เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
สืออีเหนียงเป็นคนที่แบ่งแยกความดีความชั่วชัดเจนมาโดยตลอด หยางอี๋เหนียงพึ่งจะเข้าจวนมา ไม่เคยเลยที่จะละเลยการแสดงความเคารพต่อสืออีเหนียง…นางไม่เคยคิดไปถึงเรื่องนี้เลย
ตอนนี้พอได้ยินเฉียวเหลียนฝังพูดมาอย่างนี้ และพอลองนึกไปถึงที่ไปที่มาของหยางอี๋เหนียง…หรือว่าที่สืออีเหนียงมอบหมายหยางอี๋เหนียงให้ตนดูแล เพราะมีเจตนาเช่นนี้จริงๆ หรือ
เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัว ในใจของนางก็วุ่นวายสับสนไปหมด แม้แต่จะนั่งก็นั่งไม่ติดเสียด้วยซ้ำ
“ที่น้องหญิงพูดมามีเหตุผล” เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้น “กฎเกณฑ์ในจวนของเราจะสำคัญแค่ไหน ก็ไม่สู้กฎในวัง เป็นข้าเองที่ไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของฮูหยิน”
เฉียวเหลียนฝังเห็นสีหน้าท่าทีของเหวินอี๋เหนียงที่พูดไม่ตรงกับใจ ก็เม้มปากยิ้มพลางจิบชาไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลากลับ
เหวินอี๋เหนียงกลุ้มใจและกังวลเป็นอย่างมาก จึงหันไปถามชิวหงว่า “หรือว่าฮูหยินคิดจะยืมมือข้าไปจัดการหยางอี๋เหนียงจริงๆ” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความลังเลใจ
“ไม่หรอกกระมังเจ้าคะ!” ชิวหงพูดขึ้นอย่างสองจิตสองใจ “หากฮูหยินคิดจะยืมมือของใครเพื่อที่จะมาจัดการหยางอี๋เหนียงจริงๆ เหตุใดถึงต้องมอบหมายให้ท่านด้วย สู้ใช้เฉียวอี๋เหนียงไม่ดีกว่าหรือ! เวลานี้คนที่หวาดกลัวหยางอี๋เหนียงที่สุดไม่ใช่พวกเราเสียหน่อย แต่เป็นเฉียวอี๋เหนียงต่างหาก”
คำพูดประโยคเดียวปลุกคนหนึ่งคนให้ตื่นจากห้วงแห่งความฝัน
“ไม่เลวทีเดียว” เหวินอี๋เหนียงสัมผัสหน้าผากเบาๆ “ข้าเกือบจะหลงเชื่อคำพูดของเฉียวอี๋เหนียงเสียแล้ว” จากนั้นก็หันไปหยิกแก้มของชิวหงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ครั้งนี้ถือว่าเจ้าฉลาดจริงๆ”
ชิวหงลูบแก้มเบาๆ “เบาๆ หน่อยเจ้าค่ะอี๋เหนียง” จากนั้นนางก็ยู่ปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า “บ่าวไม่ฉลาดตอนไหนกัน มีก็แต่อี๋เหนียงนี่แหละ ที่ช่วงนี้เอาแต่คิดฟุ้งซ่านและสงสัยไปหมด”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วรอยยิ้มเมื่อครู่ก็จางลง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรต่อ
ชิวหงนึกว่าคำพูดที่ตนพูดนั้นแรงเกินไป เห็นท่าแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา จึงรีบเรียกนาง “อี๋เหนียง”
เหวินอี๋เหนียงจึงค่อยได้สติกลับคืนมา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็หยิกแก้มของชิวหงอีกทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ชิวหง เจ้าพูดถูก ถึงแม้ว่าจะถึงวันนั้นจริงๆ สิ่งที่ข้าพูดมาก็ล้วนเป็นเรื่องจริง ไม่ได้โป้ปดมดเท็จแต่อย่างใด จะมีอะไรให้กังวลใจกัน” ความกังวลใจที่แบกมาหลายวันถูกขจัดจนหมดไปในคราวเดียว นางหันไปสั่งกับชิวหงว่า “เจ้าไปเอาผ้าฝ้ายผืนใหญ่ที่ข้าสั่งจากอูเจิ้นมาสักผืน เราไปเยี่ยมฮูหยินกัน”
ชิวหงยิ้มพร้อมกับย่อตัวขานรับ “เจ้าค่ะ” ขณะที่กำลังจะถอยออกไปนั้น ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “อี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงมาหาเจ้าค่ะ”
“นี่มันเป็นการรวมตัวของเหล่าผู้กล้าหรืออย่างไรกัน!” เหวินอี๋เหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ได้ให้สาวใช้น้อยเชิญฉินอี๋เหนียงเข้ามา
ฉินอี๋เหนียงนำทองสิบแท่งออกมา “นี่คือเงินที่ข้าเก็บสะสมหลายปีที่ผ่านมา ตั้งใจจะให้คุณชายน้อยสอง เพื่อให้คุณชายน้อยสองเอาไปใช้จ่ายที่เล่ออาน ต้องไปลำบากถึงที่โน่น มีเงินติดตัวไว้ จะฝากฝังใครก็ง่ายขึ้นมาหน่อย อี๋เหนียงช่วยข้าแลกเป็นตั๋วเงินด้วยเถิด!”
ที่ผ่านมาเหวินอี๋เหนียงมักจะช่วยเหล่าสตรีในจวนแลกทองแท่งเป็นตั๋วเงินอยู่เสมอ แต่แค่ไม่เคยแลกทองจำนวนเยอะขนาดนี้ในคราวเดียวมาก่อน
เหวินอี๋เหนียงจึงค่อนข้างรู้สึกอึ้ง แต่แล้วสุดท้ายนางก็ยิ้มพร้อมกับตอบตกลง
ฉินอี๋เหนียงกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นขอตัวลากลับ
หลังจากที่เดินกลับไปถึงเรือนของตนแล้ว ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาเห็นทางเดินของเรือนแถวส่วนหลังที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังเรือนของเรือนหลัก นางก็ได้ชะงักฝีเท้าลง และยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้สั่งกับชุ่ยเอ๋อร์ว่า “เราไปเยี่ยมเรือนของหยางอี๋เหนียงสักหน่อย ถือโอกาสไปทานอาหารเที่ยงพร้อมกับนางเลย คุณชายสามและฮูหยินสามไม่อยู่เรือน นางก็ถือว่าอิสระแล้ว สามารถใช้ห้องครัวเล็กได้ตามอำเภอใจ อยากทานอะไรก็สั่งให้ทำได้เต็มที่!” พูดจบ ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ชุ่ยเอ๋อร์เห็นว่าอารมณ์ของฉินอี๋เหนียงดีขึ้นมากแล้ว นางจึงยิ้มพร้อมกับรีบขานรับทันที จากนั้นก็ได้ไปหาหยางอี๋เหนียงที่เรือนของคุณชายสามพร้อมกับฉินอี๋เหนียง
*****
จี้หนิงเห็นว่านี่ก็ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว จึงได้ลุกขึ้นขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงจึงสั่งให้หู่พั่วออกไปส่งนาง จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้ชายเข้ามาเรียนว่า “ฮูหยิน ท่านโหวให้มาเรียนว่าเที่ยงนี้จะทานข้าวที่ลานนอก ไม่ได้กลับมาขอรับ”
สืออีเหนียงจึงพยักหน้ารับรู้เบาๆ แล้วจึงค่อยไปทานอาหารเที่ยงที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ขากลับหู่พั่วก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ไต้ซือจี้หนิงไม่ได้แวะที่อื่นเจ้าค่ะ ออกจากจวนก็ตรงกลับวัดเลย หยางอี๋เหนียงเองก็ไม่ได้ออกจากเรือนเลย นางนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในเรือนเจ้าค่ะ”
เป็นเช่นนี้ก็ดี!
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยและกำลังจะนอนพักผ่อนช่วงบ่าย สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาถึงพอดี
คงจะมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน เพราะปกติแล้วการที่หม่าจั่วเหวินมาหานั้น หากว่าไม่ต้องเข้าเวร เขาก็มักจะมานั่งเสวนากับสวีลิ่งอี๋ในเรือนอยู่เสมอ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะอยู่คุยกันทั้งบ่ายก็ว่าได้ การมาช่วงเช้าและกลับทันทีหลังจากที่ทานอาหารเสร็จเช่นนี้แทบจะไม่เคยมีเสียด้วยซ้ำ!
สืออีเหนียงช่วยเขาเปลี่ยนชุดพลางถามเขาว่า “เหตุใดวันนี้ใต้เท้าหม่าจึงกลับเร็วเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋จึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “เขาลาออกจากตำแหน่งขุนนางที่กว่างตงและกำลังจะเดินทางเร็วๆ นี้ ก็เลยตั้งใจมาลาข้าโดยเฉพาะ ช่วงเย็นยังมีที่อื่นที่ต้องไป!”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
คนที่เคยเป็นถึงราชเลขาของฝ่าบาทแล้วมาลาออก บางครั้งก็เป็นการฝึกฝนตนอย่างหนึ่ง แต่บางครั้งก็ถือเป็นการเปลี่ยนถิ่นฐาน แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของสวีลิ่งอี๋แล้ว ดูท่าคงจะไม่ใช่เรื่องแย่ นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนี้ก็แสดงว่าใต้เท้าหม่าจะไปเป็นราชทูตประจำเขตชายแดนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“มีเรื่องง่ายอย่างนี้เสียที่ไหนกัน” สวีลิ่งอี๋หย่อนตัวนั่งลงบนเตียง “ฝ่าบาททรงประสงค์ให้เขาไปตรวจสอบระบบศุลกากรของทางกว่างตง หากรับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลแล้ว การทำทุกอย่างให้ดีย่อมเป็นหน้าที่ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว แต่หากทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เกรงว่าต้องอยู่ที่กว่างตงอย่าหวังว่าจะได้กลับมา” จากนั้นก็ได้เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน เขาได้ถามสืออีเหนียงว่า “กำลังจะเตรียมตัวนอนพักผ่อนช่วงกลางวันหรือ”
สืออีเหนียงพยักหน้าตอบเบาๆ
สวีลิ่งอี๋จึงยิ้มพร้อมกับถอดรองเท้าออก “พอดีเลย ข้าเองก็จะนอนพักเหมือนกัน”
สืออีเหนียงจึงปรนนิบัติเขานอน จากนั้นก็เตรียมตัวจะไปนอนพักที่เตียงเตา แต่จู่ๆ ก็ถูกสวีลิ่งอี๋กอดจากทางด้านหลัง “เจ้านอนเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
สาวใช้ในห้องจึงพากันทยอยถอยออกจากห้องชั้นในไปอย่างเบามือเบาเท้า
ใบหน้าของสืออีเหนียงพลันแดงก่ำขึ้นมา “ท่านโหวอย่าแกล้งข้าเล่นเลย!”
“ข้าแกล้งเจ้าเล่นตรงไหนกัน!” ลมหายใจที่เป่าโดนใบหูของนาง “ภรรยาต้องยึดสามีเป็นหลัก ข้าจะให้เจ้าปรนนิบัติข้างกายตอนข้านอนพักกลางวันไม่ได้หรืออย่างไรกัน”
สืออีเหนียงฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าของเขาแล้ว ก็รู้ว่าเขาตั้งใจจะแกล้งตนเล่น จึงคิดอยากจะแกล้งเขากลับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าก็อยู่ปรนนิบัติท่านโหวที่นี่ก็แล้วกัน!” พูดจบนางก็พยายามจะดิ้นให้หลุด แต่ใครจะไปรู้ว่าจะสามารถสะบัดให้หลุดได้ในคราวเดียว
นางอึ้งไปชั่วขณะ แต่แล้วท่านโหวผู้นั้นก็ได้เอนตัวลงนอนเหยียดขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นวดขาให้ข้าหน่อย!”
สืออีเหนียงจึงหัวเราะออกมาด้วยความตลก แล้วลงมือช่วยเขานวดขา
แต่สวีลิ่งอี๋กลับเดี๋ยวก็ปวดหลัง เดี๋ยวก็ปวดไหล่ แกล้งสืออีเหนียงจนนางหัวหมุนไปหมด
ในตอนแรกสืออีเหนียงอดทนเล่นกับเขาด้วย เพียงแต่ว่าร่างกายของเขาแน่นและกำยำมาก ส่วนนางนั้นก็แรงน้อย นวดไปครู่เดียวก็เหนื่อยจนหายใจหอบ สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็ดันนางไปที่เตียง “มานี่สิ ข้านวดให้เจ้าด้วย!” แต่แรงที่เขาใช้นั้นเยอะเกินไป นวดไปแค่สองสามที อีกคนก็ร้องเจ็บขึ้นมา สวีลิ่งอี๋จึงหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ จากนั้นก็เบาแรงลงกลายเป็นลูบคลึงแทน…
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงทั้งอายทั้งฉุน
“รู้แล้ว รู้แล้ว” สวีลิ่งอี๋ชอบแกล้งนางเล่นเป็นที่สุด หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้ากำลังคิดว่าสองสามวันนี้ท่านอาสองและท่านอาสามคงจะกลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวงแล้ว เจ้าหาเวลาว่างแวะไปที่ตรอกเหล่าจวินถังและตรอกเฉียนถังเสียหน่อย ถามท่านอาทั้งสองว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ถึงเวลานั้นข้าจะได้คิดวางแผนถูก”
สืออีเหนียงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
นายท่านสองและนายท่านสามปลดประจำการร่วมสามปี ตามหลักแล้วจะต้องกลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวง เพื่อที่จะรอทางการเรียกตัวไปรับตำแหน่งใหม่อีกครั้ง
“ตอนเย็นข้าจะส่งคนเข้าไปดูเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเขินจนเหงื่อตก “ถึงเวลาข้าค่อยแจ้งท่านโหวอีกที”
“ก็ไม่ได้รีบร้อนถึงขนาดนั้น” สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลงมามองสืออีเหนียง “ข้าได้สั่งให้พ่อบ้านไปแจ้งทางนั้นแล้ว ว่าหากมีข่าวคราวอะไรก็ให้ส่งคนมาบอก เพียงแต่ว่ามีบางคำพูดที่ไม่สะดวกจะถามตรงๆ…”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” สืออีเหนียงขานรับพลางมองตามสายตาของสวีลิ่งอี๋ ก็เห็นว่าคอเสื้อของตนได้ถูกปลดออก เผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาเต็มตา แต่พอกำลังจะปิดคอเสื้อ ปลายเนินอกก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา นางถูกสวีลิ่งอี๋คาบยอดเนินอกไว้แล้ว…
*****
สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ก็แค่รบกวนจนสืออีเหนียงไม่เป็นอันนอนพักช่วงกลางวันเลย กำลังเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าและน่าง่วงเหงาหาวนอนที่สุดของฤดูใบไม้ผลิ ตอนเย็นไท่ฮูหยินก็ได้ให้คนมาเรียกสืออีเหนียงไปปรึกษาหารือเรื่องของขวัญวันแต่งงานที่จะให้หลินหมิงหย่วน สวีลิ่งอี๋จึงนอนหลับต่อ ส่วนสืออีเหนียงก็ได้ไปล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ตกกลางคืนมาสืออีเหนียงก็เอาแต่หันหลังไม่สนใจเขา จนสวีลิ่งอี๋ยอมรับปากว่าเวลากลางวันจะไม่แกล้งแบบนี้อีกแล้ว ใบหน้าที่เง้างอนจึงค่อยคลายลง สวีลิ่งอี๋จึงกอดนางแน่นพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง รู้สึกว่าชีวิตผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน
เมื่อถึงวันที่สิบเจ็ดเดือนสาม นอกจากสั่งชุดเข้าสอบจอหงวนจากหอชุนซีแล้ว ก็ยังคงส่งพู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึกให้กับเฉียนหมิงดังเดิม
หลังจากที่รอเฉียนหมิงออกจากสนามสอบแล้ว นายท่านสองและนายท่านสามสกุลหลัวก็ได้เดินทางมาถึงในเมืองหลวงตามหลังกันมาติดๆ เมื่อคนในบ้านได้รวมตัวกันก็ย่อมต้องสังสรรค์กันเป็นธรรมดา แต่เพราะสืออีเหนียงกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงเลือกที่จะกลับไปเยี่ยมที่ตรอกเหล่าจวินถังและตรอกเฉียนถังแทน
นายหญิงสองสกุลหลัวดูสมบูรณ์ขึ้นมาไม่น้อย เมื่อเห็นสืออีเหนียงก็ดีใจเป็นอย่างมาก คะยั้นคะยอให้นำลูกพุทราใหญ่และเออร์เจียวกลับไปด้วยเยอะๆ “…ยังดีที่ชีเหนียงเจอกับท่านโหว และเจ้าเองก็เป็นคนที่รู้จักคิดรอบคอบมาโดยตลอด มิเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะแจ้งกับทางสกุลจูว่าอย่างไรดี”
“เพราะฮูหยินของพี่หญิงเจ็ดเป็นคนดี” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยความเกรงใจ “และเป็นเพราะท่านอาสะใภ้สองเลือกลูกเขยได้ดี พี่หญิงเจ็ดเองก็เป็นคนที่มีวาสนาดีด้วย”
นายหญิงสองสกุลหลัวได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเศร้าใจออกมา “หากว่าสามารถมีลูกสักคนก็คงจะสมบูรณ์แบบไม่น้อย”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ลังเลไปครู่หนึ่ง “ยังไม่มีข่าวคราวเลยหรือเจ้าคะ”
นายหญิงสองสกุลหลัวส่ายหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงนึกถึงคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ที่นายหญิงสองสกุลหลัวพูดขึ้น…แล้วใต้หล้านี้มีสิ่งไหนที่สมบูรณ์แบบบ้างหรือ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
คุณนายสามสกุลหลัวได้นำว่าวจุฬาใหญ่เข้ามาอยู่จำนวนหนึ่ง “…นำกลับมาจากเหวยฟัง คุณหนูสิบเอ็ดเอากลับไปให้เด็กๆ ที่จวนเล่นกันเถิด”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ตอนนี้ที่ตนกำลังเศร้าใจอยู่ก็เพราะเรื่องเด็กๆ คุณนายสามสกุลหลัวก็ยังจะพูดถึงเรื่องว่าวจุฬาขึ้นมา บุตรเขยทั้งสองคนของบ้านนายท่านสองเป็นคนที่ฉลาดหัวไวและมีความสามารถ แต่กลับมีบุตรชายที่หัวอ่อนเช่นหลัวเจิ้นต๋า ไม่เพียงเท่านั้น คุณนายสามสกุลหลัวเองก็ฉลาดสู้คุณนายสี่สกุลหลัวไม่ได้อีกด้วย…
ในใจนางกำลังครุ่นคิด แต่ก็รับว่าวจุฬามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม และยังได้ชมว่าวจุฬาว่าสวยงามอะไรจำพวกนี้อยู่ครู่หนึ่ง
นายหญิงสองสกุลหลัวพลันนึกถึงคำพูดของซื่อเหนียงบุตรีของนางที่เคยเตือนนางว่า ‘…หากน้องหญิงสิบเอ็ดเป็นฮูหยินของจวนหย่งผิงโหวแล้ว ท่านก็อย่าได้มองนางเป็นคุณหนูสิบเอ็ดคนเดิมอีก ท่านเองควรต้องมีความลับบ้างถึงจะถูก เนื่องจากทุกวันนี้อี๋ชิงที่ด้อยซึ่งประสบการณ์ แวดวงคับแคบไม่กว้างขวาง ถึงเวลานั้นเกรงว่าอนาคตของท่านพ่ออาจจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากท่านโหวด้วย’
ถึงแม้ว่าตอนนั้นในใจของนางจะท่วมท้นไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่พอมาตอนนี้ก็เห็นว่าบนศีรษะของสืออีเหนียงนั้นได้ปักปิ่นที่ฝังด้วยหยก บนร่างกายก็สวมชุดเป้ยจื่อแบบใหม่ลายดอกบัวสีน้ำเงินอมเขียว ใบหน้ามีเลือดฝาดแลดูสุขภาพดี สีหน้าท่าทีดูสบายใจไร้ซึ่งความกังวล ไม่หลงเหลือความระมัดระวังและความหวาดระแวงที่กลัวไปเสียทุกอย่างเหมือนเช่นเมื่อก่อน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามคำพูดที่บุตรสาวของนางเคยพูดไว้ นางจึงสลัดเรื่องของชีเหนียงออกจากไป จากนั้นก็ได้ตั้งอกตั้งใจพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงถือโอกาสนี้บอกกล่าวจุดประสงค์ที่ตนมาในวันนี้ให้กับนางฟัง
นายหญิงสองสกุลหลัวได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด “รอข้าถามความคิดเห็นจากนายท่านเรียบร้อยแล้ว ข้าจะรีบส่งข่าวให้คุณหนูสิบเอ็ดทันที”
สืออีเหนียงนึกถึงเมื่อก่อน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังตรอกเฉียนถังต่อ
ตั้งแต่บิดาลาออกจากงานในราชสำนักและย้ายถิ่นฐานกลับไปยังบ้านเกิดแล้ว นายหญิงสามสกุลหลัวก็ได้เห็นถึงจิตใจผู้คนเยอะแยะมากมาย จึงกลายเป็นคนที่อบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบเข้ามากุมมือของสืออีเหนียงพลางหันไปสั่งกับป้ารับใช้ว่า “…ไปจัดเตรียมผักดองอย่างละไหให้คุณหนูสิบเอ็ดเอากลับไปด้วย”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ได้พากันนั่งลงพูดคุยและถามไถ่ถึงเรื่องหลัวเจิ้นไคกับหลัวเจิ้นอวี้ขึ้นมา