหน่ำ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกสิ่งที่นางเห็นตลอดสิบเอ็ดชั่วยามนี้ ทำให้ภายในใจของนางเปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอัศจรรย์ใจ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นการสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

นางระลึกถึงชาติที่สิบไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงเห็นขั้นตอนทั้งหมดในการระลึกชาติของหวังเป่าเล่อได้อย่างชัดเจน นางไม่ได้เห็นภาพอดีตชาติของอีกฝ่าย เพียงแต่เห็นหวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ทั้งยังเกิดความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของร่องรอยพลังงานบนร่างกายของเขา!

แรกเริ่ม ร่องรอยพลังงานบนร่างกายของหวังเป่าเล่อเบาบางจนแทบไม่มี กระทั่งตอนนี้สวี่อินหลิงรู้สึกว่าตนเองอาจจะตาฝาดไป เพราะนางรู้สึกว่าคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นศพ

การใช้คำว่าศพมาบรรยายเกรงว่าอาจจะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก ควรใช้ว่าเป็นวัตถุไร้ชีวิตจึงจะเหมาะสมที่สุด

ในสายตาของนาง หวังเป่าเล่อในตอนนั้น ราวกับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นแค่เพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง ความรู้สึกนี้ชัดเจนมาก แม้แต่สวี่อินหลิงก็ตกใจเช่นกัน

นางไม่รู้ว่าชาติที่สิบของหวังเป่าเล่อคืออะไร ดังนั้นจึงเกิดการคาดเดาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าคาดเดาได้ไม่นาน ดูเหมือนความผันผวนบนร่างกายของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิดั่งวัตถุไร้ชีวิต เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่อีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงนี้แม้จะเล็กน้อย แต่กลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับวัตถุไร้ชีวิตที่ก่อเกิดแสงรัศมี ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้าจนแสบตา ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงนี้ ไอหมอกรอบด้านก็เริ่มเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ประหนึ่งเสียงกัมปนาทของอสนีบาตดังสนั่นหวั่นไหว และได้เริ่มเกิดการหมุนวนอย่างแท้จริง หากสังเกตอย่างถี่ถ้วน ก็จะพบว่าการหมุนวนของหมอกนี้ได้ยึดร่างของหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง

ราวกับว่ารัศมีที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ส่งผลกระทบต่อหมอกทั้งหมดที่อยู่บริเวณโดยรอบ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อดาวชะตาด้วย ส่วนผลกระทบนี้กินพื้นที่เพียงใด สวี่อินหลิงเองก็ไม่อาจทราบได้ ทว่านางกลับรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน!

ภายในใจของสวี่อินหลิงยามนี้ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นตื่นตะลึง นางไม่ทราบว่าอดีตชาติที่ระลึกถึงเป็นอย่างไร ถึงได้สร้างปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจถึงเพียงนี้ ความตกตะลึงใช้เวลาเพียงไม่นาน จากนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกได้ถึงคลื่นที่พัดโหมกระหน่ำอยู่ภายในใจ ความคิดยกระดับขึ้นจนเข้าสู่ความอัศจรรย์ใจ

เนื่องจาก…แสงจากร่างกายของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ยังคงเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินและหมอกยังคงเกิดการสั่นสะเทือน สีหน้าของหวังเป่าเล่อเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ราวกับกำลังแบกรับความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจจินตนาการได้ ร่างกายของเขากำลังสั่นเทิ้ม

นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จุดสำคัญคือหลังจากที่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว สวี่อินหลิงได้เห็นกับตาตัวเองว่าเกิดรอยแยกหลายเส้น มันเกิดขึ้นบนร่างกายของหวังเป่าเล่อ…ราวกับเป็นเส้นใยแมงมุมก็ไม่ปาน

ประหนึ่ง…ร่างกายของเขากำลังถูกพลังที่มองไม่เห็นกดทับและกำลังจะถูกบดขยี้!

วินาทีที่เกิดรอยร้าวนี้ แสงบนร่างกายของหวังเป่าเล่อ ก็ยิ่งสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างกายของเขาดูเหมือนเป็นแหล่งกำเนิดแสงขนาดมหึมา ตอนที่สวี่อินหลิงจ้องมองก็รู้สึกแสบตาเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งนี้ทำให้ความตกตะลึงที่อยู่ภายในใจเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ระยะเวลาไม่นาน รอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ตามมาติดๆ ด้วยแสงสว่างที่แสบตามากขึ้น บนร่างกายของหวังเป่าเล่อเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่แล้ว!

วินาทีนั้น…ทำให้สวี่อินหลิงตกตะลึงอีกครั้ง ร่องรอยพลังงานของร่างกายที่กำลังสั่นสะท้าน ซึมเข้าสู่ด้านในร่างกายของหวังเป่าเล่อ ครั้นระเบิดออก สมองของสวี่อินหลิงก็กลายเป็นความว่างเปล่าโดยพลัน ราวกับได้สูญเสียสติทั้งหมดที่มี เหลือเพียงร่องรอยพลังที่ทำให้นางกลายเป็นความว่างเปล่าไร้ตัวตน!

ท่ามกลางความว่างเปล่านี้ สัญชาตญาณของนางสั่งให้นางค้อมกายคารวะ ราวกับมนุษย์ธรรมดาได้พบกับเทพอมตะ!

โชคดีที่ร่องรอยพลังนี้ใช้เวลาไม่นาน มันดำรงอยู่เพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนจะค่อยๆ หดขนาดกลับเข้าไปราวกับเก็บตัวเอง และทั้งหมดก็กลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อกลับมามีชีวิตชีวา รอยแตกทั้งหมดก็มลายหายไปเช่นเดียวกัน.ไอลีนโนเวล.

สวี่อินหลิงค่อยๆ ตื่นขึ้นจากสภาวะวิญญาณว่างเปล่า ทว่าในตอนที่ตื่น นางกลับรู้สึกชาไปทั่วหนังศีรษะ ราวกับว่ากำลังจะระเบิดออก ร่างสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุมได้ ครั้นก้มหน้าลงก็ได้พบว่า ตนเองกำลังคุกเข่าคารวะอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด

“นะ…นี่…” สวี่อินหลิงตัวสั่นระริก สาเหตุและคำตอบของเรื่องนี้ นางไม่กล้าแม้แต่จะไตร่ตรอง บอกตนเองไปว่า ขณะนั้นทั้งหมดที่นางเห็น ต้องฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเป็นแน่

เป็นเพราะนางเข้าใจอย่างแจ่มชัด ดาวเคราะห์เต๋าของนางอยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก ต่อให้เป็นดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ หากพูดตามตำแหน่งแล้ว ก็คงห่างจากตนเองไม่มากนัก ทว่าตำแหน่งดาวเคราะห์เต๋าในระดับนี้ เมื่อเทียบกับร่องรอยพลังที่อยู่บนตัวของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ ยังห่างไกลจากกันอยู่มากโข ราวกับเมื่อครู่ร่างกายทั้งหมดของหวังเป่าเล่อได้หลอมรวมปณิธานของทั้งโลกไว้ด้วยกัน

ความรู้สึกนี้ประหลาดมาก เป็นความรู้สึกจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกตกใจไปจนถึงความหวาดกลัว คล้ายกับมองเห็น…ใจกลางของจักรวาล!

“ไม่กล้าคิด ไม่อาจคิดได้…” ระหว่างที่สวี่อินหลิงพึมพำ ร่างกายที่สั่นเทิ้มก็รุนแรงมากขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า และในเวลานี้เอง…

หวังเป่าเล่อ ก็ตื่นแล้ว

ความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าจักรวาลเกิดรอยแตก ราวกับความว่างเปล่าที่คลุมเครือ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ในยามนั้น…สติของเขากลับคืนมา และได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

นัยน์ตาแฝงด้วยความมึนงง ราวกับมองไม่เห็นไอหมอกที่อยู่ตรงหน้า และไม่เห็นสวี่อินหลิงที่กำลังระมัดระวังตัว เขามองเห็น…ซุนเต๋อนักเล่าเรื่อง รวมถึง…ความมืดมิดที่แสนว่างเปล่าไร้จุดสิ้นสุด

มันไม่ใช่มุมมองการมองเห็นของซุนเต๋อ แต่เป็นมุมมองการมองเห็นของแผ่นไม้สีดำคู่ชีวิตที่อยู่ในมือของเขา เขาเห็นฝ่ามือที่กำลังจับตัวเขาไว้ มองเห็นซุนเต๋อที่แสดงสีหน้าอย่างมีชัย เขาเห็นตนเองถูกยกขึ้นมาและถูกเคาะลงบนโต๊ะ จนเกิดเสียงดังก้องกังวาน

เสียงนี้ ควบคู่กับเรื่องเล่าทั้งหมดของหลัวและกู่

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้พบว่าซุนเต๋อถูกตีจนขาหักท่ามกลางพายุฝน กำลังร้องไห้ขณะดิ้นรนท่ามกลางสายฝน ทั้งยังได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญนั้น

ซุนเต๋อในปีนั้น กลายเป็นคนบ้าที่จมดิ่งอยู่ในเรื่องเล่า รวมถึงหน้าตาครั้งสุดท้าย…

จนกระทั่งสองพ่อลูกคู่นั้นปรากฏตัว จนกระทั่งกำลังจะเล่าเรื่องราวในช่วงหลัง จนกระทั่ง…ร่างกายถูกบดขยี้ ได้เห็นว่า…เศษวิญญาณของกู่ท้ายที่สุดสลายหายไป

วินาทีที่ซุนเต๋อมลายหายไป ตนเองก็แตกสลายเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับการถ่ายทอดบางอย่าง…หวังเป่าเล่อเงียบขรึม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เกิดเสียงถอนหายใจลากยาว การมองเห็นของเขากลับมาชัดเจนทีละน้อย

“สิ่งที่ถ่ายทอด คือมัวเมาที่น่าเสียดายและไม่เต็มใจที่กู่ไม่ได้กล่าว…มารมัวเมากับการเกิดใหม่น้อยลง ชะตากรรมของปีศาจถูกปิดผนึกระหว่างสวรรค์เทือกเขาและท้องทะเล ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มความคิดเรื่องนิรันดร์ ครึ่งเทพครึ่งอมตะกลับตาลปัตร” หวังเป่าเล่อกล่าวพึมพำ ตอนที่เขากลับมาได้สติแจ่มชัด จึงตระหนักได้ว่าชาติที่สิบของตน ไม่ใช่ซุนเต๋อนักเล่าเรื่อง แต่เป็นแผ่นไม้สีดำที่อยู่ในมือของซุนเต๋อต่างหากเล่า

ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วว่า โลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะเป็นหนังสือก็ดี บทเพลงกล่อมเด็กก็ดี ในความเป็นจริง…ทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ด้านในศิลา

เขาตระหนักได้ว่า ไม่รู้สิ้นของที่นี่ ไม่ใช่ไม่รู้สิ้นอย่างแท้จริง

แม้ว่าจะรับรู้ความจริงมามากมาย แต่ก็ยังมีความสงสัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกมาก ยกตัวอย่างเช่นไม่รู้สิ้นที่แท้จริงอยู่ที่ใด และการมีส่วนร่วมของหวังอีอีและภพชาติหลังจากนี้ของตนเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชาตินี้หรือไม่

และยังมี…ตะขาบสีแดงฉานตัวนั้น มันคืออะไร…

รวมถึง…อนาคตของตนเอง

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบขรึม ภายในใจรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ด้านหนึ่งตนเองก็พอจะทราบเกี่ยวกับคำตอบของโลกแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะชาติก่อนของตนเองด้วย

“แผ่นไม้สีดำงั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงทุ้มต่ำ เขาเยาะเย้ยตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เพราะรู้สึกว่าบางทีอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ วิญญาณวุธที่ถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่บุตรแห่งโลกที่เคยคิดไว้

“แล้วจะยังไงล่ะ!” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏแสงสว่าง เขาไม่สนใจอดีตชาติ เขารู้เพียงแค่ว่าชาตินี้ เขา…ชื่อหวังเป่าเล่อ!

สติสัมปชัญญะนี้ปรากฏอยู่ในใจเขาชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของหวังเป่าเล่อปรากฏแสงสว่างจ้า ราวกับว่าการบ่มเพาะของเขาสอดคล้องกับเจตจำนง ภายในร่างกายเกิดเสียงก้องกังวาน ของขวัญที่ได้รับจากการระลึกถึงอดีตชาติพลันระเบิดออก!

แต่ยามที่การบ่มเพาะระเบิดออก จู่ๆ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อ!

“ไม่ใช่สิ!!!”

“เหตุใดข้าถึงคิดไม่ออก ข้าปรากฏตัวอยู่ในมือของซุนเต๋อตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท