สวีลิ่งอี๋กลับเข้าใจในความหมาย จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สาวใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายท่านจะแต่งงานออกเรือนแล้วหรือขอรับ”
“เว่ยจื่อกับเหยาหวงอายุก็ไม่น้อยแล้ว” ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับผลักกระดาษบนโต๊ะให้สืออีเหนียงดู “ข้ากำลังคิดไม่ตก หากจะรับสาวใช้น้อยเข้ามาใหม่สักสองคน ก็ให้ชื่อเก๋อจินกับอวี้ป่านดีหรือไม่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ดอกไม้หลากสีสันนานาพันธุ์ ในเรือนจะได้คึกคักและมีชีวิตชีวา!”
สาวรับใช้ที่อยู่ปรนนิบัติข้างกายไท่ฮูหยินล้วนแต่ใช้ชื่อดอกไม้ทั้งนั้น
สวีซื่อจุนก็ได้จูงมือของสวีซื่อเจี้ยเอ่ยขอตัวลา เวลานี้ก็ไม่เช้าแล้ว พวกเขาต้องเตรียมตัวเข้าเรียนกัน
ไท่ฮูหยินเดินออกไปส่งที่หน้าประตูด้วยตัวเอง จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้ชายเข้ามาเรียนว่าใต้เท้าหม่าจั่วเหวินมา สวีลิ่งอี๋จึงออกไปที่ลานนอก ไท่ฮูหยินก็ได้ให้บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องถอยออกไปจนหมด จากนั้นก็คุยเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์กับสืออีเหนียงตามลำพัง
“เรื่องเว่ยจื่อกับเหยาหวง ข้าได้ให้พ่อบ้านไป๋ช่วยข้าดูอีกแรง มีหลายคนที่ข้าดูแล้วไม่เลวทีเดียว เราค่อยมาปรึกษาหารือกันอีกที” ไท่ฮูหยินเล่าถึงสถานการณ์เบื้องต้นให้สืออีเหนียงฟัง “คนหนึ่งบิดาเป็นผู้ดูแลห้องเก็บของ เป็นคนละเอียดรอบคอบ ทำงานขยันหมั่นเพียร ส่วนอีกคนปู่ของเขาเคยเป็นผู้ดูแลห้องฝ่ายธุรการที่จวนของเรา ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วพึ่งจะกลับไปใช้ชีวิตวัยเกษียณที่บ้านเกิด หลายวันก่อนมีตำแหน่งคนเฝ้ายามช่วงกลางคืนว่างพอดี ก็เลยเข้ามาขอตำแหน่งให้หลานชาย เจ้าสี่จึงรับหลานชายของเขาเข้ามาทำงานในจวน ดังเช่นตอนนี้ ส่วนคนที่สามบรรพบุรุษเคยเป็นผู้ดูแลเก่าแก่ของจวน และได้ออกไปเปิดร้านขายของที่ไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป อยากจะกลับมาสู่ขอสาวใช้ในจวนไปเป็นสะใภ้…” จากนั้นก็ได้แนะนำอีกจำนวนหนึ่ง พูดจบก็ได้หันมาถามสืออีเหนียงว่า “เจ้าเห็นว่าคนไหนเหมาะสมที่สุด” แต่สายตากลับจับจ้องไปยังเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
อย่างไรเสียเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นคุณหนูที่จะต้องแต่งงานออกเรือนในเร็ววันนี้แล้ว ดังนั้นการที่ไท่ฮูหยินพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเจินเจี่ยเอ๋อร์ จึงทำให้สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ เวลานี้จะไม่เข้าใจได้อย่างไรกันเล่า เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินกำลังชี้แนะเจินเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงจึงให้ความร่วมมือกับความตั้งใจของไท่ฮูหยิน ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จื่อเวยและเหยาหวงเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายคนสนิทของท่านแม่ นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ท่านแม่ย่อมรู้ดีที่สุด มีเพียงท่านแม่เท่านั้นที่คู่ควรกับการเป็นแม่สื่อที่สุดเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“จื่อเวยและเหยาหวงทั้งสองคนเข้าจวนของเรามาตั้งแต่อายุสิบขวบต้นๆ ถึงแม้คนที่เปิดร้านค้าอยู่ข้างนอกจะดี แต่ข้ากลับทำใจให้พวกนางแต่งงานออกเรือนแล้วไปลำบากข้างนอกไม่ได้ ข้าว่า จื่อเวยก็ให้คู่กับคนที่ปู่เคยเป็นผู้ดูแลห้องธุรการเก่าแก่ของจวนเราดีกว่า ส่วนเหยาหวงก็ให้คู่กับคนที่บิดาเป็นผู้ดูแลห้องเก็บของของจวนเรา”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงในทันที
ไท่ฮูหยินกลับวิเคราะห์ให้นางฟังอย่างละเอียด “ปีที่แล้วจวนของเราเลิกจ้างพ่อบ้านไปหนึ่งชุด ถึงแม้ว่าบำเหน็จบำนาญที่ให้ไปไม่ได้น้อย แต่ก็ไม่สู้ตอนอยู่ในจวนอยู่ดี นอกจากเงินเดือนค่าตอบแทนแล้วยังมีรายรับจากบัญชีลับอีก บางคนก็ถึงขั้นใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ จึงคิดหาวิธีส่งลูกหลานเข้ามาทำงานในจวน เพราะหากพูดถึงการออกจากจวนไปใช้ชีวิตวัยเกษียณถือว่ามีเกียรติ บางคนที่ฉลาดหัวไวก็จะรับไว้ แต่พอเป็นแบบนี้ บางคนเห็นแล้วก็จะอิจฉาตาร้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เว่ยจื่อติดตามป้าของนางเข้าจวนมา และก็ได้แต่งงานกับบ้านนี้พอดี ข้อแรกคือสามารถสยบคำครหานินทาได้ สองคือหากวันไหนเด็กคนนั้นไม่อยากเป็นบ่าวรับใช้ในจวนแล้ว นางติดตามครอบครัวกลับบ้านเกิดไปด้วยก็จะไปได้อย่างอิสระ แต่เหยาหวงไม่เหมือนกัน นางเป็นบุตรีที่เกิดจากบ่าวรับใช้ในจวน ข้าให้นางแต่งงานกับบุตรชายของพ่อบ้านที่ดูแลห้องเก็บของก็เพื่อไม่ให้นางต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน วันข้างหน้าหากมีผู้ดูแลรุ่นหลังชุดใหม่เข้ามา เมื่อเห็นว่าจวนสกุลสวียกย่องเชิดหน้าชูตาให้กับพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นก็จะตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถ”
คนที่เคยปรนนิบัติรับใช้ไท่ฮูหยิน ก็จะไม่เหมือนบ่าวรับใช้ทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถปลอบโยนความไม่พอใจของผู้ดูแลที่ออกจากจวนไปเท่านั้น ยังถือเป็นการให้เกียรติเหล่าบรรดาผู้ดูแลที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วย
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ไท่ฮูหยินก็พยักเบาๆ อย่างช้าๆ พึงพอใจกับปฏิกิริยาของนางเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องการเซ่นไหว้หยวนเหนียงกับสืออีเหนียง “…เซ่นไหว้สามอย่าง ถึงเวลานั้นทุกคนก็พากันไปจุดธูปก็แล้วกัน!”
ที่สืออีเหนียงมาหาไท่ฮูหยินในครั้งนี้ ก็เพราะจะมาปรึกษาหารือเรื่องนี้พอดี ในเมื่อไท่ฮูหยินคิดวางแผนไว้แล้ว นางจึงขานรับ จากนั้นก็สั่งให้ลี่ว์อวิ๋นไปแจ้งเรื่องนี้กับทางพ่อบ้าน ให้พวกเขาจัดเตรียมของที่จะใช้เซ่นไหว้หยวนเหนียง จากนั้นก็อยู่คุยเป็นเพื่อนฮูหยินห้าที่มาคารวะไท่ฮูหยิน ขณะที่กำลังขอตัวลานั้น ลี่ว์อวิ๋นก็กลับมาพอดี “…คุณหนูห้าสกุลเวยหย่วนโหวจะแต่งงานออกเรือนวันที่หกเดือนสี่ ผู้ดูแลจ้าวให้ข้าส่งเทียบเชิญมาให้ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสี่และฮูหยินห้าเจ้าค่ะ”
“ไอ๊หยา!” ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในที่สุดก็ถึงวันที่หมิงหย่วนจะแต่งงานออกเรือนแล้ว!”
“หากนางยังไม่กำหนดวันแต่งงาน แล้วฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จะทำอย่างไรเล่า” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็พูดถึงงานแต่งงานในเมืองเยี่ยนจิงที่ใกล้จะถึงเร็วๆ นี้ และได้พูดถึงของขวัญวันแต่งงานว่าบ้านไหนให้เท่าไรบ้าง จากนั้นก็ได้ไปไหว้พระที่ห้องพระ
ทุกคนจึงพากันแยกย้าย
สืออีเหนียงกลับไปจัดการธุระเรือนหลัก จากนั้นอาจารย์เจี่ยนก็มาถึง
ตั้งแต่เริ่มเปิดร้านมา อาจารย์เจี่ยนและชิวหงก็ได้ย้ายไปพักที่ร้านเลย หลิวหยวนรุ่ยสองสามีภรรยาก็ได้ไปช่วยงานที่ร้านด้วย คนหนึ่งช่วยเร่งตามรถ ส่วนอีกคนช่วยทำอาหาร รับคำสั่งระหว่างสืออีเหนียง กานไท่ฮูหยินและอาจารย์เจี่ยน
เมื่อได้ยินว่าซุ่นอ๋องช่วยแนะนำการค้าให้ อาจารย์เจี่ยนจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านโหวรู้เรื่องนี้หรือไม่ ทำเจ้าลำบากใจหรือเปล่า”
“ไม่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้นางฟัง “…ซุ่นอ๋องให้โอกาสเรามา เราควรจะรักษาไว้ให้ได้ถึงจะถูก”
ใบหน้าของอาจารย์เจี่ยนจึงค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “เจ้าวางใจเถิด ที่เจียงหนานมีขุนนางประจำเขตชายแดนตั้งมากมาย กลัวก็แต่งานปักของช่างปักเมืองเยี่ยนจิงจะปักได้ไม่มากเท่าเจียงหนานเสียมากกว่า”
สืออีเหนียงวางใจขึ้นมา จากนั้นก็ได้ปรึกษาหารือถึงรายละเอียดงานต่างๆ กับอาจารย์เจี่ยนอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นอาจารย์เจี่ยนก็ลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับ แล้วจึงค่อยสั่งให้ผู้ดูแลร้านไปพบซุ่นอ๋องที่กรมราชกิจภายใน
วันรุ่งขึ้นอาจารย์เจี่ยนก็ได้ย้อนกลับมาแจ้งข่าวให้กับสืออีเหนียงว่า “ของไม่มากเท่าไรนัก ราคาที่ให้ก็สมเหตุสมผล ผู้ดูแลร้านก็เลยรับปากในตอนนั้นเลย”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อดรู้สึกดีใจขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก็ได้นำรูปวาดดอกไม้ที่จะใช้เป็นแบบปักมาให้อาจารย์เจี่ยน อาจารย์เจี่ยนเห็นว่าลายเส้นไม่ได้มากมาย แต่กลับดูมีชีวิตประดุจของจริง ทั้งสองจึงพากันพูดคุยสนทนาถึงเรื่องสีสันและเส้นด้ายไปครึ่งค่อนวัน
*****
เหวินอี๋เหนียงกลับกำลังจ้องมองถุงเท้าลายดอกเป่าเซียงสีขาวบนโต๊ะเตียงเตาและเดินวนเวียนไปมาด้วยความเป็นกังวลใจ
ชิวหงเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมนางว่า “อี๋เหนียง ท่านอย่ากังวลใจไปเลย ดูแลหยางอี๋เหนียงคือหน้าที่ที่ฮูหยินมอบหมายให้ทำ เพราะเหตุนี้หยางอี๋เหนียงถึงได้ทำถุงเท้ามาให้ท่าน ถือเป็นมิตรภาพน้ำใจทั่วไป ฮูหยินของเราเป็นคนมีหลักการและเหตุผล จะมาโทษท่านด้วยเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า หากท่านรู้สึกกลัวว่าฮูหยินจะเข้าใจผิดจริงๆ” จู่ๆ นางก็ชะงักคำพูดไป “ผ้าฝ้ายผืนใหญ่ที่ท่านสั่งทำจากอูเจิ้นส่งมาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ เช่นนี้ดีหรือไม่ ท่านใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างไปขอพบฮูหยิน แล้วถือโอกาสนี้พูดถึงเรื่องที่หยางอี๋เหนียงทำถุงเท้าให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้!” เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ชะงักฝีเท้าลง “ท่านโหวไม่ได้ให้หยางอี๋เหนียงไปยกน้ำชาแสดงความเคารพต่อฮูหยิน อีกทั้งยังพักที่เรือนหลักสามวันติด หากข้ายังดูไม่ออกว่าท่านโหวรู้สึกอย่างไร ข้าก็โง่เกินไปแล้ว ตอนนี้ฮูหยินกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น อย่าว่าแต่หยางอี๋เหนียงที่มอบถุงเท้าให้ข้าเลย ถึงแม้ว่าจะมอบปิ่นเงินปิ่นทองให้กับข้า เกรงว่าก็คงจะไม่ต้องใส่ใจแม้แต่นิดเดียว” พูดจบก็แสดงสีหน้าลังเลใจ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้ากังวลใจกับฉินอี๋เหนียงต่างหาก”
“ฉินอี๋เหนียง!” ชิวหงค่อนข้างแปลกใจ แต่แล้วนางก็แสดงสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที “ท่านหมายถึงเรื่องที่ฉินอี๋เหนียงเชิญไต้ซือจี้หนิงหรือเจ้าคะ” พูดจบนางก็หัวเราะขึ้นเบาๆ พลางพูดต่อไปว่า “ไต้ซือจี้หนิงไม่ใช่คนเลอะเลือน ถึงแม้ว่าฉินอี๋เหนียงจะเป็นคนเชิญนางมา แต่นางรู้จักฮูหยินมาก่อน อีกทั้งยังได้มอบแจกันดอกไม้ลายครามที่ผ่านการเบิกเนตรมาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน และถึงแม้ว่าท่านโหวจะไม่ชอบ แต่เห็นแก่หน้าของฮูหยิน เกรงว่าคงจะไม่ได้ต่อว่าอะไร” จากนั้นนางก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงสัยว่า “ทำไมจู่ๆ ท่านถึงกังวลใจกับฉินอี๋เหนียงขึ้นมาหรือเจ้าคะ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ท่านเคารพนางเพิ่มมากขึ้นมาโดยตลอด แต่นางกลับรู้สึกว่าท่านก็แค่กระตือรือร้น ในยามวิกฤตินางก็ไม่แม้แต่จะเคยยื่นมือหรือเอ่ยปากช่วย ตอนนี้กว่าท่านจะเดินเคียงข้างฮูหยินได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ข้าไม่ได้จะให้ร้ายนาง แต่ก็ไม่ควรให้เรื่องนี้เป็นสาเหตุไปทำให้ฮูหยินขุ่นเคืองใจมิใช่หรือ ข้าว่า ท่านควรจะยุ่งกับฉินอี๋เหนียงให้น้อยลง นางยังมีคุณชายน้อยสองทั้งคน ยังมั่นคงดีเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตา “ก็เพราะคุณชายน้อยสองของนาง ข้าถึงได้เป็นกังวลใจอย่างไรเล่า!”
ชิวหงฟังไม่เข้าใจ จึงได้ถามต่อไปว่า “เราไม่ได้แก่งแย่งชิงดีกับนางเสียหน่อย เหตุใดนางถึงจะมีปัญหากับเราหรือเจ้าคะ”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “อี๋เหนียง เฉียวอี๋เหนียงมาเจ้าค่ะ”
“นางมาทำไมกัน” เหวินอี๋เหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็พูดพึมพำต่อไปว่า “ปกติไม่เคยจะมาหาถึงเรือน จู่ๆ ก็มาหาเช่นนี้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรหรอกกระมัง” แต่ก็ได้หันไปสั่งกับสาวใช้น้อยว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด!” พูดพลางลงจากเตียงเตาเพื่อไปรับเฉียวอี๋เหนียงที่ห้องโถง
*****
ฉินอี๋เหนียงขมวดคิ้วแน่น รอยย่นที่หางตาดูชัดยิ่งขึ้น พลอยทำให้นางซีดเซียวและเหี่ยวแห้งเข้าไปใหญ่
“…ข้ารู้สึกมาตั้งแต่ปีใหม่สองปีก่อนแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะติดขัดไม่ราบรื่นอยู่เสมอ ท่านอาจารย์ ท่านลองดูว่าสามารถถามพระโพธิสัตว์ให้ข้าได้หรือไม่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉินอี๋เหนียงหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามไต้ซือจี้หนิงอย่างช้าๆ “มีพิธีกรรมอะไรบ้างที่พอจะช่วยคลี่คลายโชคชะตาของข้าได้”
จี้หนิงได้คำนวณในใจอยู่ครู่หนึ่ง
ปีใหม่สองปีที่แล้ว ก็คือช่วงเวลาหลังจากที่สืออีเหนียงแต่งเข้าจวนมา และก็ได้คิดไปถึงเรื่องที่คุณชายน้อยสองสกุลสวีไปเล่าเรียนที่เล่ออาน นางก็เข้าใจได้ในทันที
การแก่งแย่งในเหล่าบรรดาภรรยาและอนุ ก็มักจะมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่เสมอ หากคนไหนไม่ได้ระวังตัวดีๆ ก็จะกลายเป็นแพะรับบาปในทันที ที่วัดฉือหยวนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ล้วนอาศัยธูปเทียนที่อนุเหล่านี้มาถวายทั้งนั้น ดังนั้นนางจึงเลือกทำในสิ่งที่ควรทำและละเว้นในสิ่งที่ไม่ควรทำเสมอมา มิเช่นนั้นนางจะสามารถยืนหยัดในเมืองเยี่ยนจิงแห่งนี้ได้อย่างไรกัน
“เช่นนั้นข้าลองช่วยเจ้าทำนายดูก็แล้วกัน” จี้หนิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ช่วยเจ้าดูว่าหลายปีมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากว่าโชคไม่ดีจริงๆ ข้าค่อยช่วยเจ้าทำพิธีกรรมก็แล้วกัน!”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าราคาเท่าไรหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเพียงแค่อี๋เหนียงคนหนึ่ง แต่ท่านโหวก็รักและเอ็นดูคุณชายน้อยสองของข้ามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์หรือชุดเครื่องวาดเครื่องเขียนก็ให้มาไม่ใช่น้อย” พูดจบ นางก็ชี้ไปยังชุดเป้ยจื่อสีเขียวลายเมฆบนตัวของนาง “มิเช่นนั้น ข้าจะได้สวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นเครื่องบรรณาการจากเจียงหนานได้อย่างไรกัน”
จี้หนิงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อี๋เหนียงกับข้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล อีกทั้งยังเคารพบูชาต่อพระโพธิสัตว์ทุกๆ ปี มาคุยเรื่องเงินเรื่องทองเช่นนี้ ก็ถือว่าเสียน้ำใจกันแล้ว ครั้งนี้ข้าก็เก็บเป็นค่าธูปเทียนและกระดาษเผาไหว้ก็แล้วกัน”
ฉินอี๋เหนียงนึกถึงครั้งที่แล้ว ไต้ซือจี้หนิงก็พูดเช่นนี้ แต่กลับเก็บเงินตนไปตั้งสามสิบตำลึง นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าควรให้ค่าธูปเทียนและกระดาษไหว้เท่าไรกัน” น้ำเสียงฟังดูตึงเครียดกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
จี้หนิงได้ยินแล้วก็แอบขำในใจ แต่ใบหน้าของนางกลับแสดงสีหน้าที่สบายใจออกมา “ห้าตำลึงก็พอ!”
ฉินอี๋เหนียงหน้าเขียวขึ้นมาทันควัน