เฉินตันจูไม่รู้และไม่สนใจ งานเลี้ยงของตระกูลฉางกลายเป็นอย่างไร เพราะตรงหน้าของนางมีโต๊ะอาหารขนาดเล็กวางอยู่เช่นเดียวกัน
อาเถียนปูผ้าผืนหนึ่ง วางสำรับอาหารลง เรียกขานจู๋หลิน “หยิบโต๊ะเล็กในรถม้าออกมา”
จู๋หลินยกโต๊ะออกมาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ มองดูอาเถียนหยิบอาหารรสเลิศนานาชนิดออกมาจัดวาง
นับแต่ออกจากจวนมา เฉินตันจูให้อาเถียนซื้อของมากมายตลอดทาง จากนั้นบอกว่ามาเยี่ยมแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ตอนนั้นจู๋หลินดีใจจนน้ำตาแทบไหลลงมา…นับแต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กจากไป เฉินตันจูไม่เคยมาเคารพหลุมศพเขาสักครั้ง
แต่ว่าจู๋หลินเข้าใจว่าเฉินตันจูป่วยอย่างกะทันหันและรุนแรง หลังจากถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงก็ยังไม่หายดี อีกทั้งโรคของคุณหนูตันจู ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการจากไปของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
แน่นอน เวลานี้เฉินตันจูมาเยี่ยมท่านแม่ทัพ ภายในใจของจู๋หลินยังคงดีใจอย่างมาก แต่ไม่คิดว่าการซื้อของมามากมายนี้ ไม่ใช่เพื่อไว้อาลัยท่านแม่ทัพ หากแต่นางจะกินเอง
นางกำลังทำอันใด มาเที่ยวเล่นที่หน้าสุสานท่านแม่ทัพหรือ
“เจ้าไม่เข้าใจ” เฉินตันจูนั่งลง มองป้ายสุสานสูงใหญ่ตรงหน้า “สิ่งเหล่านี้ท่านแม่ทัพไม่อาจกินได้แล้ว ข้าจะเป็นคนกินเอง หากท่านแม่ทัพเห็น ท่านแม่ทัพคงดีใจยิ่งกว่าตนเองได้กิน”
อาเถียนมองไปรอบด้าน ถึงแม้นางจะเห็นด้วยกับคำพูดของคุณหนูมาก แต่ยังคงอดพูดขึ้นเสียงเบาไม่ได้ “องค์หญิง ให้คนอื่นดูได้เจ้าค่ะ”
สถานการณ์ของคุณหนูในช่วงนี้แย่มาก งานเลี้ยงถูกชนชั้นสูงกีดกัน อีกทั้งนางยังถูกเยาะเย้ยเพราะไม่ได้ไปส่งแม่ทัพหน้ากากเหล็กลงสุสาน…เวลานั้นคุณหนูกำลังป่วย อีกทั้งยังถูกฮ่องเต้ขังไว้ในคุกหลวง เฮ้อ แต่เนื่องจากตอนที่คุณหนูได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิง นางขี่ม้าเดินขบวนเหมือนเหล่าบัณฑิตจากแคว้นฉี ทุกคนจึงไม่คิดว่าเฉินตันจูป่วย
ป่วยอยู่แต่สามารถขี่ม้าเดินขบวน แต่ไม่สามารถส่งแม่ทัพหน้ากากเหล็กลงสุสานได้? คนทั้งเมืองต่างกล่าวขานว่านางอกตัญญู บอกว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กหมดประโยชน์
เวลานี้คุณหนูต้องการจัดพิธีรำลึกแม่ทัพหน้ากากเหล็กขนาดใหญ่ ทุกคนคงเลิกพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับนาง แม้ว่าพวกเขาจะยังคงพูด แต่ก็จะไม่มั่นใจนัก
เฉินตันจูหยิบขนมแปะก๊วยชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน “ท่านแม่ทัพไม่เห็น คนอื่น ข้าก็ไม่ให้พวกเขาเห็น”
แต่ก่อน นางมักจะแสดงให้ผู้อื่นดูไม่ใช่หรือ จู๋หลินคิดอยู่ในใจ
“ข้ากำลังแสดง แต่ข้าไม่ได้แสดงให้ทุกคนดู” เฉินตันจูมองจู๋หลิน “จู๋หลิน การแสดงจะมีประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ยอมเชื่อเจ้า”
คนผู้นั้นคือท่านแม่ทัพหรือ จู๋หลินเงียบ เวลานี้ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว ท่านแม่ทัพไม่เห็นแล้ว ไม่สามารถปกป้องนางได้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการแสดง
จู๋หลินถอนหายใจ
แต่เวลานี้ยิ่งเป็นเวลาที่ต้องสร้างชื่อเสียงที่ดีไม่ใช่หรือ
เหตุใดคุณหนูตันจูจึงยิ่งไม่สนใจมากขึ้น หากชื่อเสียงนับวันยิ่งเสื่อมเสียจะทำอย่างไร
“อยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น” เฉินตันจูพูด ก่อนจะหยิบกาสุราขนาดเล็กยกดื่ม จากนั้นยิ้มให้จู๋หลินและอาเถียน “เวลานี้ข้าเป็นองค์หญิง นอกเสียจากฮ่องเต้ต้องการประหารข้า ผู้อื่นจะทำอันใดข้าได้”
แต่หากฮ่องเต้ที่ถูกดูหมิ่นต้องการประหารนางขึ้นมาจริงๆ เล่า?
เฉินตันจูโบกกาสุราในมือ “ไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทเพิ่งแต่งตั้งข้าเป็นองค์หญิง ท่านแม่ทัพก็เพิ่งจากไป อย่างน้อยอีกหลายปี…” พูดพลางยกกาสุรามองป้ายสุสานตรงหน้า “มีบารมีของท่านพ่ออยู่ ข้าย่อมปลอดภัย”
นางเอนกาสุรา ราวกับต้องการเทสุราลงพื้น
“ท่านแม่ทัพ มา ดื่มสักแก้ว”
แต่นาทีถัดมานางก็จับกาสุราแน่น ส่ายหัว
“ไม่ได้ ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว ดื่มไม่ได้ ไม่อาจสิ้นเปลือง”
จู๋หลินทำหน้าระอาอยู่ด้านข้าง คุณหนูตันจูเพิ่งดื่มไปคำสองคำก็เริ่มเมาแล้ว เขามองอาเถียนบอกให้นางเกลี้ยกล่อม อาเถียนกลับส่ายหัวต่อเขา “คุณหนูเสียใจ ให้นางมีความสุขเสียบ้างเถิด นางอยากทำอันใดก็ปล่อยนางไป”
แต่ก่อนดีใจหรือไม่ คุณหนูตันจูดื่มสุราจนมึนเมาย่อมจะเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพ เวลานี้ไม่อาจเขียนได้แล้ว จู๋หลินรู้สึกว่าตนเองก็อยากดื่มสุราให้เมาเสียบ้าง...
แต่ครู่ถัดมา หูของเขาขยับเล็กน้อย มองไปยังทิศทางหนึ่ง
อาเถียนมองตามไปอย่างระวัง เห็นว่าทางนั้นเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
“มีอันใดหรือ” นางถาม
จู๋หลินพูดเสียงต่ำ “ระยะไกลมีคนจำนวนมาก”
อาเถียนถามอย่างกังวล “มาฆ่าคุณหนูหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายไปแล้ว เฉินตันจูใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย แต่อาเถียนกลับตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา มีคนจำนวนมากต้องการทำร้ายคุณหนู คุณหนูอาจจะถูกฆ่าตายได้ทุกเวลา
เมื่อเห็นอาเถียนที่ทำท่าทางเหมือนกระต่ายน้อยที่ตื่นตระหนก จู๋หลินทั้งขบขันทั้งเศร้าใจ เขาปลอบเสียงเบา “อย่ากลัว ที่นี่เป็นเมืองหลวง ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสแห่งสวรรค์ ไม่มีการสังหารที่เปิดเผย”
อาเถียนยังคงกังวลเล็กน้อย นางขยับเข้าไปใกล้ตัวของเฉินตันจู อยากจะเกลี้ยกล่อมให้นางรีบกลับ
“พวกเราตั้งป้ายของท่านแม่ทัพในจวนดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านสามารถกินดื่มต่อหน้าเขาได้เหมือนกัน”
“ท่านพูดเองไม่ใช่หรือ ไม่ใช่เพื่อให้ผู้อื่นเห็น เช่นนั้นอยู่ในจวนก็ได้ ไม่ต้องอยู่ตรงนี้”
เฉินตันจูขบขันกับคำพูดของนาง “แต่ข้าอยากชื่นชมทิวทัศน์ด้วย”
นายบ่าวสองคนกำลังสนทนากัน ส่วนจู๋หลินจ้องมองทางนั้นตลอดเวลา ไม่นานนัก เขาพบเห็นขบวนหนึ่งปรากฏขึ้น ขบวนนี้มีคนไม่น้อย จำนวนนับร้อย ล้วนสวมเสื้อเกราะสีดำ…
จู๋หลินวางใจเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นทหารของต้าเซี่ย
แต่ว่าเขาก็กังวล ผู้ที่สามารถเคลื่อนย้ายทหารมากมายเพียงนี้ได้เป็นใครกัน
เวลานี้เฉินตันจูก็สังเกตเห็น นางมองไปทางนั้น สีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย
ขบวนทหารและม้ากลุ่มนั้นเข้าใกล้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง นางสามารถมองเห็นเสื้อเกราะสีดำของพวกเขา ด้านหลังประดับไปด้วยธนูและดาบยาว ใบหน้าหลบซ่อนอยู่ในหมวก ท่ามกลางพวกเขาเป็นรถม้าสีดำขนาดใหญ่คันหนึ่ง
เกือกม้าย่ำลงพื้น ล้อรถกลิ้งไปข้างหน้า พื้นดินราวกับสั่นสะเทือนขึ้นมา
ขบวนทหารและม้ากลุ่มนี้ปิดบังแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน พวกเขาเดินมาทางพวกนาง อาเถียนกังวลจนหน้าซีด ร่างของจู๋หลินยืดตรง มือที่คล้อยอยู่สองข้างจับดาบเอาไว้ เฉินตันจูมือหนึ่งยกกาสุรา เอนกายพิงเก้าอี้ ใบหน้าและร่างกายผ่อนคลายอย่างมาก อีกทั้งยังยิ้มออกมา
“อาเถียน” นางถือกาสุราชี้ไปยังรถม้าที่เคลื่อนเข้ามา “เจ้าดู เหมือนรถม้าของท่านแม่ทัพหรือไม่”
อาเถียนที่อยู่ในความตื่นตระหนกผงะไป ท่านแม่ทัพหรือ นางสับสนเล็กน้อยเช่นเดียวกัน เมื่อนึงถึงคราก่อนที่พวกนางถูกฮ่องเต้ขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปซีจิง ตอนที่ถูกตระกูลชนชั้นสูงตระกูลหนึ่งท้าทายบริเวณเชิงเขาภูเขาดอกท้อ แม่ทัพหน้ากากเหล็กมาช่วย...
ราวกับคล้ายคลึงอย่างมาก ทหารและม้าคุ้มกันเปิดทางเหมือนกัน รถม้าสีดำคันใหญ่เหมือนกัน
จมูกของอาเถียนร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง แต่หากมีคนมารังแกคุณหนูอีก แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีทางปรากฏตัวอีกแล้ว…
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินตันจู จู๋หลินไม่อยากจะมองทหารและม้าทางนั้นแม้แต่น้อย เหล่าสตรีมักจะคิดไปเรื่อยเปื่อยตามอารมณ์ เห็นผู้ใดก็มองว่าเหมือนท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพมีคนเดียวเท่านั้น!
“จู๋หลิน…”
ท่ามกลางทหารและม้าทางนั้นมีเสียงเรียกดังขึ้น มีทหารคนหนึ่งควบม้าอออกมา
เมื่อได้ยินเสียงเรียกนี้ จู๋หลินตกใจ เฟิงหลินหรือ? เขามองทหารที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เมื่ออีกฝ่ายเข้าใกล้ยิ่งขึ้น เขาก็สามารถมองเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวก เฟิงหลิน…
ทันใดนั้นเลือดในตัวของจู๋หลินสูบฉีด น้ำตาแทบจะไหลรินลงมา เหมือนท่านแม่ทัพกลับมาจริงๆ ท่านแม่ทัพ…
เขายกเท้าวิ่งเข้าไปทางนั้น ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้าของเฟิงหลิน
“จู๋หลิน” เฟิงหลินหยุดม้า ตะโกน “เหตุใดเจ้าจึงอยู่ตรงนี้”
จู๋หลินมองเขา ไม่ตอบ ถามด้วยเสียงแหบพร่า “เหตุใดเจ้าถึงอยู่ตรงนี้ พวกเขาบอกว่าพวกเจ้าถูกดึงตัวไป…”
องครักษ์หลวงเป็นส่วนหนึ่งของทหาร เมื่อถูกฮ่องเต้เรียกคืนแล้ว ย่อมมีภารกิจใหม่
เฟิงหลินยิ้ม “ใช่ พวกข้าถูกดึงไปเป็นองครักษ์ เป็น…” เขายังพูดไม่ทันจบ ด้านหลังมีเสียงการเคลื่อนไหว รถม้าคันใหญ่นั้นหยุดลง
เฟิงหลินไม่ได้พูดกับจู๋หลินอีก หากแต่กระโดดลงจากม้ายืนนิ่ง
จู๋หลินมองตามสายตาของเขา คนที่ถูกองครักษ์หลวงของฮ่องเต้คุ้มกันจะเป็นผู้ใดกัน
องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรถม้าสีดำคันใหญ่เดินขึ้นหน้า คนหนึ่งเปิดม่านรถขึ้น จู๋หลินรู้สึกเหมือนมีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า ก่อนที่ดวงตาจะเห็นแต่เพียงสีแดง…คนผู้นั้นสวมชุดสีแดงสด คาดผ้าคาดเอวสีทองเดินออกมา
รูปร่างของเขาสูงโปร่ง หลังไหล่กว้าง เอวบาง เขาก้มหัวโน้มตัวลงจากรถ จู๋หลินเห็นเพียงผมสีดำขลับของเขา
เขาราวกับว่าอ่อนแออย่างมาก ไม่ได้กระโดดลงจากรถ หากแต่ถูกทหารพยุงแขนเดินลงมา เมื่อเหยียบลงบนพื้น ลมแรงในฤดูร้อนพัดขึ้นมาจากพื้นที่อ้างว้าง พัดชายเสื้อสีแดงของเขาขึ้นมา เขายกแขนเสื้อบังใบหน้าเอาไว้
“เหตุใดจึงลมแรงนัก” น้ำเสียงของเขากระจ่างชัด
ลมแรงพัดผ่านไป เขาวางแขนเสื้อลง เผยให้เห็นใบหน้า ทันใดนั้นฤดูร้อนอันสดใสจืดจางลง
เขาเดินมาทางนี้อย่างเชื่องช้า ทหารแบ่งออกเป็นสองแถวคุ้มกันเขา
จู๋หลินถูกบังไว้ด้านหลัง เขาอยากจะอ้าปากห้าม แต่เฟิงหลินจับเขาเอาไว้ ส่ายหัว “อย่าได้เสียมารยาท”
ทันใดนั้นจู๋หลินโกรธเล็กน้อย เขามองเฟิงหลิน ไม่อาจเสียมารยาทต่อนายใหม่ของเขาหรือ
คุณหนูตันจูเล่า? คุณหนูตันจูยังเป็นนายของเขาอยู่ จู๋หลินสะบัดแขนของเฟิงหลินออก เดินไปทางเฉินตันจูอย่างรวดเร็ว
ชายผู้นั้นเดินไปถึงเฉินตันจูแล้ว
อาเถียนไม่รู้ว่าตระหนกหรือว่าตกตะลึง นางยืนนิ่งงัน เฉินตันจูยกกาสุรา นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้ามองเขา สีหน้าราวกับสับสนแต่ก็ราวกับสงสัย
เขาหยุดยืนตรงหน้านาง ยิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อย
“คุณหนูท่านนี้” เขาพูด “ข้าคือฉู่อวี๋หยง”