ยังไม่ทันได้เข้าเขตตงเจียว ก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศงานเลี้ยงตระกูลฉาง
งานเลี้ยงล่องเรือเมื่อปีก่อน มีต้นกำเนิดจากเหล่าฮูหยินตระกูลฉางจัดขึ้นให้บุตรหลานเล่นสนุก ต่อมามีเฉินตันจูและองค์หญิงจินเหยา จึงดึงดูดชนชั้นสูงทั่วเมืองมา ต้องเตรียมการอย่างเร่งด่วน
หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ตระกูลฉางแห่งตงเจียวก็ถือเป็นชนชั้นสูงหน้าใหม่ในเมืองหลวง เพื่อแสดงรากฐานของตระกูลฉาง งานเลี้ยงล่องเรือในปีนี้จึงเตรียมการมากว่าครึ่งปี
ถึงแม้องค์หญิงจะไม่มาเข้าร่วม แต่เรื่องนี้กลับทำให้ตระกูลฉางรู้สึกโล่งใจ ผู้ใดไม่รู้ว่าองค์หญิงจินเหยาถูกเฉินตันจูหลอกลวง เดินไปทางใดล้วนปกป้องเฉินตันจู ก่อนหน้านี้เฉินตันจูถูกตระกูลชนชั้นสูงตัดขาด หากองค์หญิงจินเหยามา ย่อมต้องพาเฉินตันจูมาด้วย…เมื่อถึงเวลานั้น ผู้อื่นย่อมไม่มาเข้าร่วม ตระกูลฉางจะแย่เอา
เช้าตรู่ แขกเหรื่อเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ลำดับแรกคือบรรดาญาติทั้งหลาย พวกเขามาเร็วเพื่อช่วยงาน ถึงแม้จะไม่ต้องให้พวกเขาช่วย ตามมาด้วยตระกูลชนชั้นสูง ครานี้แตกต่างจากคราก่อนที่มีเหล่าคุณหนูกับฮูหยินเป็นหลัก คุณชายและนายท่านของแต่ละตระกูลต่างเดินทางมาด้วย ไม่มีเฉินตันจูอยู่ ย่อมเป็นโอกาสการคบค้าที่น่าสุขสมของเหล่าตระกูลชนชั้นสูง
เวลาหนึ่ง รถม้าคันใหญ่เดินทางเข้ามาในตงเจียวอย่างไม่ขาดสาย พร้อมทั้งเสียงหัวเราะ
เหตุการณ์นี้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อโจวเสวียนเดินทางมา
เวลานี้ บุคคลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองหลวงก็คือโจวเสวียนผู้เป็นท่านโหวกวนเน่ย มีชาติกำเนิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง รูปลักษณ์ดี ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ บัดนี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กจากโลกไปแล้ว เขารับหน้าที่ดูแลอำนาจทางการทหารชั่วคราว แต่คำว่าชั่วคราวนี้ไม่ใช่ชั่วคราวอย่างแน่นอน ท่านโหวกวนเน่ยปฏิเสธการพระราชทานงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเป็นฟู่หม่า ต้องการเป็นขุนนางที่มีอำนาจ…
ทางขุนนางบุ๋นมีอำนาจบารมีของบิดาเขา ทางด้านขุนนางบู๊ โจวเสวียนก็ไม่ได้มีแค่ชื่อ เขาละทิ้งพู่กันเข้าร่วมกองทัพทำสงครามอยู่ด้านนอก ท่านอ๋องโจว ท่านอ๋องฉียอมรับผิดล้วนเป็นความดีความชอบของเขา เขาสามารถยืนได้อย่างมั่นคงบนราชสำนัก
สิ่งสำคัญคือโจวเสวียน อายุยี่สิบสาม ไร้คู่หมั้นคู่หมาย
เวลานี้แผ่นดินสงบสุข ตระกูลชนชั้นสูงทั่วเมืองต่างมีความคิด ผู้ใดไม่ชื่นชอบชายหนุ่มอายุน้อย แต่มีอำนาจกัน
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าโจวเสวียนเดินทางมา คนที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถม้าหยุดชะงัก คนที่เดินเข้าไปในจวนตระกูลฉางแล้วต่างมองออกมาด้านนอก
วันนี้ไม่มีองค์ชายองค์หญิงท่านใดเสด็จมา โจวเสวียนจึงเป็นผู้ที่มีศักดิ์สูงสุด นายท่านหนึ่งของตระกูลฉางต้อนรับด้วยตนเอง แต่โจวเสวียนไม่ได้เดินเข้าประตูจวน หากแต่มองไปยังแขกท่านอื่นที่อยู่รอบๆ
ท่านโหวกำลังตามหาคนที่รู้จักเพื่อทักทายหรือ
ทันใดนั้น คนที่รู้จัก คนที่ไม่รู้จักต่างเตรียมตัวเดินเข้ามา แต่พวกเขากลับเห็นโจวเสวียนเดินไปถึงตรงหน้าของตระกูลหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นคุณชาย รถที่อยู่ด้านข้างเป็นรถของสตรี
คุณชายท่านนั้นกำลังจะลงจากม้า ทันใดนั้นเห็นโจวเสวียนเดินเข้ามา ทั้งตกใจทั้งตื่นเต้นจนเกือบจะกระโดดลงจากหลังม้า “ท่าน ท่านโหวโจว…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเขา โจวเสวียนยื่นเท้าออกไป ขาอีกข้างที่ยังไม่แตะพื้นของคุณชายท่านนี้จึงเหยียบลงบนเท้าของโจวเสวียน
คุณชายท่านนั้นตกใจจนกระโดดยกเท้าขึ้น แต่ยังคงสายไป โจวเสวียนมองเขา พูดอย่างเย็นชา “เจ้าเหยียบเท้าของข้า”
เรื่องนี้ เรื่องนี้ เอาเถิด คุณชายท่านนั้นรีบขอโทษ “ข้าไม่ทันเห็น ท่านโหวได้โปรดให้อภัย”
โจวเสวียนจับม้าของเขาเอาไว้ ม้างานที่เดิมทีพ่นลมหายใจด้วยความรำคาญหยุดนิ่งทันที
“ข้าไม่ให้อภัย” โจวเสวียนมองคุณชายท่านนี้
คุณชายผงะ เขาเติบใหญ่เพียงนี้ยังไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นเขาทำตัวไม่ถูก ฮูหยินและคุณหนูในรถด้านหลังที่กำลังจะลงมาทักทายด้วยความดีใจในเดิมทีก็ชะงักไป
ถึงแม้ผงะ แต่ในฐานะบุตรหลานของตระกูลชนชั้นสูง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาอันไม่เป็นมิตรของโจวเสวียน!
เกิดเรื่องใดขึ้น เขาไม่เคยทำให้ตระกูลโจวขุ่นเคือง ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนซีจิง แต่ไม่เคยมีสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับตระกูลโจว…สิทธิ์ยังไม่ถึง
“ท่านโหว” คุณชายท่านนั้นคำนับอย่างจริงใจ “ไม่รู้ต้องทำอย่างไร ท่านจึงให้อภัย”
โจวเสวียนตบหัวม้าหนึ่งที ก่อนจะหันหัวม้าไปด้านหลัง ม้านั้นร้องโหยหวนขึ้นมาหนึ่งที ก่อนจะก้าวถอยหลังไป โจวเสวียนยังคงมองคุณชายท่านนี้ “อย่าให้ข้าเห็นเจ้า ออกไปจากตรงนี้บัดนี้”
…
ภายในจวนใหญ่ตระกูลฉางต่างรู้ว่าโจวเสวียนเดินทางมา คุณหนูทั้งหลายในตระกูลฉางอดจัดการหน้าผมของตนเองไม่ได้ ใบหน้าแสดงออกถึงความดีใจอย่างแท้จริง
ปีก่อนโจวเสวียนก็มา แต่โจวเสวียนล้อมรอบเพียงองค์หญิง ไม่มองพวกนางแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเดินขึ้นหน้าทักทาย ปีนี้องค์หญิงกับเฉินตันจูต่างไม่ได้มา พวกนางจึงมีโอกาส
เหล่าคุณหนูอื่นไม่กล้ารับรองว่าสามารถพบโจวเสวียนได้ แต่คุณหนูของเจ้าภาพ การถูกผู้ใหญ่ในจวนนำไปพบไม่ใช่ปัญหา
บรรดาคุณหนูและฮูหยินในห้องโถงทางนี้ต่างมองออกไปด้วยความคิดในใจบางอย่าง เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ด้านนอกประตูดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าหลายคนกำลังวิ่งเข้ามา…มาแล้วหรือ
พ่อบ้านที่อายุมากสองสามคนวิ่งเข้ามา แต่พวกเขาไม่ได้บอกว่าท่านโหวโจวมาถึงแล้ว หากแต่ก้มกระซิบที่ข้างหูของเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง ใบหน้าของเหล่าฮูหยินที่ยิ้มแย้มก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
“เราควรทำอย่างไรดี” ฮูหยินท่านหนึ่งโพล่งขึ้น “เขาหมายความว่าอย่างไร”
หูของทุกคนในห้องโถงต่างเงี่ยขึ้น บรรยากาศผิดปกติ เกิดเรื่องใดขึ้น
ฮูหยินท่านอื่นรีบจับแขนฮูหยินท่านนั้นเอาไว้ ฮูหยินท่านนั้นรู้ตัวว่าตนเองพูดพลั้งปาก จึงรีบปิดปากไม่พูด แต่สายตาไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกได้
เสียงหัวเราะในห้องโถงเงียบลง เสียงกระซิบดังขึ้นแทน สาวใช้หลายคนของบรรดาคุณหนูและฮูหยินต่างเดินออกไป…แขกเหรื่อไม่สะดวกออกไป แต่เหล่าบ่าวรับใช้สามารถเดินออกไปได้ตามต้องการ ตระกูลฉางไม่อาจรั้งได้
เสียงโหวกเหวกข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของรถม้าจำนวนมาก ไม่นานนัก มีคุณชายที่ไม่คำนึงถึงมารยาทวิ่งเข้ามา แม้จะมองเห็นแต่หญิงสาว แต่เขาก็ไร้อารมณ์ที่จะมองหญิงงาม อีกทั้งแยกไม่ออกว่าผู้ใดเป็นคนในตระกูลของตนเอง จึงยืนเรียกพี่สาวน้องสาวอยู่หน้าประตู พี่สาวน้องสาวของเขาจึงรีบเดินไป…
“มีสารจากในจวนส่งมา ท่านยายสุขภาพไม่ค่อยดี รีบกลับกันเถิด” ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกน
พี่สาวน้องสาวของเขาตกตะลึง ทั้งที่ก่อนออกจากจวนมา ท่านยายยังกำลังกินขนมถั่วแดงอยู่ ท่านคนเดียวกินไปหนึ่งจาน อีกทั้งยังสามารถตำหนิต่อว่าลูกสะใภ้เสียงดัง เหตุใดสุขภาพจึงไม่ดีขึ้นมา
แต่นางไม่กล้าถาม หากเป็นเรื่องจริง ย่อมต้องกลับไป หากเป็นเรื่องหลอกลวง ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ ยิ่งต้องกลับไป ดังนั้นนางจึงขอตัวลาต่อบรรดาฮูหยินตระกูลฉาง
บรรดาฮูหยินและคุณหนูในโถงต่างไม่โง่ พวกนางรู้ว่ามีปัญหา ไม่นานนักบ่าวรับใช้ของพวกนางก็กลับมา กระซิบต่อนายของตนเองด้วยสีหน้าหวาดกลัว…เมื่อมีคนกระซิบจำนวนมาก เสียงจึงไม่เบานัก
“ท่านโหวโจว กำลังไล่คน เริ่มตั้งแต่ลงจากม้าแล้ว”
“อยู่ที่หน้าประตู ไล่เรียงตัว เดิมทีทุกคนกำลังจะทักทายเขา แต่เขาไม่บอกว่าอีกฝ่ายเหยียบเท้าของเข้า ก็บอกว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่เป็นมิตร ไล่ให้คนจากไปทันที มิฉะนั้นจะไม่เกรงใจ”
“อีกทั้งไม่เกรงใจจริง นายท่านตระกูลฉีวางมาดผู้ใหญ่ต่อว่าเขา สุดท้ายถูกท่านโหวโจวเตะจนล้มไป…ท่านโหวโจวด่าว่าเขาเป็นผู้ใด บังอาจสั่งสอนเขาแทนบิดา บนแผ่นดินนี้ผู้ที่สามารถสั่งสอนแทนบิดาของเขามีเพียงฮ่องเต้ นายท่านฉีคิดจะก่อกบฏหรือ”
นายท่านฉีทั้งโกรธทั้งร้อนใจ จึงเป็นลมไป คนในตระกูลของเขาพาจากไปแล้ว
ที่แท้เสียงรถม้าด้านนอก ไม่ใช่แขกเหรื่อที่หลั่งไหลเข้ามา หากแต่กำลังจากไปดุจสายน้ำ
สีหน้าของบรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างแสดงออกถึงความหวาดกลัว เวลานี้ไม่คาดหวังให้โจวเสวียนเข้ามาแล้ว หากแต่กลัวเขาบุกเข้ามา
โจวเสวียนกำลังทำสิ่งใด
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางพาเหล่านายท่านยืนอยู่ด้านนอกประตูใหญ่ มองแขกที่ลงจากม้ากลับขึ้นม้าไปใหม่ มองแขกที่กำลังเดินทางมาหันหลังกลับไป…
“เขากำลังระบายความโกรธแทนเฉินตันจูหรือ” นายท่านใหญ่ตระกูลฉางยิ้มขมขื่น
ใช่ ทุกคนต่างรู้ว่าเวลานี้โจวเสวียนมีอำนาจมาก ปฏิเสธพระราชทานงานอภิเษกสมรสจากฮ่องเต้ แต่ลืมคำเล่าลือนั้นไปแล้ว เหตุใดโจวเสวียนจึงปฏิเสธพระราชทานงานอภิเษกสมรส หลังจากปฏิเสธแล้ว เหตุใดโจวเสวียนจึงย้ายไปอยู่ในภูเขาดอกท้อของเฉินตันจู
โจวเสวียนพ่ายแพ้อยู่ภายใต้ชายกระโปรงของเฉินตันจูมานานแล้ว ไม่ต้องการแม้แต่องค์หญิง แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าปฏิเสธ
ระยะก่อน เฉินตันจูถูกเหยียดหยามในงานเลี้ยงตระกูลกู้ เขาจะอยู่เฉยได้อย่างไร!
ดู เวลานี้มาแก้แค้นแล้ว
พวกเจ้าไม่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่เฉินตันจูเข้าร่วม เช่นนี้โจวเสวียนก็ไม่ให้พวกเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงใดทั้งสิ้น!
ทุกคนบังอาจเหยียดหยามเฉินตันจู แต่กล้าเหยียดหยามโจวเสวียนหรือ ด่า? ด่าสู้เขาได้หรือ ตี? ในมือของโจวเสวียนมีกองทัพ ฟ้อง? ไม่ได้ยินที่โจวเสวียนพูดหรือ ฮ่องเต้เปรียบเหมือนบิดาของเขา…
โจวเสวียนไม่ได้ไร้ที่พึ่งเหมือนเฉินตันจู
ส่วนหน้าของตระกูลฉาง เห็นได้ชัดว่าไร้ผู้คนสนใจ ไม่นานนักนายท่านใหญ่ตระกูลฉางก็เห็นบรรดาแขกเหรื่อวิ่งออกจากจวนไปอย่างโกลาหล มีคนเดินมาขอตัวด้วยเหตุผลฟังไม่ขึ้น มีบางคนไม่แม้แต่จะบอกกล่าว เพียงพริบตาเดียว แขกเหรื่อต่างจากไป
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางและคนอื่นต่างหน้าเสีย แต่ก็หมดซึ่งหนทาน พวกเขามองกลับเข้าไปภายในจวนอย่างเหม่อลอย
ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าในจวน เวลานี้ยังหลงเหลืออยู่สองคน องครักษ์คนหนึ่งถือดาบจ้องมองคนที่เดินวนเวียนอยู่ด้านนอก โจวเสวียนที่สวมชุดปักด้ายทองลายสัตว์นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องโถง
ขาข้างหนึ่งของเขาเหยีบอยู่บนตั่ง มือหนึ่งถือผ้าเช็ดดาบประจำตัวที่หยิบออกมาจากตัว ดาบประจำตัวมีลวดลายงดงาม แต่ความคมของคมดาบนั้นวิบวับ สะท้อนใบหน้าอันรูปงามของชายหนุ่ม
“คนไปเกือบหมดแล้วหรือไม่” เขาพูด “เกือบหมดแล้วก็เปิดงานเถิด ข้าหิวแล้ว”