ตอนที่ 388 ไล่ตามแม่ฟู่เฉียง
ในขณะที่รองศาสตราจารย์ไต้กั๋วเชิ่งกำลังทำการตรวจร่างกายแม่ฟู่เฉียงเบื้องต้น เขาก็ถามหลินม่ายไปด้วยว่าแม่ฟู่เฉียงมีอาการป่วยทางจิตตั้งแต่เมื่อไร และอาการในขณะที่ป่วยเป็นอย่างไรบ้าง
หลินม่ายบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้มาจากฟู่เฉียงให้รองศาสตราจารย์ไต้กั๋วเชิ่งรับทราบ
หลังจากเขาฟังจบ ก็ออกเอกสารส่งตรวจหลายใบ ขอให้หลินม่ายพาแม่ฟู่เฉียงไปตรวจร่างกายตามลำดับ ทั้งยังบอกด้วยว่าถ้าผลการตรวจออกแล้ว ให้เธอกลับมาหาเขาอีกครั้ง
หลินม่ายถาม “ผลการตรวจจะออกภายในวันนี้หรือเปล่าคะ?”
รองศาสตราจารย์ไต้ส่ายหน้า “ยังครับ ผลน่าจะออกวันมะรืนนี้”
หลินม่ายถามด้วยความลังเล “ถึงตอนนั้นถ้าคุณหมอไม่ออกตรวจที่แผนกผู้ป่วยทั่วไปอีก ฉันควรไปพบคุณหมอได้ที่ไหนคะ?”
“มาหาผมที่คลินิกผู้ป่วยนอกเฉพาะทางสิ!”
รองศาสตราจารย์ไต้อดสงสัยไม่ได้ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเจาะจงว่าจะพบเขาแค่คนเดียวกันล่ะ
หลินม่ายยิ้ม “เรื่องนั้นฉันรู้ค่ะ แต่ถ้าฉันไม่ได้รับหมายเลขคิวเพื่อเข้ารับการรักษาที่คลินิก หล่อนจะมีโอกาสได้เข้ารับการรักษากับคุณหรือเปล่าคะ?”
สิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องเกินจริง หมายเลขคิวสำหรับคลินิกเฉพาะทางถูกกว้านซื้อมาขายต่อโดยนักเก็งกำไรที่ยอมลงทุนไปรอรับคิวตั้งแต่เช้า ดังนั้นคนธรรมดาแทบไม่มีโอกาสซื้อได้เลย
ต่อให้ตื่นขึ้นมาต่อแถวตั้งแต่กลางดึกก็ไม่มีประโยชน์
เพราะทุกคนต่างก็แย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทันทีที่ประตูโรงพยาบาลเปิด นักเก็งกำไรพวกนั้นต่างก็เบียดคนธรรมดาที่มาต่อแถวลงทะเบียนที่คลินิกเฉพาะทางตามขั้นตอนปกติ แล้วแห่กันลงทะเบียนเพื่อรับหมายเลขคิวก่อนใคร
เพื่อแลกกับความรวดเร็วที่จะได้รับ บางคนจึงยอมจ่ายเงินซื้อหมายเลขคิวหน้าคลินิกที่ถูกบวกราคาเพิ่มจากนักขูดรีดที่ว่า
รองศาสตราจารย์ไต้ยิ้มอย่างใจดี “ถ้าคุณไม่ได้รับหมายเลขคิวก็ไม่เป็นไร แค่ถือใบส่งตรวจที่ผมให้ไปติดต่อพยาบาลที่หน้าประตู พยาบาลจะอำนวยความสะดวกให้คุณเอง ในฐานะหมอ ผมก็ไม่อยากเพิกเฉยต่ออาการป่วยของคนไข้เหมือนกัน”
ในที่สุดหลินม่ายก็โล่งใจ กล่าวขอบคุณเขา แล้วพาแม่ฟู่เฉียงออกไป
ตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว เธอต้องรีบไปทำธุระต่อที่สำนักงานเขตเพื่อเชิญผอ.เขตไปเป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานไป๋เหอโถวซื่อในวันพรุ่งนี้
ถึงจะเป็นแค่โรงงานเล็ก ๆ แต่ที่ต้องไปเรียนเชิญผอ.เขต ก็เพราะกลัวว่าผอ.เขตจะรู้สึกเหมือนเธอไม่ให้เกียรติเขา
นอกจากนี้ วันพรุ่งนี้เธอยังตั้งใจว่าจะเชิญนักข่าวมาด้วย ดังนั้นการเชิญผอ.เขตจึงยิ่งจำเป็น
หลินม่ายพาแม่ฟู่เฉียงย้อนกลับไปหาฟู่เฉียงและพ่อของเขา ถามฟู่เฉียงว่ายังต้องรอคิวเข้าพบหมออีกนานแค่ไหน
ฟู่เฉียงเหลือบมองหมายเลขคิวในมือ “ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่ครับ ยังเหลืออีกเป็นร้อยคิวเลย…”
จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองผู้เป็นแม่ แล้วถามว่า “แม่ผมได้เจอหมอแล้วเหรอครับ? คุณหมอว่ายังไงบ้าง?”
“คุณหมอยังไม่ได้วินิจฉัยทันที แต่ออกเอกสารส่งตัวตรวจร่างกายเบื้องต้นให้แล้ว รอผลการตรวจออกก่อนถึงจะสามารถวินิจฉัยโรคได้”
หลินม่ายเหลือบมองนาฬิกา “เดี๋ยวฉันยังต้องไปทำธุระที่สำนักงานเขตอีก ต้องแวะซื้อเสื่อให้คุณปู่กับคุณย่าด้วย ไม่อย่างนั้นคืนนี้พวกเขาคงนอนไม่สบายตัว ตอนนี้ฉันคงยังพาแม่เธอไปตรวจร่างกายไม่ได้ แต่เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมาทันที แล้วค่อยพาแม่เธอไปตรวจร่างกายทีหลัง ดีไหม?”
เมื่อรู้ว่าหลินม่ายมีธุระยุ่งเหยิง แต่ยังอุตส่าห์สละเวลาพาครอบครัวเขามาหาหมอ ฟู่เฉียงก็ตื่นตระหนก
“คุณอา ครอบครัวเราทำให้คุณเสียเวลาแล้ว รีบกลับไปทำงานของคุณต่อเถอะครับ ยังไม่ต้องรีบร้อนพาแม่ผมไปตรวจก็ได้”
หลินม่ายไม่มีเวลาอยู่คุยกับเขาอีก กำชับให้เขาดูแลแม่ให้ดี แล้วรีบขอตัวจากไป
พอไปถึงสำนักงานเขตก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว
เมื่อเธออธิบายถึงจุดประสงค์ที่มาขอพบผอ.เขตโอวหยางในวันนี้ ผอ.เขตโอวหยางก็ตอบรับเธอด้วยความยินดี “วันพรุ่งนี้ฉันไปแน่ และจะพานักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์ไปด้วย”
หลินม่ายรู้สึกเกินคาดเล็กน้อย ตอนแรกเธอวางแผนว่าจะไปเชิญนักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์มาทำข่าวด้วยตัวเอง นึกไม่ถึงว่าผอ.เขตโอวหยางก็วางแผนแบบนั้นไว้เหมือนกัน
ถึงอย่างนั้นเธอก็กลัวว่าอาจจะเป็นการรบกวนผอ.เขตโอวหยางมากเกินไป จึงพูดว่า “ที่จริงไม่ต้องถึงขั้นเชิญนักข่าวก็ได้นะคะ”
ผอ.เขตโอวหยางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณสนับสนุนให้ผู้พิการมีงานทำ นี่ถือเป็นครั้งแรกในบรรดาบริษัทเอกชนทั้งหลาย ดังนั้นทางเขตจะต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้ดี จะไม่ให้เชิญนักข่าวมาได้ยังไง!”
หลินม่ายได้ยินเขาพูดแบบนั้นแล้ว ก็ไม่คิดจะขัดศรัทธาอีก
ในเมื่อผอ.เขตต้องการเชิญนักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเอง เธอก็ไม่ต้องไปด้วยตัวเองอีก ช่วยประหยัดเวลาไปได้มากโข
หลินม่ายยังพูดต่อด้วยว่าเธอตั้งใจจะจัดพิธีเปิดโครงการก่อสร้างสะพานต่างระดับในวันมะรืนนี้ อยากเชิญให้ผอ.เขตไปตัดริบบิ้นด้วยเหมือนกัน แต่กลัวจะเป็นการรบกวนมากเกินไป
ผอ.เขตมองหลินม่ายด้วยความประหลาดใจ ถามเสียงสูง “คุณได้รับผิดชอบโครงการพัฒนาเมืองของรัฐด้วยเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยม “คนหนุ่มสาว ต้องกล้าต่อสู้เพื่อความก้าวหน้าค่ะ!”
ผอ.เขตพยักหน้า “ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี! วันมะรืนนี้ฉันจะไปอย่างแน่นอน!”
หลังออกจากสำนักงานเขต หลินม่ายก็ตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงเพื่อซื้อเสื่อโดยไม่หยุดพัก
ตอนแรกเธออยากซื้อเสื่อไม้ไผ่ แต่พนักงานขายแนะนำให้เธอซื้อเสื่อฟางดีกว่า เพราะถึงแม้เสื่อไม้ไผ่จะมีความเย็นสบาย แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
หลินม่ายเอนเอียงตามคำโน้มน้าว ขอซื้อเสื้อฟางที่มีราคาแพงที่สุดในร้าน
หลังจากซื้อเสื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจงใจเดินผ่านหน้าร้านขายเสื้อผ้าของตัวเอง เห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านต่างก็เป็นนักเรียนหญิงชั้นมัธยมที่มากับผู้เป็นแม่
จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว ก่อนหน้านี้เธอจำได้แค่เทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติ จึงวางแผนการจัดโปรโมชันไว้มากมาย
ลืมไปสนิทว่าช่วงเปิดเทอมประมาณเดือนกันยายนของทุกปี พ่อแม่หลายคนต่างก็ออกมาจับจ่ายหาซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้กับลูกสาวที่สามารถสอบเข้าชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย เพื่อเป็นรางวัลและกำลังใจ
เธอควรคว้าโอกาสทองช่วงปิดเทอมในเดือนกันยายนไว้ เพื่อกอบโกยรายได้ให้ได้มากขึ้น
เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนที่โรงเรียนจะเปิดเทอม ไม่รู้ว่าสายเกินไปหรือเปล่าที่จะจัดโปรโมชั่นรับเปิดเทอมในตอนนี้
หลินม่ายรีบเดินห่างออกมาจากร้านเสื้อผ้า Unique แล้วตรงกลับไปที่โรงพยาบาลผู่จี้
ตอนที่เธอเดินไปหาสามคนพ่อแม่ลูก พ่อของฟู่เฉียงก็ยังไม่ถูกขานหมายเลขคิวเพื่อเข้าพบแพทย์
ฟู่เฉียงถาม “คุณอา งานของคุณเสร็จแล้วเหรอครับ?”
หลินม่ายตอบรับในลำคอ หอบเสื้อที่เพิ่งซื้อมาไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับมือแม่ฟู่เฉียงไปตรวจร่างกาย
ก่อนจะดำเนินการก็ไม่ลืมสอบถามเรื่องค่าใช้จ่าย
งานตรวจอาการทางจิตเวชแต่ละรายการมีราคาสูง แถมยังมีหลายรายการด้วยกัน เมื่อรวมคร่าว ๆ แล้ว พบว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดมากกว่าหนึ่งร้อยหยวน
หลังจากตรวจสอบค่าใช้จ่ายแล้ว พวกเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าการตรวจจะแล้วเสร็จ
หลินม่ายลากเท้าอันหนักอึ้งของตัวเอง พาแม่ฟู่เฉียงกลับไปที่ห้องตรวจอายุรกรรมแผนกผู้ป่วยนอก เห็นว่าฟู่เฉียงกับพ่อของเขาไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมแล้ว
คาดเดาว่าคงถึงคิวเข้าพบแพทย์พอดี
ตอนนี้พื้นที่สำหรับรอคิวเหลือคนอยู่ไม่มากเท่าก่อนหน้า จึงยังพอมีเก้าอี้ว่างหลงเหลืออยู่
หลินม่ายพาแม่ฟู่เฉียงไปนั่งอยู่ด้านหน้าแผนกเพื่อรอให้ฟู่เฉียงกับพ่อของเขาออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน ฟู่เฉียงก็ประคองผู้เป็นพ่อออกมาจากห้องตรวจด้วยสีหน้าเศร้าหมอง พูดกับหลินม่ายว่า “หมอไม่ได้ออกใบส่งตรวจให้ แต่แนะนำให้พ่อรักษาตัวในโรงพยาบาลทันที”
หลินม่าย “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขานอนโรงพยาบาลเถอะ จะได้ไม่ต้องกังวล”
“แต่… ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อป่วยเป็นโรคอะไร”
“โรคที่พ่อเธอป่วยอาจเป็นโรคที่รักษายาก คุณหมอก็เลยวินิจฉัยยากตามไปด้วย เพราะแบบนั้นเขาถึงต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทันที ทำตามที่หมอบอกเถอะ”
หลินม่ายตั้งท่าจะลุกขึ้นเพื่อพาพ่อฟู่เฉียงไปติดต่อนอนโรงพยาบาลแทนเขา
ฟู่เฉียงพูดขึ้นด้วยความลังเล “คุณอาฝากเงินไว้ที่ผมก็ได้ ผมจะจัดการลงทะเบียนตามขั้นตอนให้พ่อเอง คุณจะได้กลับไปทำธุระของตัวเองต่อ”
หลินม่ายนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ปล่อยให้เขาทำอะไร ๆ ด้วยตัวเองบ้างก็ดีเหมือนกัน
เพราะเธอเองก็มีงานการรัดตัว
หลินม่ายให้เงินจำนวนหนึ่งกับเขาไว้ ก่อนจะพาแม่ฟู่เฉียงกลับบ้าน
แม่ฟู่เฉียงถูกควบคุมให้อยู่นิ่ง ๆ มาตลอดทั้งช่วงบ่าย ตอนนี้หงุดหงิดมากจนทนไม่ไหว
ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล และเห็นผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่อยู่ทั่วท้องถนน หล่อนก็เลือดลมสูบฉีดขึ้นมาทันที ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดสลัดหลุดจากการจับกุมของหลินม่าย แล้วเตลิดหนีไปในที่สุด
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งไล่ตาม ระหว่างนั้นก็ตะโกนเรียกให้หยุดไปด้วย
แต่แม่ฟู่เฉียงคือคนวิกลจริต ไม่มีสติหรือสามัญสำนึก หล่อนจึงไม่เข้าใจว่าหลินม่ายกำลังตะโกนว่าอะไร
อย่างเดียวที่รู้คือตัวเองกำลังโดนไล่ตาม
ยิ่งหลินม่ายวิ่งใกล้เข้ามาแค่ไหน หล่อนก็ยิ่งวิ่งให้เร็วขึ้นเท่านั้น แถมยังหัวเราะเสียงดังอย่างนึกสนุก คิดว่าหลินม่ายกำลังวิ่งไล่จับกับตัวเอง
รอบนี้ต่อให้ตะโกนว่า “ฉันม่ายจื่อเอง!” ก็แทบไม่มีประโยชน์
หลินม่ายเดินทางไปทำธุระหลายที่ตลอดทั้งบ่าย เดิมทีก็สิ้นเรี่ยวแรงพออยู่แล้ว
ตอนนี้ยังต้องมาไล่ตามคนเสียสติอย่างแม่ฟู่เฉียงอีก ชีวิตช่างน่าอนาถจริงเชียว ในที่สุดความอดทนของเธอก็ถึงขีดจำกัด
เธอนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง จึงตะโกนไปทางคนที่เดินอยู่ข้างหน้า “ทุกคนช่วยฉันด้วยค่ะ ช่วยหยุดคนบ้าคนนั้นไว้ให้ฉันที!”
ผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาตื่นตัว รีบช่วยเธอจับตัวแม่ฟู่เฉียงที่กำลังวิ่งเตลิดไว้อย่างทันท่วงที
หลินม่ายวิ่งต่อไปด้วยความเหนื่อยหอบ ขอบคุณพลเมืองดีที่เดินผ่านไปมา กว่าจะพาแม่ฟู่เฉียงกลับบ้านได้ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
เย็นย่ำเต็มที หลินม่ายวางแผนว่าจะทำกับข้าวง่าย ๆ สักสองสามอย่าง ไม่คาดคิดว่าพอกลับถึงบ้านจะมีอาหารเย็นยกมาวางบนโต๊ะพร้อมแล้ว
กับข้าวก็มีทั้งไก่ย่างและเป็ดย่างที่ซื้อมาจากร้านค้าของรัฐ รวมถึงมะเขือเทศผัดไข่ที่ปรุงเอง ผัดมะเขือยาว ผัดผักบุ้ง และแกงจืดกุ้งแห้งสาหร่ายทะเล
หลินม่ายเดินสายทำธุระตลอดทั้งบ่าย ทั้งยังต้องไล่ตามแม่ฟู่เฉียงอยู่พักใหญ่ ๆ ตอนนี้เธอหิวจนไส้กิ่ว
ทันทีที่ฟางจั๋วหรานตักข้าวให้ เธอก็ก้มหน้าก้มตากินโดยตักเข้าปากคำโต
ฟางจั๋วหรานรู้ว่าเธอชอบกินผักบุ้งเป็นพิเศษ จึงตักผัดผักบุ้ง ผัดมะเขือยาว และมะเขือเทศผัดไข่ที่เธอโปรดปรานลงในชามให้อย่างเอาอกเอาใจ
พอข้าวตกถึงท้องแล้วหลินม่ายก็อารมณ์ดี หันไปพูดกับคุณย่าฟาง “คุณย่าคะ กับข้าวฝีมือคุณอร่อยมากเลย”
คุณย่าฟางยิ้มแป้นพลางใช้ปลายตะเกียบชี้ไปที่ฟางจั๋วหราน “จั๋วหรานเป็นคนทำกับข้าวมื้อเย็นทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง ฉันไม่ได้เข้าไปยุ่งเลย”
หลินม่ายจ้องมองฟางจั๋วหรานด้วยดวงตาที่เบิกโตอย่างเหลือเชื่อ “นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหมอจะทำอาหารออกมาได้อร่อยขนาดนี้! สงสัยต้องบันทึกสถิติใหม่แล้วล่ะ นอกจากจะทำงานนอกบ้านได้เป็นอย่างดี ยังเข้าครัวเก่งมากด้วย”
ฟางจั๋วหรานคีบเป็ดย่างชิ้นหนึ่งวางลงในชามของเธอ “อย่ามองผมด้วยสายตาเหมือนค้นพบโลกใบใหม่อย่างนั้นสิ ผมเคยบอกคุณนานแล้วว่าผมเองก็ทำอาหารเป็น แต่คุณไม่เชื่อ”
หลินม่ายต้องรื้อฟื้นความทรงจำอยู่พักใหญ่ เพราะจำไม่ได้ว่าเขาเคยพูดแบบนั้น
เธอตักมะเขือเทศผัดไข่ใส่ชามตัวเอง ก่อนจะกินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันโชคดีมากที่ได้เจอสมบัติของชาติแบบคุณ”
ฟางจั๋วหรานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “สมบัติของชาติคืออะไร?”
หลินม่ายอธิบายให้เขาฟัง
ฟางจั๋วหรานที่ปกติเป็นเสือยิ้มยาก ตอนนี้ถึงกับอดกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
หลินม่ายตักข้าวเข้าปากอีกสองคำ ถามว่า “ได้แบ่งกับข้าวไว้ให้ฟู่เฉียงกับพ่อแม่ของเขาหรือยังคะ?”
คุณย่าฟางพยักหน้า “แบ่งแล้ว”
หลินม่ายจึงจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อด้วยความโล่งใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สมัยนั้นมีซื้อคิวรักษากันด้วยเหรอเนี่ย พอ ๆ กับพวกซื้อบัตรคอนเสิร์ตศิลปินมาขายต่อในราคาแพง ๆ เลย
พี่หมอคุณสมบัติครบเครื่องมากอะ
ไหหม่า(海馬)