ถนนด้านหน้าจวนองค์หญิง คนเดินทางหากเดินอ้อมได้ย่อมเดินอ้อม ไม่อาจเดินอ้อมได้ก็ก้มหน้าเร่งฝีเท้าวิ่งผ่านอย่างรวดเร็ว ราวกับหน้าประตูมีบ่าวรับใช้ดุร้าย ภานในประตูมีสุนัขดุร้าย
แต่อันที่จริงประตูปิดสนิท ไม่มีบ่าวรับใช้เฝ้าประตู อีกทั้งไม่มีเสียงเห่าของสุนัข
แต่ว่าหน้าประตูยังคงไร้คน รถม้าสองคันเคลื่อนที่มาจากทางไกลหยุดลง หลี่เหลียนและหลิวเวยถูกสาวรับใช้พยุงลงจากรถ
สาวรับใช้คนหนึ่งเดินมาที่หน้าประตู เรียกขานชื่อของคนหนึ่ง…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การเดินทางมาครั้งแรก จำได้แม้แต่ชื่อของคนเฝ้าประตู
ประตูเปิดออกตามเสียงเรียก บ่าวรับใช้คนหนึ่งเรียกขานพี่สาว จากนั้นหันไปสั่งคนด้านข้าง “รีบไปทูลองค์หญิง คุณหนูหลี่ คุณหนูหลิวมา”
คนข้างตัวมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง พูดพึมพำเสียงเบา “คนที่มองไม่เห็นเหล่านั้นเข้าไปทูลแล้วใช่หรือไม่”
เฉินตันจูเข้าพักในฐานะองค์หญิง นอกจากสาวรับใช้บนภูเขาดอกท้อแล้ว ยังมีองครักษ์หลวงติดตามสิบคน องครักษ์หลวงนี้เดิมทีแม่ทัพหน้ากากเหล็กมอบให้คุณหนูตันจู หลังจากแม่ทัพหน้ากากเหล็กเสียชีวิต ฮ่องเต้ก็ไม่ได้เรียกคืน ให้องครักษ์หลวงทั้งสิบคนนี้เป็นองครักษ์ของคุณหนูตันจูต่อไป
คนเหล่านี้มีความสามารถมาก วันปกติไม่อาจเห็นพวกเขาได้ในจวน แต่ก่อนหน้านี้มีคนจำนวนไม่น้อยมาแอบส่อง ไม่ว่าจะเงียบเชียบเพียงใด เพียงแค่เข้าใกล้ก็ถูกก้อนหินหรือท่อนไม้ที่ลอยมาโจมตีเข้า เบาอาจแค่หัวแตกเลือดออก สาหัสอาจแขนขาหัก หลังจากนั้นไม่กี่ครั้งก็ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้อีก
ด้านนอกประตูมีเรื่องใดเกิดขึ้น มีผู้ใดมา ตอนที่พวกเขาเข้าไปทูล องค์หญิงตันจูราวกับรับรู้อยู่ก่อนแล้ว
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่คนเฝ้าประตูยังคงเข้าไปทูลรายงาน หลิวเวยและหลี่เหลียนก็เดินเข้ามา
จู๋หลินที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่บนหลังคา สีหน้าเรียบเฉยกว่าแต่ก่อน เขาได้ยินเสียงพึมพำของคนเฝ้าประตู…โง่เขลาเสียจริง คุณหนูหลี่เหลียนกับคุณหนูหลิวเวยมา ไม่จำเป็นต้องรายงาน คนที่ต้องรายงานไม่อาจเข้าใกล้ประตูใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
แต่ว่าเวลานี้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้จวนองค์หญิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีเจตนาไม่ดีหรือผู้ที่มีเจตนาคบหา จวนองค์หญิงช่างเงียบเหงาเสียจริง
ต่อจากนี้จะเป็นเช่นนี้เสมอหรือ จู๋หลินทำสีหน้าสับสน คนหนึ่งที่ถูกทุกคนรังเกียจและทอดทิ้งสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหรือ เขาควรจะเกลี้ยกล่อมคุณหนูตันจูบ้างใช่หรือไม่
เขาเอื้อมมือไปกุมหน้าอก บริเวณนั้นยังยัดเต็มไปด้วยกระดาษจดหมาย แต่ก่อนคุณหนูตันจูก่อเรื่อง เขาจะเขียนจดหมายฟ้องท่านแม่ทัพ ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะไม่สนใจ ตอบเพียงรู้แล้วประโยคเดียว
ไม่มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กแล้ว ไม่มีคนตอบว่ารู้แล้วอีกแล้ว
เวลานี้เขาถึงได้รู้ว่า แม้จะเป็นแค่คำสั้นๆ แต่ล้วนทำให้คนวางใจอย่างมาก
จู๋หลินสูดลมหายใจเข้า แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า บนหัวมีนกที่โดดเดี่ยวตัวหนึ่งบินผ่าน…
ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว เฟิงหลินและคนอื่นได้รับภารกิจใหม่จากฮ่องเต้ ไม่รู้จากไปที่ใดแล้ว
ต่อจากนี้ จะทำอย่างไร ก่อนสิ้นชีพท่านแม่ทัพไม่มีรับสั่งกับเขา เขาควรจะคุ้มครองคุณหนูตันจูให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิตได้อย่างไร
จู๋หลินเบนสายตามองไปยังด้านนอกจวน มีเพียงผู้ใดมารังแกคุณหนูตันจูก็ตีผู้นั้น จนกระทั่งสุดท้ายฮ่องเต้มา…เขาจะรับโทษร่วมกับคุณหนูตันจู
ฤดูร้อนยังไม่ผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึง องครักษ์หนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังคาสูงสีหน้าเศร้าโศก
หลิวเวยและหลี่เหลียนเดินเข้ามาในจวน ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงตะโกนมาแต่ไกล เฉินตันจูในลานสวมชุดกระโปรงรัดอกกับเสื้อคลุมตัวเล็ก กำลังเล่นหมากกระดานกับอาเถียนและสาวรับใช้อื่น
อาเถียนแพ้จนตาแดง นางถลกแขนเสื้อ ตะโกนใส่สาวรับใช้ฝั่งตรงข้าม เหล่าสาวรับใช้รอบด้านต่างหัวเราะตาม
“พวกเจ้าสบายอารมณ์กันเสียจริง” หลี่เหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินตันจูให้สาวรับใช้ของหลี่เหลียนกับหลิวเวยมาเล่นด้วย นางพาทั้งสองคนนั่งอยู่ใต้ทางเดิน
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร” เฉินตันจูถาม “ข้าจำได้ว่าเวลานี้เมื่อปีก่อน ภายในเมืองมีงานเลี้ยงชมดอกบัวที่กำลังคึกคัก พวกเจ้าคงไม่ได้ไม่ไปงานเลี้ยงเพราะข้าใช่หรือไม่”
เรื่องงานเลี้ยงตระกูลกู้ หลี่เหลียนและหลิวเวยย่อมรู้ เมื่อเห็นนางพูดออกมาเอง ทั้งสองคนก็ไม่หลีกเลี่ยงเรื่องนี้อีกต่อไป
“คนพวกนี้ทำเกินกว่าเหตุเสียจริง” หลี่เหลียนพูด “เจ้าอย่าโกรธ”
เฉินตันจูยิ้ม “ไม่หรอก ข้าจะโกรธได้อย่างไร ข้ามีเพียงทำให้ผู้อื่นโกรธ”
อยากทำให้ผู้อื่นโกรธเพราะต้องการให้ผู้อื่นเกรงกลัว แต่ก่อนเป็นเช่นนี้ แต่เวลานี้ เฮ้อ แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อยู่แล้ว ฮ่องเต้เพิกเฉยต่อเฉินตันจู เรื่องงานเลี้ยงตระกูลกู้ทำให้ทุกคนต่างรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเฉินตันจูอีกต่อไป…หลี่เหลียนถอนหายใจ
ทางหลิวเวยยิ่งดวงตาแดงก่ำ
“เจ้าเป็นอันใด” เฉินตันจูจับมือของหลิวเวย ยิ้มแย้ม “เวลานี้ยังมีคนกล้ารังแกเจ้า? พี่ชายของเจ้า จางเหยาเวลานี้เป็นขุนนางอย่างเป็นทางการแล้ว อีกทั้งสร้างความดีความชอบอันยิ่งใหญ่”
พูดถึงจางเหยา หลิวเวยรีบพูด “จริงสิ ท่านพี่บอกว่าไม่กลับมาน้อมรับพระกรุณาธิคุณแล้ว เวลานี้เขาจะเดินทางไปแคว้นใหม่ ไปสำรวจสถานการณ์น้ำ ท่านพี่ให้ข้ามาบอกเจ้า”
เฉินตันจูพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี เดินทางไปกลับก็เหนื่อย เจ้าอย่าลืมเขียนจดหมายกำชับเขาให้ระวังร่างกาย อย่าได้หักโหม”
หลิวเวยตอบรับอย่างเบื่อหน่าย
“เป็นอันใดไป” เฉินตันจูถาม “เศร้าโศกเพียงนี้หรือ”
หลิวเวยกำลังจะพูดก็หยุดลง หลี่เหลียนจึงพูดแทน “ไม่มีเรื่องใดพูดไม่ได้ เรื่องเป็นเช่นนี้ ตระกูลฉางจัดงานเลี้ยงล่องเรือ เวยเวยเห็นว่าไม่มีบัตรเชิญของเจ้า จึงถกเถียงกับเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง สุดท้ายนางโกรธจึงไม่ไปด้วย”
“ข้าไม่ได้โกรธ!” หลิวเวยพูด “ข้าเพียงแค่ไม่อยากไปแล้วจริงๆ ทำเกินไปแล้ว…”
นับแต่งานเลี้ยงปีก่อน ฮูหยิน คุณหนูและคุณชายในตระกูลฉางต่างไปมาหาสู่กับชนชั้นสูงในเมืองหลวงมากขึ้น ดังนั้นงานเลี้ยงปีนี้จึงมีขนาดใหญ่ขึ้น ตระกูลฉางต้องการจัดให้งานเลี้ยงล่องเรือนี้กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังในเมืองหลวง พวกเขาควรจะลองนึกดู ตระกูลฉางมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะตอนนั้นเฉินตันจูมาเข้าร่วมงานเลี้ยง
นางทะเลาะกับท่านยาย งานเลี้ยงล่องเรือนี้ นางไม่เข้าร่วมแล้ว
เฉินตันจูได้ยินจึงหัวเราะ “ไม่ต้องโกรธเพียงนั้น”
หลิวเวยรีบพูด “แต่ว่าข้านำเรื่องนี้ทูลต่อองค์หญิงแล้ว องค์หญิงตรัสว่า นางจะไปงานเลี้ยงล่องเรือ พร้อมจะพาเจ้าไปด้วย”
ดูว่าผู้ใดกล้าคัดค้าน
เฉินตันจูหัวเราะขึ้นอีกครั้ง นางโบกพัดเบาๆ
“ดังนั้นวันนี้พวกเราจึงมาบอกข่าวนี้กับเจ้า” หลิวเวยพูด น้ำเสียงปนไปด้วยความคาดหวัง “ตันจู พวกเราไปด้วยกันเถิด”
นางไม่สนใจหน้าของท่านยายแล้ว เพราะนางรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านยายทำนั้นไม่ถูกต้อง
ไม่เพียงเรื่องนี้ ท่านยายยังเร่งเร้าให้ท่านแม่พูดเรื่องแต่งงานกับจางเหยาใหม่…คนที่ถอนหมั้นเป็นนาง เวลานี้คนที่จะบังคับให้หมั้นหมายก็เป็นนางอีก มันเรื่องอันใดกัน!
นางจะมีหน้าไปพบจางเหยาได้อย่างไร
เฉินตันจูยิ้ม “ขอบใจพวกเจ้า ข้าเข้าใจเจตนาของพวกเจ้า แต่ข้าไม่อยากไป”
หลิวเวยร้อนใจ “ตันจู เจ้าไม่ต้องกลัว…”
เฉินตันจูหัวเราะร่า ยื่นมือบีบหน้าของนาง “พี่เวยเวย ข้าเฉินตันจูเคยกลัวหรือ ข้าไม่อยากไปเพราะไม่อยากไป ไม่ใช่ไม่กล้า”
หลี่เหลียนที่เงียบอยู่นั้นโล่งใจ นางหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน คุณหนูตันจูไม่ออกจากจวนอีกไม่ใช่เพราะกลัว หากแต่ไม่อยาก เช่นนั้นก็ดี คุณหนูตันจูยังคงเป็นคุณหนูตันจู
คุณหนูตันจูเอนกายพิงอยู่บนเตียงหญิงงาม พัดในมือโบกช้าๆ มองหลิวเวยและหลี่เหลียนสนทนา มองพวกนางกินดื่ม…
“เหล่านี้ล้วนเป็นของดีที่ข้าเอามาจากภายในพระราชวัง” นางพูด “ขนมใหม่จากห้องเครื่องต้น”
ถึงแม้ฮ่องเต้ไม่ให้นางเข้าวัง แต่เขาไม่สนใจเรื่องอื่น ดังนั้นตอนที่นางเรียกร้องหาสิ่งใด เหล่าขุนนางในเส้าฝู่เจี้ยนไม่กล้าไม่ให้ เพราะเฉินตันจูพาองครักษ์ที่ดุร้ายมาด้วย เฉินตันจูไม่พบฮ่องเต้ แต่สามารถพบพวกเขาได้ หากนางโกรธจนลงไม้ลงมือขึ้นมา พวกเขาจะทำอย่างไร
“อีกอย่าง การรับมือกับตระกูลชนชั้นสูงเหล่านั้นก็เช่นเดียวกัน” เฉินตันจูอธิบายต่อหลิวเวยและหลี่เหลียน “ถึงแม้ฮ่องเต้ไม่ทรงตำหนิบรรดาตระกูลชนชั้นสูงที่ดูหมิ่นข้า แต่ข้าตำหนิสั่งสอนเองได้ หากข้าต้องการระบายความโกรธ ข้าสามารถนำคนเรียงรายไปตามตระกูล ฝ่าบาทย่อมไม่ลงโทษข้า”
นางไม่ได้ทำเช่นนี้ ไม่ใช่ไม่กล้า หากแต่ขี้คร้านจะทำ
“ข้าลงมือตีพวกเขาเป็นการให้เกียรติพวกเขา”
“เดิมทีข้าก็ไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงใด แต่ตระกูลกู้เชิญข้าเพราะคุณหนูในตระกูลของพวกเขา คุณหนูท่านนี้เคยมารักษากับข้าบนภูเขาดอกท้อ เวลานี้หายดีแล้ว บอกจะขอบคุณข้า ข้าจึงให้เกียรติไป”
เฉินตันจูใช้พัดปิดบังครึ่งใบหน้า มองหลิวเวยด้วยรอยยิ้ม
“อีกอย่าง แต่ก่อนข้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลฉาง ก็เพียงเพราะพี่เวยเวย”
หลิวเวยหัวเราะกับสิ่งที่นางพูด นึกถึงอดีตที่ทั้งสองรู้จักกัน นางพูดกับหลี่เหลียน “ไม่ใช่เพียงแค่งานเลี้ยง คุณหนูตันจูตอนแรกพูดเรื่องเปิดร้านขายยา มักจะวนเวียนมาที่บ้านข้า แต่อันที่จริงแล้วก็เพื่อข้า”
เฉินตันจูทำสีหน้าแปลกใจอยู่ข้างหลังพัด “พี่เวยเวยมองออกหรือ!”
หลี่เหลียนหัวเราะร่า
เหล่าสตรีสนทนากันไปอย่างสนุกสนาน หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว พวกนางก็เดินเล่นในสวนของตระกูลเฉินก่อน สวนนี้ไม่แปลกตา ทุกคนต่างเคยมาก่อนหน้านี้ตอนที่เป็นงานเลี้ยงจวนของท่านโหวโจวเสวียน
ทุกสิ่ง เปลี่ยนไปในพริบตา
หลังจากกิน ดื่ม เล่นแล้ว เฉินตันจูส่งทั้งสองคนออกไป นางกำชับหลิวเวย “งานเลี้ยงในตระกูลท่านยายเจ้า เจ้าตัดสินใจเอง เจ้าอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไป ไม่ต้องสนใจข้า”
เวลานี้หลิวเวยไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กที่ให้ความสำคัญกับตระกูลของท่านยายอีกต่อไปแล้ว นางไม่ต้องอาศัยการตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตรมาแน่วแน่ความคิดของตนเอง
หลิวเวยแตกต่างจากตนเอง ไม่ต้องมีปัญหาถึงขั้นต้องตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร
หลิวเวยพยักหน้ารับรู้
“ทางด้านองค์หญิงข้าจะส่งคนไปทูล พวกเจ้าไม่ต้องกังวล” เฉินตันจูพูดอีกครั้ง
หลี่เหลียนกับหลิวเวยจึงขึ้นรถม้าจากไป หลี่เหลียนที่เคลื่อนตัวไปถึงหน้าตรอกเปิดม่านขึ้น ทั้งสองคนหันกลับไปมอง พบว่าฉินตันจูยังยืนอยู่หน้าประตู ราวกับกำลังส่งพวกนาง แต่ก็ราวกับกำลังเหม่อลอย…
“อันที่จริง ตันจูแตกต่างไปจากแต่ก่อนแล้ว” หลี่เหลียนพูดเสียงเบา
หลิวเวยทั้งวิตกทั้งเศร้าโศก “ข้ารู้อยู่แล้ว นางกำลังเค้นยิ้มปลอบพวกเรา”
หลี่เหลียนยิ้ม “ไม่ใช่หรอก นางก็แค่…” นางมองไปด้านหลัง “ไม่มีชีวิตชีวาเท่านั้น”
แต่ก่อนเฉินตันจูก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่อยู่กับคนที่ชอบนั้น มักจะมีความสบาย แต่เวลานี้ไม่ว่าดูอย่างไร ราวกับมีวิญญาณหนึ่งถูกดึงออกไป ขาดชีวิตชีวา
ได้ยินบิดาบอกว่า เพื่อสังหารเหยาฝู เฉินตันจูเองก็ต้องพิษ ถือเป็นการใช้ชีวิตแลกชีวิต
เวลานี้นางถูกช่วยให้รอดกลับมา แต่ยังคงเหมือนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
เฮ้อ เฉินตันจูเป็นหญิงสาวที่เด็กกว่าตนเองสองปี หลี่เหลียนปล่อยม่านรถลง พูดกับหลิวเวย “พวกเรามาอยู่เป็นเพื่อนนางให้มาก”
เฉินตันจูให้จู๋หลินพาอาเถียนไปพระราชวัง เดิมทีคิดว่าจะได้รับการขัดขวางทำให้เสียเวลาอย่างมาก ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะกลับมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังนำนางในกลับมาด้วยหนึ่งคน
“พบเสี่ยวชวีที่หน้าประตูวังพอดี” อาเถียนพูดอย่างดีใจ “เขาพาข้าเข้าไป ข้าได้เข้าพบองค์หญิง สนทนากับองค์หญิงสักพัก เรื่องที่คุณหนูหลิวเวยกับคุณหนูหลี่เหลียนมาก็ได้ทูลองค์หญิงแล้ว องค์หญิงถามว่าคุณหนูจะเข้าวังไปหานางหรือไม่”
นางในพูดอยู่ด้านข้าง “องค์หญิงให้ข้ามารับคุณหนูเข้าไป”
เฉินตันจูเหม่อลอยเล็กน้อย เสี่ยวชวี คงไม่ได้บังเอิญพบ คงได้รับคำสั่งจากองค์ชายสาม
นับแต่เปิดโปงความคิดทั้งหมดในค่ายทหารแล้ว นางก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับองค์ชายสามและโจวเสวียนอีก พวกเขาก็ไม่ได้มาหานาง…บางทีอาจเคยมา ราวกับว่าเคยพบตอนป่วยอยู่ในคุก
ก่อนหน้านี้ภายในพระราชวังก็เคยพบเห็นเพียงแวบเดียว
ถึงแม้จะรู้จักองค์ชายสามในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่นางก็ไม่กังวลว่าองค์ชายสามจะฆ่านางปิดปาก
นางมั่นใจว่าองค์ชายสามกับโจวเสวียนไม่มีทางทำเช่นนี้
จากความรู้สึก…เฉินตันจูหลุบตาต่ำ กำมือทั้งสองข้างเบาๆ ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวจากการจับมือแล้ว ถึงแม้วันนี้นางบอกว่าทุกสิ่งที่องค์ชายสามทำล้วนหลอกลวงนาง แต่ภายในใจของนางรู้ดี เรื่องบางเรื่อง ไม่หลอกลวง
แต่ก็เพียงเท่านี้
จากเหตุผล นางยิ้มเยาะเย้ยตนเอง พวกเขามองนางอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว นางไม่มีทางไปฟ้องฮ่องเต้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายแล้ว องค์ชายสามกับโจวเสวียนยังมีชีวิตอยู่ ความคิดของฮ่องเต้ยากที่จะคาดเดา นางไม่ใช่คนที่ยอมสละชีวิตเพื่อผู้อื่น โดยเฉพาะสละชีวิตของคนทั้งตระกูล
ผู้ใดเป็นคนดี ผู้ใดเป็นคนเลว ผู้ใดดูถูกผู้ใด มีชีวิตอยู่อย่างไม่เกี่ยวข้องกันเถิด
ไปพระราชวัง บางทีอาจพบองค์ชายสาม เฉินตันจูส่ายหน้า ยิ้มให้นางใน “ข้าไม่ไปแล้ว หลังจากป่วยครานี้ ข้าต้องพักฟื้นร่างกาย รอแข็งแรงแล้ว ข้าจะเข้าวังไปประลองชนมุมกับองค์หญิง”
นางในยิ้มตอบรับ พร้อมขอตัวลา
…
งานเลี้ยงล่องเรือของตระกูลฉางไม่ได้ยกเลิกเพียงเพราะความดื้อรั้นของหลิวเวย ถึงแม้หลิวเวยไม่ได้อาศัยอยู่ในตระกูลฉางเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่นางก็ยังเป็นเด็ก มาหรือไม่มาล้วนไม่สำคัญ
งานเลี้ยงของตระกูลฉางจัดใหญ่มาก ราวกับเหล่าชนชั้นสูงในเมืองหลวงต่างออกจากเมืองไปเข้าร่วม
ความคึกคักภายในเมือง เฉินตันจูที่นั่งอยู่ในลานราวกับสามารถได้ยินเสียงรถม้าที่เคลื่อนตัวผ่านด้านนอกประตูไปอย่างไม่ขาดสาย
อาเถียนทำหน้าบึ้ง สายตาแอบมองหาจู๋หลิน คิดจะให้เขาปิดทางตรงหน้าประตู ไม่อนุญาตให้ผ่านทางนี้ เพื่อไม่ให้คุณหนูเสียอารมณ์
แต่ยังหาโอกาสพูดไม่ได้ เฉินตันจูก็ยืนขึ้นเรียกให้จู๋หลินเตรียมรถ
“วันนี้อากาศดีเพียงนี้” นางใช้พัดบังใบหน้าแหงนมองฟ้า “พวกเราออกไปเที่ยวเล่นกันเถิด”
…
ตอนที่เฉินตันจูบอกว่าออกไปเที่ยวเล่น จู๋หลินไม่เชื่อแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้ว
“เจ้ากังวลอันใด” สหายของเขานั่งยองๆ อยู่ด้านข้างถามขึ้น “ถึงแม้คุณหนูตันจูจะไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง พวกเราจะกลัวหรือ หรือท่านแม่ทัพไม่อยู่ ความกล้าจึงลดลง?”
จู๋หลินถลึงตาใส่เขา “ข้าแค่กำลังคำนวณจำนวนคนที่เหมะสม”
ไม่ได้กลัวว่าตระกูลฉางมีคนมาก แต่แขกที่มางานเลี้ยงตระกูลฉางมีจำนวนมาก หากพาคนไปน้อยอาจรับมือไม่ไหว