นายหญิงสามสกุลหลัวได้ยินแล้วก็น้ำตาคลอ “ข้าเองก็ไม่ได้เจอมาสองปีแล้ว ในจดหมายท่านพ่อและพี่ชายเขียนมาบอกว่าสบายดี” พูดจบก็เช็ดน้ำตาแล้วจับมือของสืออีเหนียงมากุมไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินจากอาสามของเจ้าแล้ว ตอนนี้พระราชโอรสคนโตถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ถึงแม้ว่าท่านโหวจะถอยออกห่างจากราชสำนัก แต่เหล่าขุนนางทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างก็ไม่มีใครกล้าที่จะดูหมิ่นดูแคลนเขาเลย ข้าจึงมีเรื่องจะขอร้องให้เจ้าช่วย ช่วยให้อาสามของเจ้าได้รับตำแหน่งที่ซานซีที เช่นนี้ข้าและเจิ้นไคกับเจิ้นอวี้จะได้อยู่ใกล้กันยิ่งขึ้น ไม่ต้องคอยเป็นห่วงและกังวลใจจนเกินไป”
ที่สืออีเหนียงมาก็ตั้งใจจะมาพูดเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่สามารถรับปากได้อย่างเต็มที่ก็เท่านั้น “…ที่ท่านโหวให้ข้ามา ก็เพื่อมาถามเรื่องนี้ สิ่งไหนที่สามารถช่วยเหลือได้ ก็จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน”
นายหญิงสามสกุลหลัวจึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยปากชวนให้สืออีเหนียงอยู่ทานอาหารค่ำด้วยกันก่อน จึงค่อยให้นางเดินทางกลับจวน
สวีลิ่งอี๋ทราบเรื่องแล้วก็เพียงแค่พยักหน้ารับรู้
ผ่านไปสองสามวันนายท่านสามสกุลหลัวก็ถูกส่งไปรับตำแหน่งขุนนางข้าหลวงที่ต้าถงเมืองซานซี ส่วนนายท่านสองสกุลหลัวได้รับตำแหน่งหน้าที่อยู่ที่ซานตงเหมือนเดิม
พอถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนสาม ก็ได้ส่งคนไปตรวจดูรายชื่อแต่เช้ามืด พ่อบ้านก็ได้กลับมารายงานว่า “ไม่เห็นชื่อของนายท่านเฉียนหมิงขอรับ”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้ง
แต่ก็ยังคงไม่มีชื่อของเฉียนหมิงอยู่ดี
เขาเงียบงันไปครู่ใหญ่ แล้วจึงค่อยตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับสืออีเหนียงด้วยตนเอง
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะคาดการณ์ผลลัพธ์ไว้อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างกลับตั้งอยู่บนเหตุผลและน้ำใจ เป็นห่วงก็แต่ว่าภายภาคหน้าเขาจะทำอย่างไร จะอยู่ที่สำนักศึกษาเช่นนี้ตลอดทั้งชีวิตก็คงจะเป็นไปไม่ได้ และถึงแม้ว่าเขาคิดจะอยู่จริงๆ แต่ที่สำนักศึกษาก็มีกฎเกณฑ์ชัดเจน
“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปดูเขาเสียหน่อย” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูว่าเขาวางแผนไว้อย่างไรบ้าง” เขานึกถึงเรื่องที่ครั้งหนึ่งเฉียนหมิงเคยเกือบได้รับ ‘เงินกำไร’ ก้อนใหญ่ผ่านฟั่นเหวยกัง เงินก้อนใหญ่ที่เพียงพอจะสามารถช่วยให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินรวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้เป็นเวลานับสิบปี “ฐานะทางบ้านของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เข้าไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย”
สืออีเหนียงไม่ได้เห็นด้วยเสียทั้งหมด แต่นี่ก็คืออีกหนึ่งในสาเหตุใหญ่เหมือนกัน เพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีเท่าไรถึงได้ต้องการจะคบหาเพื่อนฝูงที่สามารถเปลี่ยนดวงชะตาของตนได้ แต่กลับลืมไปว่าการสอบเคอจวี่ถึงจะเป็นหน้าที่ของตนที่ต้องทำ หากไม่มีเวทีนี้ ต่อให้ขยันสักแค่ไหน สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่สหายสุราเท่านั้น คนที่ให้ความสำคัญกับตำแหน่งและอำนาจเช่นเขา คำพูดของสวีลิ่งอี๋แค่คำเดียวนั้นมีน้ำหนักกว่าคำพูดของผู้อื่นเป็นไหนๆ
“ท่านโหวไปโน้มน้าวเขาเสียหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ตั้งใจทุ่มเทให้กับการเล่าเรียนถึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง”
สวีลิ่งอี๋จึงได้ให้พ่อบ้านส่งเทียบเชิญไปที่ตรอกซื่อเซี่ยง เชื้อเชิญเฉียนหมิงมาทานอาหารเที่ยงที่หอชุนซีกับเขา หลังจากที่ส่งเทียบเชิญเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านก็ได้ย้อนกลับมารายงานว่า “นายท่านเฉียนบอกว่าเขาจะไปถึงที่นั่นแต่เช้าขอรับ” สวีลิ่งอี๋จึงได้เปลี่ยนชุดจากนั้นก็ไปยังหอชุนซี ตกดึกถึงเพิ่งจะกลับมา เขาดื่มสุราไปประมาณหนึ่ง
“…ก็ยังมีอาการหดหู่อยู่เล็กน้อย พอดื่มสุราเข้าไปก็พูดความในใจออกมาตามประสา สภาพจิตใจก็ดีขึ้นมาหน่อย” เขากางแขนออกทั้งสองข้างเพื่อให้สืออีเหนียงช่วยเปลี่ยนชุด “ตอนที่กำลังจะลุกกลับ อี๋ชิงก็มาหาเขาพอดี เขาเองก็ให้คนไปตรวจดูรายชื่อตั้งแต่เช้าตรู่ พอรู้ว่าไม่มีชื่อของเฉียนหมิง ก็เลยตั้งใจมาดูเฉียนหมิงโดยเฉพาะ พวกเขาก็เลยเพิ่มอาหารไปอีกสองสามอย่าง แล้วจึงดื่มต่อจนถึงตอนนี้!”
สาวใช้น้อยก็ได้ยกน้ำแกงสร่างเมาเข้ามาให้
สวีลิ่งอี๋ยกดื่มรวดเดียวจนหมด จึงรู้สึกดีขึ้นมาก เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตา ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “วันนี้คำพูดที่อี๋ชิงพูดออกมานั้นจริงใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าพูดตรงจนเกินไป ข้ากลัวว่าวันข้างหน้าคำพูดเหล่านี้จะกลายเป็นปมในใจของเฉียนหมิง”
“พูดอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงนั่งลงฝั่งตรงข้ามของสวีลิ่งอี๋
“โน้มน้าวให้เขาเพลาๆ เรื่องคบค้าสมาคมบ้าง ใส่ใจกับการเล่าเรียนให้มากขึ้นกว่านี้ ยังยกตัวอย่างตั้งหลายตัวอย่างอีกด้วย…” สวีลิ่งอี๋เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงรู้สึกประทับใจในตัวพี่เขยสี่คนนี้ขึ้นมาเป็นเท่าตัวทันที นางนึกถึงการกระทำเวลาปกติทั่วไปของอวี๋อี๋ชิงขึ้นมา “พี่เขยสี่สามารถได้รับการชื่นชมจากฝ่าบาทได้ แสดงว่าจะต้องเป็นคนที่มีไมตรีจิตและรอบรู้กว้างขวางอย่างแน่นอน เขาจะไม่รู้ว่าคำพูดไหนควรพูดหรือไม่ควรพูดได้อย่างไรกัน เกรงว่าคงจะเป็นเพราะรักมาก จึงคาดหวังมากเช่นเดียวกัน เลยไม่ได้มองพี่เขยเป็นคนนอก”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “อี๋ชิงเป็นคนที่ควรค่าแก่การคบหา!”
สำหรับสวีลิ่งอี๋แล้ว นี่ถือว่าเป็นการประเมินค่าที่สูงมากทีเดียว
เขาก็ได้พูดถึงเรื่องนายท่านสองสกุลหลัวและนายท่านสามสกุลหลัวขึ้นมา “…เห็นว่าท่านอาสองจะเดินทางพรุ่งนี้และท่านอาสามก็จะเดินทางวันมะรืนนี้แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไปส่งพวกเขาพร้อมข้าก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงขานรับ จากนั้นทั้งสองก็ได้พากันนอนพักผ่อน
ท่ามกลางความมืดมิด ก็มีเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความเขินอายของสืออีเหนียง “ข้ากำลังเป็นระดูอยู่เจ้าค่ะ!”
“เป็นอีกแล้วหรือ!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นเสียงเบา น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความผิดหวังเล็กน้อย แต่แล้วจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดีใจขึ้นมา “เหมือนว่าจะมาตรงกับเดือนที่แล้ว”
“เจ้าค่ะ!” มือที่ใหญ่และอบอุ่นของเขาคอยลูบแผ่นหลังของสืออีเหนียงด้วยความอ่อนโยน พลอยทำให้สืออีเหนียงเคลิ้มจนแทบจะหลับไป “เดือนนี้ตรงแล้วเจ้าค่ะ”
“แสดงว่ายานี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว” สวีลิ่งอี๋หอมแก้มของนางเบาๆ “วันข้างหน้าเจ้าอย่าลืมทานยาล่ะ!”
“ข้าทานทุกวันเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเริ่มง่วงนอนและกำลังจะเคลิ้มหลับ “ตอนนี้แม้แต่กระดูกของข้าก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นยาตัวนี้!” น้ำเสียงปนความไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำเสียงที่ออดอ้อนเสียมากกว่า
“จริงหรือ!” สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็กอดนางแนบแน่นยิ่งขึ้น “ไหนข้าลองดมดูซิ ว่ากระดูกของเจ้าได้กลิ่นยาจริงหรือไม่!” เขารู้สึกถึงเพียงแค่ร่างกายที่นุ่มนิ่ม ทั้งบางและอ่อนแอ้น เกรงว่าหากออกแรงกอดรัดมากกว่านี้ ร่างบางๆ นี้คงจะแหลกเป็นแน่แท้ แต่ก็ทำใจปล่อยไม่ลงอยู่ดี
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินน้ำเสียงที่หยอกเย้าเคล้าทะเล้นของเขา ก็หายง่วงไปกว่าครึ่ง
ชายชาตรีมีนิสัยเช่นนี้ทุกคนหรือไม่นะ คนสุขุมนิ่งสงบเช่นสวีลิ่งอี๋บางครั้งก็ซุกซนราวกับเด็กผู้ชายอย่างไรอย่างนั้น ชอบแกล้งจนนางร้องหรือหัวเราะจึงค่อยยอมรามือ
“ข้าจะนอนแล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เง้างอน “พรุ่งนี้ยังต้องไปปรึกษาหารือเรื่องวันแปดค่ำเดือนสี่กับท่านแม่อีก!”
ช่วงนี้สืออีเหนียงไม่ได้นอนหลับสนิทมาหลายคืนแล้ว เวลาที่ใช้นอนพักช่วงกลางวันยิ่งอยู่ก็ยิ่งน้อยลง เขาเองก็ไม่อยากให้นางเหนื่อยเช่นนี้
“อืม!” สวีลิ่งอี๋ลูบศีรษะของนางเบาๆ “รีบนอนเถิด!”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
วันนี้เขาเป็นอะไรไปนะ ไม่เพียงแต่จะไม่แกล้งจนตนไม่เป็นอันจะนอนอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่กลับกอดตนไว้และโอ๋ราวกับว่าตนเป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
แต่นางไม่ได้เป็นคนที่จะปฏิเสธต่อความโชคดี และไม่ใช่คนที่ชอบขุดคุ้ยความเป็นจริงจนไปถึงรากถึงโคน นางจึงหลับตาลงและค่อยๆ หลับไป
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นนางหายใจสม่ำเสมอแล้ว จึงยิ้มพร้อมกับก้มลงมาหอมหน้าผากของสืออีเหนียงเบาๆ แล้วจึงค่อยหลับตามนางไป
*****
วันถัดมาก็ได้ไปปรึกษาหารือถึงเรื่องวันค่ำแปดเดือนสี่กับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินยังคงตั้งใจจะไปที่วัดเย่าหวังเหมือนเดิม “…ลาภยศบรรดาศักดิ์มากมาย สำหรับข้า ข้าได้ปลงหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขต่างหาก”
กราบไหว้พระพุทธเจ้าก็เพื่อที่จะขอความสงบร่มเย็นเป็นสุข สืออีเหนียงรู้สึกว่าจะเป็นที่ไหนก็เหมือนกัน ขอเพียงแค่ไท่ฮูหยินรู้สึกว่าดีก็เพียงพอแล้ว
สืออีเหนียงจึงได้ให้หู่พั่วนำป้ายคู่ไปหาพ่อบ้านไป๋ที่ลานนอก เพื่อให้พ่อบ้านไป๋จัดเตรียมข้าวของสัมภาระรวมไปถึงรถม้าที่จะใช้ในการเดินทาง
ฮูหยินห้าก็มาถึงพอดี
เหล่าบรรดาสะใภ้ต่างกล่าวทักทายซึ่งกันและกัน ฮูหยินห้าคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป สืออีเหนียงเห็นแล้วจึงขอตัวลากลับก่อน
ฮูหยินห้าจึงค่อยพูดขึ้นว่า “เมื่อวานนี้คุณนายใหญ่สกุลหลินบอกว่าหมิงหย่วนจะเริ่มเก็บตัวอยู่เรือนก่อนแต่งงานแล้ว ท่านว่าเรื่องนี้…”
นางและหมิงหย่วนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คาดว่าทางจวนสกุลหลินไม่ได้เอ่ยปากเอง จึงให้นางมาช่วยบอกกล่าวโดยเฉพาะ
“ข้าจะช่วยบอกสืออีเหนียงเอง” ไท่ฮูหยินไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากใจแต่อย่างใด “นางไม่ใช่เป็นคนที่ไร้เหตุผลหรือเป็นคนแล้งน้ำใจ” พอตกกลางคืนก็ได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับสืออีเหนียงว่า “การถือเรื่องเก็บตัวก่อนแต่งงานของหมิงหย่วนค่อนข้างเคร่งครัด” สืออีเหนียงก็เข้าใจได้ในทันที นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะอยู่จวนดูแลเด็กๆ เองเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก สิ่งที่คุณนายใหญ่สกุลหลินมอบหมายมาก็ถือว่าสำเร็จลุล่วง เมื่อถึงวันค่ำแปดเดือนสี่ก็ได้เดินทางไปที่จวนสกุลเวยหย่วนโหวเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน
พอสวีซื่อจุนรู้เรื่องเข้าก็ได้เขียนรายการอาหารที่อยากทานให้กับสืออีเหนียง “ท่านแม่ ข้าอยากกินของเหล่านี้ขอรับ!”
สืออีเหนียงอ่านดูคร่าวๆ แล้วก็เห็นว่าหนึ่งในรายการมีเนื้อกวางย่างด้วย จึงท้วงไปว่า “อันนี้ไม่ได้! ทานแล้วจะร้อนในเอาได้ อีกทั้งยังไม่ใช่ฤดูที่จะทานมัน! ถ้าอยากทานจริงๆ รอให้ถึงฤดูหนาวก่อน แล้วข้าค่อยทำให้เจ้าทาน”
สวีซื่อจุนก็ทำปากจู๋พลางดึงชายเสื้อของนางด้วยสีหน้าออดอ้อน
แต่สีหน้าท่าทีของสืออีเหนียงยังคงหนักแน่นเหมือนเดิม ไม่หาเหตุผลมาอธิบายหรือปลอบเขาแม้แต่คำเดียว
เขาไม่ใช่เด็กสามสี่ขวบแล้ว สิ่งไหนสมควรหรือไม่สมควรนั้นเขาควรจะเข้าใจ
แต่เฉียวเหลียนฝังที่มาคารวะสืออีเหนียงกลับพูดขึ้นว่า “คุณชายน้อยสี่ ที่ฮูหยินทำไปก็เพราะหวังดีกับท่าน หากท่านทานแล้วเกิดไม่สบายขึ้นมา พวกข้าจะไปรับผิดชอบไหวได้อย่างไรกัน”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้างอนทำแก้มป่อง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
ฉินอี๋เหนียงที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็ช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง “คุณชายน้อยสี่ ฮูหยินก็คือมารดาของท่าน และยังเป็นน้าหญิงของท่านด้วย ไม่มีทางทำร้ายท่านอย่างแน่นอน ที่นางทำเช่นนี้ ก็เพราะหวังดีต่อท่าน ท่านต้องเชื่อฟังและเป็นเด็กดีถึงจะถูก มิเช่นนั้นก็รอไท่ฮูหยินกลับมาแล้ว ค่อยลองถามท่านดูอีกทีว่าทานได้หรือไม่”
แน่นอนว่าสวีซื่อจุนรู้อยู่แล้วว่าทานไม่ได้
ก็เพราะทุกคนไม่ยอมให้เขาทาน เขาจึงอยากทานมากเป็นพิเศษ ตอนแรกก็เพราะเห็นว่ามารดานั้นรักและเอาใจตนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านย่าก็ไม่ได้อยู่จวน ตนจึงได้ลองอ้อนดู ไม่แน่อาจจะได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อกวางย่างว่าเป็นอย่างไร ใครจะไปนึกว่ามารดาไม่เพียงแต่จะไม่อนุญาต แต่ยังหนักแน่นเป็นอย่างมาก…
เหวินอี๋เหนียงก็ได้ออกมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์อีกแรง “ข้าว่าทำพรุ่งนี้ดีกว่า เนื้อกวางไม่เหมือนกับเนื้อเป็ด เนื้อไก่หรือเนื้อแพะ อาหารที่ห้องอุโมงค์น้ำแข็งเก็บตุนไว้ อยากทานอะไรก็ได้ทานได้หมด”
สวีซื่อจุนยังคงไม่ดีใจเหมือนเดิม
หยางอี๋เหนียงที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรตั้งแต่ตอนต้น จู่ๆ ก็อุทานขึ้นมา “เอ๋! คุณชายน้อยสี่ เวลาไม่เช้าแล้ว หากตอนนี้ท่านยังไม่รีบไปที่เรือนซวงฝู เกรงว่าคงจะไม่ทันเป็นแน่แท้!”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้ว มีหรือจะยังสนใจเรื่องเนื้อกวางอีก เขารีบหันไปคว้ามือของสวีซื่อเจี้ยพร้อมกับวิ่งออกไปด้านนอกด้วยความรวดเร็ว “ท่านแม่ พวกข้าไปเรียนก่อนนะขอรับ!”
สาวใช้และป้ารับใช้ที่ติดตามทั้งคู่ก็รีบวิ่งตามหลังพวกเขาไปติดๆ
บรรยากาศในเรือนจึงเงียบลงในที่สุด
สายตาของทุกคนในห้องล้วนจับจ้องไปยังหยางอี๋เหนียง
สายตาของนางปรากฏความกลัวขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยิน ข้า…น้องชายของข้าก็เป็นเหมือนเช่นคุณชายน้อยสี่ ดังนั้นข้าก็เลย…” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจและกลัวว่าสืออีเหนียงจะกล่าวโทษ
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็มีเจตนาดี”
หยางอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก สีหน้าของนางดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่นี้มาก การพูดการจาก็ฟังฉะฉานว่องไวขึ้นมา “ขอแค่ฮูหยินไม่กล่าวโทษก็เพียงพอแล้ว”
สืออีเหนียงไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ สีหน้าท่าทีดูใจดีและโอบอ้อมอารีเป็นอย่างมาก
เฉียวเหลียนฝังเห็นแล้วก็ขบกรามแน่น
เมื่อสืออีเหนียงยกชาขึ้นมาจิบ ทุกคนในห้องก็ได้พากันถอยออกมา เฉียวเหลียนฝังที่เดินอยู่ข้างๆ หยางอี๋เหนียงก็ได้พูดขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาแต่กลับดังพอที่จะให้ทุกคนในที่นั้นได้ยิน “น้องหญิงหยาง สองวันก่อนข้าเห็นถุงเท้าลายดอกเป่าเซียงอยู่คู่หนึ่งที่เรือนของพี่หญิงเหวิน ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนทำหรือ ช่างเป็นคนที่พิถีพิถันและให้ความสำคัญเสียจริง กลับไปแล้วช่วยทำตัวอย่างลายปักของดอกให้ข้าได้หรือไม่ ข้าอยากจะทำให้ฮูหยินสักคู่”
“ได้สิ!” สะใภ้หยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดีอกดีใจ “พี่หญิงเฉียวเก่งจัง ข้าได้ยินมาว่าฝีมืองานเย็บปักถักร้อยของฮูหยินยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ก็เลยไม่กล้าไปแสดงฝีมืออันต้อยต่ำของข้าต่อหน้าฮูหยิน จะว่าไปแล้วข้าเองมีแบบอีกตั้งหลายแบบ ลวดลายงดงามซับซ้อนและพิถีพิถันกว่าคู่ที่มอบให้พี่หญิงเหวินเสียด้วยซ้ำ ข้าให้พี่หญิงเสียทุกลายเลยก็แล้วกัน!”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ
ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงต่างก็หันมาจ้องไปยังสืออีเหนียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ก็เห็นว่าใบหน้านั้นปรากฏสีหน้าที่ขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อย
สายตาของเหวินอี๋เหนียงก็ได้หันไปจับจ้องเฉียวเหลียนฝังต่อ
นางทำเช่นนี้ ย่อมทำให้ฮูหยินไม่พอใจเป็นอย่างมากอย่างแน่นอน
แต่สายตาของฉินอี๋เหนียงกลับจับจ้องไปที่หยางอี๋เหนียงแทน
การที่หยางอี๋เหนียงมีตัวตนอยู่ที่นี่หนึ่งวัน เฉียวเหลียนฝังจะต้องไม่ยอมรามือไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
ใบหน้าของทั้งสองพลันปรากฏรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย