สืออีเหนียงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังเรียกสติกลับคืนมาไม่ได้
‘ที่นี่คือจวนหย่งผิงโหว เจ้าเป็นภรรยาของข้า สวีลิ่งอี๋ผู้นี้’
ในหูของนางยังคงก้องไปด้วยคำพูดประโยคนี้
เหตุการณ์มากมายที่เคยถูกละเลยและไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสิ่งของที่ตนนั้นเลือกที่จะลืม ทุกๆ อย่างค่อยๆ หลั่งไหลออกมาจากห้วงความคิดอย่างช้าๆ
ในใจของนางเป็นเหมือนดั่งน้ำที่กำลังเดือดพล่าน ฟองอากาศค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากน้ำ ไอร้อนระอุระเหยไปทั่ว ประเดี๋ยวก็รู้สึกเปรี้ยว ประเดี๋ยวก็รู้สึกฝาด ประเดี๋ยวก็รู้สึกขม…ผสมปนเปไปหมด พลอยทำให้นางไม่สามารถรับรู้รสชาติใดๆ ได้เลย
เรื่องบางเรื่อง นางก็ไม่เคยนึกเลยว่าจะได้รับมัน และเรื่องบางเรื่อง นางก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้น
แต่ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างกลับดูเหมือนว่ากำลังบ่งบอกเป็นเค้าลางอย่างไรอย่างนั้น
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้นะ
นางซบหน้าลงบนไหล่ของสวีลิ่งอี๋ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี!
สวีลิ่งอี๋เอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นหลังที่สวมชุดคลุมชั้นในอยู่ ก็รู้สึกได้ว่ามันชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อบางๆ
“เป็นอะไรไป” เมื่อเห็นว่าร่างกายของนางค่อนข้างเกร็ง เขาจึงถามขึ้นเสียงเบาว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยกล้าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจขนาดนี้
“เปล่าเจ้าค่ะ ไม่เป็นอะไร!” สืออีเหนียงไม่รู้ว่าจะตอบสวีลิ่งอี๋อย่างไรดี เพราะในหัวของนางกำลังสับสนและมึนงง
แต่สวีลิ่งอี๋ไม่เชื่อ
สืออีเหนียงเป็นคนที่มีนิสัยใจคอโอนอ่อนผ่อนตามมาโดยตลอด บางครั้งได้รับบาดเจ็บก็ยังไม่พูดออกมาเสียด้วยซ้ำ
เขาจึงสังเกตนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่สืออีเหนียงกลับยังคงปฏิเสธเหมือนเช่นเคย “ข้าเพียงแค่รู้สึกค่อนข้างเหนื่อย”
สวีลิ่งอี๋จ้องมองใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจ
สืออีเหนียงรู้ดีว่าตนนั้นเป็นอะไร!
เหตุใดสวีลิ่งอี๋จะไม่รู้ความคิดของนางเล่า ตั้งแต่ออกพระราชกฤษฎีกาจนถึงเรื่องหยางอี๋เหนียงแต่งเข้าจวน ความกังวลใจที่อยู่ภายใต้สีหน้าที่สุขุมและสงบเสงี่ยมนั่น ความลังเลและความร้อนใจ เขาเห็นมันหมดทุกอย่าง แต่เขาไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้อีกแล้ว พระราชกฤษฎีกาก็รับมาแล้ว วันแต่งก็ถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อย เวลานี้จะพูดอะไรก็สายเกินไปเสียแล้ว จึงทำได้เพียงแค่ใช้วิธีนี้ในการสื่อสารและอธิบายความคิดของเขา
ยังดีที่สืออีเหนียงไม่ได้เป็นหญิงที่รักตัวกลัวตายและไม่ได้เป็นคนหัวรั้นอย่างไม่มีเหตุผล จึงสามารถเข้าใจวัตถุประสงค์และความตั้งใจของเขาได้อย่างรวดเร็ว!
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจ จากนั้นก็โน้มตัวไปหอมจอนผมของสืออีเหนียงเบาๆ เบาจนตัวเขาเองแทบจะรู้สึกไม่ได้เสียด้วยซ้ำ “อยากดื่มน้ำหรือไม่”
สืออีเหนียงเหมือนกับดอกดารารัตน์ก็ไม่ปาน ที่ดูเหมือนสามารถปลูกในหม้อดินได้ง่ายๆ แต่ความเป็นจริงกลับต้องมีทรายที่ดี น้ำที่ดี แสงแดดที่ดีและอากาศที่บริสุทธิ์ ถึงจะงดงามหวานหยดย้อย แต่ครั้นจะนำมาปลูกกลับไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
หลังเสร็จกิจแล้ว นางมักจะชอบดื่มน้ำอุ่นเสมอ
สืออีเหนียงพยักหน้าตอบ หลังจากนั้นก็รับน้ำที่สวีลิ่งอี๋รินมาให้ด้วยอาการใจลอย เมื่อดื่มเสร็จ อารมณ์จิตใจของนางจึงค่อยสงบลงบ้าง
หากเป็นเช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปเล่า เรื่องบางเรื่องหากไม่ได้พูดออกมาให้ชัดเจน ก็จะยังสามารถแสร้งเลอะเลือนต่อไปได้
แต่สุดท้ายก็เหมือนกับตนไปแอบดูอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า หัวใจของสืออีเหนียงไม่ได้สงบดังเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป การนั่งคร่อมกึ่งคุกเข่าอยู่บนตักของสวีลิ่งอี๋อย่างนี้ สืออีเหนียงก็เริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำ “พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปปรึกษาหารือกับอาจารย์เจี่ยนเรื่องผ้าปัก ข้าขอตัวเข้านอนก่อน!”
แต่กลับถูกแขนของสวีลิ่งอี๋กอดรัดไว้แน่น “เรามาคุยกันก่อน!”
คุยกันท่านี้…
สืออีเหนียงบิดตัวอย่างไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรนัก
แต่กลับทำให้สวีลิ่งอี๋ที่ได้ปลดปล่อยความต้องการไปแล้วในตอนแรก เริ่มตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง
สืออีเหนียงเอียงอายเป็นอย่างมาก แต่สวีลิ่งอี๋กลับกำลังรู้สึกแปลกใจ
ที่ผ่านมาเขาสามารถควบคุมตัวเองได้เสมอ
ไม่เคยเลยที่จะลังเลแม้แต่ครั้งเดียว
สืออีเหนียงอายุยังน้อย…ก็ไม่ถือว่าน้อยแล้วนี่นา…ปีที่ผ่านมาก็เข้าพิธีขึ้นปิ่นปักผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว…เด็กสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนาง ส่วนใหญ่กลายเป็นแม่คนไปหมดแล้ว…
ยิ่งเมื่อเขานึกถึงตอนที่สืออีเหนียงที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามภายใต้ร่างกายของเขาราวกับดอกไม้ก็ไม่ปาน สวีลิ่งอี๋จึงทำตามสัญชาตญาณของตนอีกครั้ง กระซิบข้างหูเรียกนางอย่างแผ่วเบาว่า “มั่วเหยียน…”
*****
ป้าซ่งกำลังสั่งให้สาวใช้น้อยปูผ้าห่มและที่นอนสะอาดผืนใหม่ลงบนเตียงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ละทิ้งความเคร่งขรึมอย่างเช่นเคย สืออีเหนียงหันมาคุยกับหู่พั่วที่มาช่วยปรนนิบัติสืออีเหนียงล้างหน้าเปลี่ยนชุด ไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวในห้อง “…เช่นนี้ก็หมายความว่าเริ่มกินจุแล้วอย่างนั้นหรือ”
ปีที่แล้วปินจวี๋ตั้งครรภ์ บ้านสกุลว่านดีอกดีใจเป็นอย่างมาก รีบรับตัวปินจวี๋ไปดูแลที่ชนบท เพราะสามเดือนแรกไม่สะดวกจะพบปะผู้คน สืออีเหนียงจึงให้บ่าวรับใช้ส่งของกินไปให้ปินจวี๋ทานแทน
“ไม่ใช่เพียงแค่นั้นนะเจ้าคะ” หู่พั่วช่วยสืออีเหนียงปักปิ่นทองและที่ทัดผมทรงน้ำเต้าหยกเขียว “เห็นบอกว่าทานข้าวได้วันละสี่มื้อ จึงพลอยทำให้แม่สามีต้องก่อไฟตั้งวันละสี่รอบ เวลาที่พี่เขยว่านว่างจากงานก็มักจะกลับบ้านเสมอ” ขณะที่พูดอยู่นั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “เกิดเด็กในท้องเป็นเด็กผู้หญิงขึ้นมา…”
“เจ้าลองนึกดูว่าอักษรที่แปลว่า ‘ดี’ มันเขียนอย่างไร ส่วนประกอบของอักษรเริ่มจากคำว่าสตรีก่อนแล้วจึงตามมาด้วยคำว่าบุตรชาย” สืออีเหนียงคุยเล่นกับนาง “ให้กำเนิดบุตรสาวก่อนถือเป็นเรื่องที่ดี...”
สืออีเหนียงแอบหยอกล้อสำเนียงที่ติดตลกของหู่พั่วนิดหน่อย ดอกชากุหลาบสีแดงสดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง สาวใช้และป้ารับใช้ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตียง กลายเป็นฉากที่อบอุ่นและเปี่ยมล้นไปด้วยบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา พลอยทำให้สวีลิ่งอี๋ที่พึ่งฝึกฝนหมัดมวยเสร็จและกำลังจะเดินเข้าประตูหยุดชะงักไปชั่วครู่
สืออีเหนียงอารมณ์ดีขึ้น บรรยากาศในจวนก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย…
สีหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจขึ้นมา จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปในห้องชั้นใน
*****
“พักที่เรือนหลักอีกแล้วหรือ”
เหวินอี๋เหนียงที่พึ่งจะตื่นนอนจ้องมองชิวหงด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
ชิวหงพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับตอบกลับเสียงเบาว่า “บ่าวยังเห็นป้าซ่งพาสาวใช้น้อยที่กำลังหอบเอาผ้าปูและผ้านวมออกไปที่ห้องซักแป้งด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วสีหน้าก็เริ่มไม่ดีเท่าไรนัก
ชิวหงนึกถึงเรื่องที่สืออีเหนียงมอบหมายหยางอี๋เหนียงให้เหวินอี๋เหนียงดูแล จึงพูดขึ้นด้วยความกังวลใจว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็หันไปถลึงตาใส่ชิวหง “หากข้ารู้ ข้าจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรือ แม้แต่นอนหลับก็ยังหลับเคยไม่สนิท”
นางพึ่งจะพูดจบ อวี้เอ๋อร์ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาทันทีทันใด “อี๋เหนียง อี๋เหนียง แย่แล้วเจ้าค่ะ หยางอี๋เหนียงมาคารวะท่านเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงและชิวหงหันมาสบตากันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็รีบลุกขึ้นเปลี่ยนชุด และได้หันไปสั่งกับอวี้เอ๋อร์ว่า “เชิญหยางอี๋เหนียงไปนั่งรอที่ห้องโถงก่อน ข้าจะออกไปประเดี๋ยวนี้!”
อวี้เอ๋อร์ขานรับ จากนั้นเหวินอี๋เหนียงก็หันไปเร่งชิวหงว่า “เร็วเข้า รีบช่วยข้าจัดทรงผมก่อน” แล้วจึงบ่นขึ้นพึมพำว่า “ทำไมถึงไร้เดียงสาขนาดนี้ มาจับจ้องอนุที่ไม่ได้ถูกโปรดปรานแล้วเช่นข้าทำไมกัน”
*****
หากเปรียบเทียบความเกียจคร้านของเหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงกลับตื่นเช้ากว่านางมาก เพราะมีความเคยชินจากการที่นางเคยเป็นสาวใช้มาก่อน
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ได้ไปจุดธูปต่อเบื้องหน้าพระโพธิสัตว์ก่อน จากนั้นก็ค่อยกลับไปนั่งที่ห้องชั้นใน แล้วจึงค่อยทานของว่างที่ชุ่ยเอ๋อร์จัดเตรียมไว้ให้
นี่ก็เป็นความเคยชินที่ติดมาจากการที่เคยเป็นสาวใช้ เช้าตรู่มาก็ต้องไปปรนนิบัติดูแลผู้อื่น ใครจะไปรู้ว่าจะถูกใช้ให้ไปทำอะไรบ้าง จึงต้องทานของว่างให้อยู่ท้องก่อน เวลาที่ทานอาหารเช้าไม่ทันก็จะได้ไม่หิวจนหน้ามืด
จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นสิ่งที่ปี้อวี้เคยสอนนาง
เดิมทีฉินอี๋เหนียงเป็นคนที่ชอบยิ้มบางๆ ท่าทีค่อนข้างเชื่องช้า
จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นไปล้างไม้ล้างมือ แล้วจึงไปยังห้องหน่วนฝังที่ตั้งแผ่นป้ายบรรพบุรุษและได้จุดธูปไปสามดอก
เมื่อออกมาแล้ว ชุ่ยเอ๋อร์ก็ได้นำเหรียญทองแดงให้สาวใช้น้อยที่มาแจ้งข่าวไปจำนวนหนึ่ง รอให้สาวใช้น้อยกล่าวขอบคุณด้วยความดีอกดีใจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินอี๋เหนียงก็ได้ถามขึ้นว่า “ว่าอย่างไรบ้าง”
“พักที่เรือนหลักเจ้าค่ะ!” ชุ่ยเอ๋อร์พูดขึ้นเสียงเบาพลางสังเกตสีหน้าของฉินอี๋เหนียง
สีหน้าของฉินอี๋เหนียงเปลี่ยนไปทันทีตามที่คิดไว้
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้หมุนตัวกลับไปยังห้องหน่วนฝัง
หลังจากที่จุดธูปสามดอกไปเรียบร้อยแล้วก็พูดขึ้นว่า “เจ้าหาคนส่งจดหมายให้ไต้ซือจี้หนิง บอกว่าข้าจะทำพิธีกรรมให้คุณชายน้อยเสียหน่อย”
ชุ่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ จึงเตือนนางว่า “อี๋เหนียง ใกล้จะถึงวันแปดค่ำเดือนสี่แล้วนะเจ้าคะ…”
“ให้เจ้าไป เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด “เจ้ากลายเป็นคนพูดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!”
แต่แล้วจู่ๆ ลานสวนที่อยู่ทางด้านหน้าของนางก็มีเสียงของแตกดังขึ้น แต่เพราะห่างเกินไป ไม่ว่าจะเป็นฉินอี๋เหนียงหรือชุ่ยเอ๋อร์ต่างก็ไม่ได้ยินกันทั้งคู่
*****
หลังเวลาอาหารมื้อเช้าผ่านไป อี๋เหนียงทั้งหลายก็พากันเรียงแถวเข้ามาคารวะสืออีเหนียง
คนที่เข้ามาคนแรกคือเฉียวเหลียนฝัง จากนั้นก็ตามมาด้วยเหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียง
วันนี้เฉียวเหลียนฝังสวมเสื้ออ่าวซ้อนทับด้วยเสื้อกั๊กลายแจกันสีฟ้า จัดผมทรงมวยตกหลังม้า ทัดผมด้วยดอกแปะเจียกสีทองขนาดเท่าถ้วยสุรา ในมือของนางยังถือถาดแก้วไว้ด้วย ในถาดมีดอกไม้สีแดงสามดอก ดอกไม้สีชมพูหนึ่งดอกและดอกไม้สีม่วงอีกหนึ่งดอก
“พี่หญิง” นางเดินเข้ามาย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เพิ่งจะบานเมื่อเช้านี้ ข้าเลยเลือกดอกที่บานและสวยที่สุดมาจำนวนหนึ่งให้พี่หญิงทัดผม” พูดจบก็วางถาดแก้วลงบนโต๊ะบนเตียงเตา
ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูของดอกแปะเจียก แต่จวนสกุลสวีมีห้องหน่วนฝัง จึงมักจะมีดอกไม้ที่บานก่อนฤดูกาลราวหนึ่งถึงสองเดือนอยู่เสมอ
หลังจากที่เหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงทำความเคารพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พากันแบ่งแยกซ้ายขวายืนเรียงกันตามตำแหน่ง โดยเฉพาะหยางอี๋เหนียงที่ยืนอยู่หลังสุด นางไม่แม้แต่จะเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ที่นั่งอยู่บนเตียงเตาตรงข้ามกับสืออีเหนียงเสียด้วยซ้ำ
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับหยิบดอกสีแดงสดขึ้นมาหนึ่งดอก
กลีบดอกสลับซับซ้อน สีดอกสดใสสวยงาม “งดงามมาก”
เฉียวเหลียนฝังยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ให้ข้าช่วยพี่หญิงทัดนะเจ้าคะ!”
ปกติแล้วสืออีเหนียงไม่ได้ทัดดอกไม้เป็นประจำ จึงปฏิเสธอย่างนุ่มนวลไปว่า “รอข้าจัดผมทรงมวยตกหลังม้าแล้วค่อยทัดดอกไม้ก็ยังไม่สาย” จากนั้นก็ได้หันไปสั่งกับหู่พั่วว่า “ให้เหล่าอี๋เหนียงแต่ละคนเลือกดอกที่ตัวเองชอบก็แล้วกัน!”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “น้ำใจฮูหยินหาได้ยากยิ่ง…ข้าเองก็ขออาศัยบารมีด้วยคน คนปกติทั่วไปอย่าว่าแต่จะทัดดอกแปะเจียกเลย แม้แต่ดอกไม้ที่กลีบร่วงจนเหลือแต่ตอก็ยังไม่ได้เห็นเสียด้วยซ้ำ!” พูดจบ นางก็เลือกเอาดอกสีชมพูทัดลงบนผม
ฉินอี๋เหนียงเห็นแล้วก็เข้าไปเลือกดอกสีม่วง
ตอนนี้ยังเหลือดอกสีแดงสดอีกสองดอก
หยางอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับหยิบมาหนึ่งดอก “หากไม่เคยได้ฟังที่ฮูหยินพูด ข้ายังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการเลือกดอกทัดผมก็ต้องพิถีพิถันเช่นกัน ยังดีที่ข้าไม่ได้ผลีผลามทัดผมซี้ซั้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงจะแลดูน่าขำขันไม่ใช่น้อย ข้าเคยได้ยินมาว่าดอกโบตั๋นเป็นราชาแห่งหมู่มวลดอกไม้ ส่วนดอกแปะเจียกคือผู้ดีแห่งมวลดอกไม้ อีกทั้งยังเบ่งบานในฤดูที่ดอกเถาฮวาและดอกอิงเถาบาน หากไม่ทัดสักดอกก็คงน่าเสียดายเกินไป แต่ครั้นจะทัดก็จะเป็นการเสียมารยาทต่อฮูหยิน” พูดจบนางก็ย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง “ฮูหยิน หากท่านเห็นด้วย ข้าอยากจะมอบดอกไม้ดอกนี้ให้กับคุณหนูใหญ่ของเราเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝังเมื่อได้ยินแล้วต่างก็พากันอึ้งไปชั่วขณะ แม้แต่สวีลิ่งอี๋เองก็ยังเงยหน้าขึ้นมามองนางเสียด้วยซ้ำ
สืออีเหนียงยกฝาถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบไปหนึ่งอึก จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยากยิ่งนักที่จะได้รับน้ำใจจากเจ้า เช่นนั้นก็มอบให้คุณหนูใหญ่เถิด”
หยางอี๋เหนียงยิ้มพรายพร้อมกับนำดอกไม้วางลงไปในถาดแก้วดังเดิม
สวีซื่อเจี้ยและสวีซื่อจุนก็เข้ามาคารวะพอดี บรรยากาศในเรือนจึงคึกคักขึ้นมา บทสนทนานี้จึงถูกตัดไปโดยปริยาย
รอกระทั่งเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามาแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ให้เหล่าบรรดาอี๋เหนียงพากันแยกย้ายกลับเรือนไป จากนั้นก็ได้สั่งให้ลี่ว์อวิ๋นให้ไปเชิญอาจารย์เจี่ยนมาร่วมทานอาหารเช้าพร้อมกับสวีลิ่งอี๋และเด็กๆ แล้วจึงค่อยพากันไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง เมื่อเห็นทุกคนเข้ามา ก็วางพู่กันลง
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยที่คารวะเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันไปเขย่งเท้าดูด้วยความสงสัย จากนั้นก็พากันอ่านอักษรทีละคำ “เก๋อจิน อวี้ป่าน” ส่วนอีกคนก็เบิกตากว้างพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “ท่านย่า ท่านเขียนหนังสือเป็นด้วยหรือขอรับ” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังด้วยความตลกขบขัน จากนั้นก็ได้สั่งให้ป้าตู้มอบกุ้งกรอบให้ทั้งคู่คนละหนึ่งกล่อง