ในเวลานี้ใต้เท้าหลี่ผู้เป็นหัวหน้าของกรมขุนนางไม่เหลือคราบของชายผู้หยิ่งทะนงและหลงตัวเองอย่างที่เคยมี แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับกำลังเช็ดหน้าผากที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อของตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยความประหม่า
เมื่อเห็นว่าใต้เท้าหลี่ดูกระวนกระวายถึงเพียงนั้น บรรดาผู้คุมก็ไขกุญแจเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว
ใต้เท้าหลี่รีบสาวเท้าเข้าไปในห้องขัง แล้วโค้งคำนับร่างทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสชาติด้วยความสุภาพ “ข้าน้อยช่างโง่เขลาเหลือเกินที่จดจำท่านทั้งสองไม่ได้ ถึงได้เสียมารยาทกับพวกท่านไป เวลานี้เรื่องเข้าใจผิดนั้นได้คลี่คลายลงแล้ว พวกท่านออกมาจากห้องขังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เอ่ยอะไร นางเพียงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน เจ้าเจ็ดกำลังทิ้งตัวลงนอนให้อ้อมแขนของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างสบายๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่จนกว่าเสด็จปู่จะมายังห้องขังแห่งนี้ด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่คิดจะเดินออกมา ใต้เท้าหลี่ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น ขาของเขาเริ่มสั่น เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวย และอ้อนวอนนาง “คุณหนูใหญ่เฮ่อเหลียน ไม่สิ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา ข้าน้อยสาบานว่าการจับกุมท่านนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับข้าน้อยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่รู้ว่าทำไมบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาที่โง่เขลาของข้าน้อยถึงได้จับกุมตัวท่านมา ท่านจะช่วยกล่อมให้องค์ชายเจ็ดออกมาจากห้องขังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ ข้าคิดว่าใต้เท้าหลี่คงจำเจ้าเจ็ดกับข้าไม่ได้จริงๆ เพราะเจ้าเอาแต่เรียกพวกข้าอย่างเป็นกันเองยิ่งนัก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย
ใต้เท้าหลี่อับจนวาจา เขาเดินวนไปวนมาอย่างอยู่ไม่สุขราวกับแมลงวันไร้หัว ระหว่างที่ดวงตาของเขาเริ่มปริ่มไปด้วยน้ำตา
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประกาศอันดังกังวานมาจากหน้าประตูห้องขัง
“อดีตฮ่องเต้เสด็จ!”
ร่างในชุดสีเหลืองสว่างเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างมั่นคงและสง่างาม
ใบหน้าของใต้เท้าหลี่ฉาบไปด้วยความหวาดกลัวโดยพลัน เขารีบคุกเข่าลงคำนับอดีตฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าน้อยยินดีต้อนรับการมาเยือนของอดีตฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ขออดีตฮ่องเต้จงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
ขันทีซุนที่เดินตามหลังอดีตฮ่องเต้อยู่เดินผ่านเขาไปโดยไม่คิดที่จะปรายตามองเขาเลยแม้แต่น้อย
อดีตฮ่องเต้ที่มักจะเอาใจใส่กับภาพลักษณ์ของตนอยู่เสมอมาถึงห้องขังในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หัวใจของเขาบีบรัดอย่างรุนแรงทันทีที่สายตาของเขาหยุดลงที่ผู้เป็นหลานชายที่แสนล้ำค่าของเขาใบหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่น อีกทั้งที่ข้อศอกก็ยังมีรอยถลอกอยู่ด้วย
ขันทีซุนส่งเสียงครางออกมาอย่างทุกข์ใจพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อท้นขึ้นในดวงตาทันที “องค์ชายเจ็ด ท่านเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ บอกกระหม่อมมาเถิดว่าใครมันทำเช่นนี้กับท่าน พวกเรายังอยู่ในเมืองหลวง แต่ท่านกลับถูกจับและทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสได้! หากท่านถูกพาตัวไปยังสถานที่อันห่างไกลจากเมืองหลวงละก็ ท่านอาจสิ้นใจไปแล้วก็ได้! องค์ชายเจ็ดของพวกเรายังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ พวกมันปฏิบัติต่อท่านอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน…”
เด็กชายหัวโล้นเบะปากพลางมองอดีตฮ่องเต้ “เสด็จปู่ คราวนี้ข้าไม่ได้ตีใครเลยนะขอรับ ตอนที่คนกลุ่มนี้บุกเข้ามา ข้ากำลังตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์อยู่กับพี่สะใภ้สามขอรับ พวกเขาใส่ร้ายพวกข้าอย่างรุนแรงด้วยขอรับ เขาบอกว่าพวกข้าไปทำให้ผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งไม่พอใจเข้า”
สีหน้าของอดีตฮ่องเต้ที่กำลังโกรธจนควันออกหูดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นอีก เขาอยากจับเจ้าพวกที่กล้าแตะต้องหลานชายของเขาแม้เพียงปลายเล็บพวกนี้มาประหารเสียให้หมด เขาดึงร่างของเด็กชายเข้าสู่อ้อมแขน แล้วตบหลังเด็กชายเบาๆ พร้อมกับตะโกนใส่ใต้เท้าหลี่ที่ยังคงคุกเข่าอยู่ด้านหลังอย่างเดือดดาลว่า “หาตัวชายคนที่จับหลานชายของข้ามาให้ได้ ถ้าเจ้าหาไม่เจอ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
ใต้เท้าหลี่ตัวสั่น ก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันที
ตอนที่เขามาถึงประตู เขาก็ชนเข้ากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เพิ่งมาถึง
“องค์… องค์ชายสาม” ใต้เท้าหลี่ทักทายไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาตัวสั่นระริก นิ้วมือกำแน่นเข้าหากัน สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าเขาต้องหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวเข้าไปในห้องขังอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาคู่งามของเขาเย็นเป็นน้ำแข็ง มันน่าสะพรึงกลัวจนทำให้ทุกคนเสียวสันหลังวาบ บนใบหน้าของเขามีสีหน้าอันดุร้ายน่ากลัวปรากฏอยู่ ดวงตาของเขาฉายความโหดเหี้ยมอย่างที่สุดออกมาระหว่างที่เขากล่าวว่า “ข้าขอแนะนำให้เจ้าลงมืออย่างซื่อสัตย์และรวดเร็ว อย่าคิดแม้แต่จะหาใครมาแบกรับความผิดนี้แทน ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าแอบส่งข้อมูลนี้ให้กับใครละก็ คนตระกูลหลี่ทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบแปดคนของเจ้าได้ถูกฆ่าหมดแน่ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ใต้เท้าหลี่ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาคิดเอาไว้ และองค์ชายสามมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบหาความจริงเบื้องหลังอย่างละเอียดให้ได้!
เขาปาดเหงื่อเย็นๆ ของตัวเองออกอย่างโล่งใจ แล้วตอบอย่างรวบรัดว่า “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะทำตามที่ท่านบอก ข้าน้อยจะไม่ปริปากนำข้อมูลนี้ไปบอกกับใครแน่นอน องค์ชายสามารถเชื่อใจข้าน้อยได้เลยพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยจะทำงานนี้ให้สำเร็จให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เพียงแต่เขาคิดไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวว่าผู้ลงมือตัวจริงนั้นเป็นใครกันแน่ ลึกๆ แล้วเขากำลังนึกสาปแช่งเจ้าคนลงมือคนนั้นที่ทิ้งปัญหาอันยากจะคลี่คลายให้เขาต้องมาตามเช็ดตามล้างเช่นนี้
“เสด็จปู่ โชคดีที่พี่สะใภ้สามอยู่กับข้าที่นั่นด้วยขอรับ” ที่ด้านในของห้องขัง เด็กชายหัวโล้นยกมือขึ้นจับแก้มของตัวเอง แล้วเริ่มบ่น “ข้าคงถูกทำร้ายไปแล้วถ้าไม่มีพี่สะใภ้สามอยู่ด้วย”
หนานกงเลี่ยที่เดินตามหลังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้ามาบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างองค์ชายเจ็ดกับอดีตฮ่องเต้เข้าพอดี ใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อยระหว่างที่ลอบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วถามว่า “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะถูกใครทำร้ายได้”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาด้วยสายตาเฉยชา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “น้องเจ็ดของข้ายังเป็นแค่เด็กเท่านั้น”
หนานกงเลี่ย: … ใช่ เจ้าเจ็ดยังเป็นเด็กอยู่ แต่เขาก็เป็นเด็กที่สามารถล้มสัตว์อสูรได้ด้วยมือเปล่า! นอกจากเจ้าที่เป็นองค์ชายสามแล้ว จะมีใครอีกหรือที่สามารถรังแกเขาได้!
“พวกเจ้าสองคนเป็นพี่น้องกันจริงอย่างไม่ต้องสงสัย” หนานกงเลี่ยหัวเราะชั่วร้าย พี่น้องสองคนนี้เจ้าเล่ห์อย่างที่สุด แต่เขาก็แอบชื่นชมชายผู้ไม่กลัวตายคนนั้นที่กล้าถอนขนราชสีห์อย่างพวกเขาจริงๆ
ยิ่งอดีตฮ่องเต้อายุมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งเป็นห่วงหลานชายของตนมากขึ้นเท่านั้น
เป็นที่รู้กันดีว่าองค์ชายสามมีนิสัยเย็นชามาตั้งแต่เด็ก และเป็นเรื่องยากสำหรับอดีตฮ่องเต้ที่จะเข้าหาเขาได้
แต่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยนั้นมีนิสัยต่างออกไปลิบลับ นอกจากการที่เขามีงานอดิเรกออกไปเที่ยวเล่นและต่อยตีคนอื่นอย่างไม่รู้ความแล้ว ก็นับว่าเขาเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาและเป็นมิตรทีเดียว
อดีตฮ่องเต้เพียงส่งเขาไปที่สำนักไท่ไป๋เพราะเขาไม่อยากให้องค์ชายเจ็ดตกอยู่ในอันตรายจากการปล่อยให้เขาอยู่ที่วังหลวง
องค์ชายเจ็ดได้รับการดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ความยุติธรรมมาก่อน แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ถูกจับเข้าคุกอย่างกะทันหัน
การที่อดีตฮ่องเต้จะโกรธจนควันออกหูก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังเป็นคนที่สั่งให้เฮ่อเหลียนเวยเวยหลอมอาวุธพวกนั้นขึ้นมาอย่างลับๆ เอง เมื่อวานนี้เขาเพิ่งได้รับรายงานว่าโครงการนี้จวนจะเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วแท้ๆ แต่วันนี้เขากลับได้รับข่าวว่าคนถูกจับแทน
“คนที่มันไม่รักตัวกลัวตายผู้นั้นเป็นใคร!” อดีตฮ่องเต้หันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พลางพูดต่อ “อาเจวี๋ย ไม่ว่าผู้กระทำผิดในครั้งนี้จะเป็นใครก็ตาม จงจับตัวเขาหรือนางผู้นั้นมาซะ อย่าได้ปรานี!”
“ขอรับ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างเย็นชา ตลอดเวลานั้นสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตาไม่กะพริบ หลังจากเขามั่นใจแล้วว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ ในที่สุดสายตาของเขาก็เริ่มอ่อนโยนขึ้น “มานี่”
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่ปฏิเสธเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าอดีตฮ่องเต้ ยิ่งกว่านั้นนางยังค่อนข้างมั่นใจอีกด้วยว่าการที่อดีตฮ่องเต้มาปรากฏตัวขึ้นในห้องขังแห่งนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากเจ้าเจ็ดและนางถูกจับกุมตัวนั้นล้วนแต่เป็นผลงานของผู้ชายคนนี้
ดูเหมือนองค์ชายจะมีความคิดเห็นตรงกับนางในเวลาที่ต้องต่อกรกับศัตรู…
หลังจากสร้างสถานการณ์วุ่นวายเอาไว้ที่ห้องขัง หลี่เมิ่งก็ได้รับเชิญให้ไปยังคฤหาสน์ผู้พิทักษ์อย่างอารมณ์ดี
ก่อนหน้านี้หลี่เมิ่งแทบไม่เคยมีโอกาสได้รับเชิญให้เหยียบเข้าไปในโถงหลักของคฤหาสน์ ยกเว้นก็แต่วันนี้
ซูเหยียนโม่มอบภารกิจให้กับเขา และกำลังรอรายงานจากเขาอยู่ ถ้าเขาทำสำเร็จและได้เบาะแสอะไรมาไว้ในมือละก็ นังผู้หญิงคนนั้นจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่
หลี่เมิ่งลิ้มรสชาชั้นเชิศที่นานๆ ทีจะมีโอกาสได้ดื่ม พลางสาธยายให้นางฟังว่าเขาทำภารกิจนี้ได้อย่างไร้ที่ติอย่างไร เขาเล่าเรื่องนั้นออกมาอย่างภูมิอกภูมิใจราวกับว่าเขาได้แก้แค้นให้กับฮูหยินซูเรียบร้อยแล้ว…