หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1092 เงาในอนาคต!

บทที่ 1092 เงาในอนาคต!

“เจ้าอ้วน อย่ามาเรียกข้าว่าอีอี พวกเราไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น!” ภายในโสตประสาทของหวังเป่าเล่อ มีเสียงของแม่นางน้อยดังขึ้นหลังจากหายไปนาน

เมื่อได้ยินเสียงนี้ หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เสียงนี้ทำให้เขารู้สึกว่า โลกใบนี้ช่างวิเศษเสียเหลือเกิน และดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นความจริงด้วย

“ก็ได้ งั้นข้าเรียกเจ้าว่าเถียนเถียนน้อยเป็นไง?”

“ไร้สาระ!” หวังอีอีที่อยู่ด้านในหน้ากากเปล่งเสียง ‘หึ’ หนึ่งเสียง ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกมีความสุขไม่น้อย ขณะที่เงยหน้าขึ้นจึงมองไปทางฝั่งประมุขกฎสวรรค์

ประมุขกฎสวรรค์ก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน นัยน์ตาคู่นั้นแอบแฝงด้วยความหมายสุดลึกล้ำ

หลังจากที่ทั้งคู่สบตากัน ต่างฝ่ายต่างดึงสายตากลับไป งานเลี้ยงวันอวยพรฉลองอายุยังคงดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเสียงเทพธิดา หรือจะเป็นเสียงอวยพรฉลองอายุที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า บนดาวเคราะห์ชะตาแห่งนี้ เสียงดังก้องกังวานยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ และในตอนที่พระจันทร์ลอยสูงขึ้นประมุขกฎสวรรค์จึงแสดงธรรม สิ่งที่เขาพูดถึงคือโชคชะตา

ทุกคนที่อยู่ทั่วทั้งจตุรทิศกำลังฟัง ภาพเงาทั้งหมดที่อยู่บนเกาะกำลังฟัง มีเพียงหวังเป่าเล่อ…ที่ไม่ได้ฟัง เพราะข้างหูของเขา หลังจากที่แม่นางน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

ครานี้ เสียงของนางค่อนข้างทุ้มต่ำ และดูมั่นใจมากยิ่งขึ้น

“เจ้าอ้วน เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ รึ?”

“คิดดีแล้ว” หวังเป่าเล่อตอบกลับ

“เจ้ายังไม่ถามข้าเลยนะ ว่าข้าถามเจ้าเรื่องอะไร จู่ๆ ก็ตอบมาว่าคิดดีแล้วเนี่ยนะ? ไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย!”

“พันธนาการของข้าล้ำลึกเกินไป สิ่งที่รบกวนความคิดข้าก็มากมายเกินไปเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นเทพเจ้าที่ไม่แยแสทางโลกได้” หวังเป่าเล่อยิ้ม รอยยิ้มของเขาดูสดใสมาก ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นความบริสุทธิ์เกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบเทียม ดุจดั่งกวางขาว

“ทำไมล่ะ?”

“เพื่อตัวข้าเอง รวมถึงตัวเจ้าด้วย” หวังเป่าเล่อกะพริบตาขณะกระซิบบอก

แม่นางน้อยเงียบเสียง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงแผ่วเบาที่หวังเป่าเล่อแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้น

“ขอบใจ”

หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยอะไร รู้ตัวอีกทีการแสดงธรรมเรื่องโชคชะตาของประมุขกฎสวรรค์ก็สิ้นสุดลง แสงอาทิตย์แรกเริ่มปรากฏขึ้นแล้ว ดวงอาทิตย์แรกของหลังคาสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เมื่อช่วงกลางดึกผ่านพ้น งานเลี้ยง…จึงเข้าสู่ช่วงสุดท้าย

“ขอให้สหายน้อย เข้าร่วมการตระหนักรู้สมุดแห่งโชคชะตา เพื่อดูภาพในอนาคตของเจ้า!” ผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ข้างกายประมุขกฎสวรรค์ก้าวเท้าเดินออกมา หลังจากขอคำชี้แนะจากประมุขกฎสวรรค์ จึงหันมามองหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ

ตอนที่สายตากวาดมองมาที่หวังเป่าเล่อ ก็รีบมองไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว สหายน้อยที่เอ่ยถึง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รวมหวังเป่าเล่ออยู่ในนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ติดตามข้างกายของประมุขกฎสวรรค์ เขาย่อมเคารพประมุขกฎสวรรค์ถึงขั้นสุด และด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า…ประมุขกฎสวรรค์ปฏิบัติต่อหวังเป่าเล่อแตกต่างจากผู้อื่น

ราวกับว่า สถานะของพวกเขา ไม่ได้มีใครสูงกว่าใคร แต่อยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน

เป็นเพราะความเท่าเทียมกันนี้ ทำให้ผู้รับใช้เฒ่าแอบตกตะลึงอยู่ภายในใจ ดังนั้นตามสัญชาตญาณแล้ว ย่อมไม่กล้าเรียกอีกฝ่ายว่าสหายน้อย

ครั้นคำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา สีหน้าของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าเก้ารัฐก็แสดงออกถึงความตื่นเต้น รวมถึงเซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อด้วย

สำหรับพวกเขา แม้การรำลึกอดีตชาติจะทำให้กอบโกยได้อย่างมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับการที่จะได้เห็นภาพในอนาคต สิ่งหลังเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า เรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่อาจแก้ไขได้ แต่อนาคตสามารถไขว่คว้าไว้ได้!

เซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อก็คิดเช่นนี้ ดวงตาของทั้งคู่เป็นประกาย ขณะมองไปยังประมุขกฎสวรรค์

มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ไม่ได้มีความผันผวนแม้แต่น้อย เขาได้ทราบประวัติของสมุดแห่งโชคชะตาเล่มนี้ และเข้าใจถึงภาพอนาคตทั้งหมดแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่วิถีโชคชะตาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในชาตินี้ตามที่มีการบันทึกไว้ รวมถึงวิธีการบางอย่างในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

กล่าวตามความเป็นจริง มันก็มีด้านที่เป็นความจริง แต่ถ้าหากให้กล่าวถึงเรื่องเท็จ ก็มีเหตุผลด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่สำหรับคนส่วนใหญ่ พวกเขาอาจไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนวิถีแห่งโชคชะตาของตนเอง ดังนั้นการมองเห็นภาพในอนาคตก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นเรื่องจริงได้

ความแตกต่างในการรับรู้ ทำให้อารมณ์ของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ เขามองไปยังผู้คนรอบตัวที่กำลังตื่นเต้น ได้แต่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา เพียงไม่นาน นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นั้น หลังจากที่ผู้รับใช้เฒ่าของประมุขกฎสวรรค์เอ่ยปากเชื้อเชิญ เขาก็ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก และรีบบึ่งเข้าไปหาประมุขกฎสวรรค์ทันที

เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าประมุขกฎสวรรค์ นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้ยกมือคารวะด้วยความตื่นเต้น หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ประมุขกฎสวรรค์พลันโบกมือ ประกอบกับปราณแห่งความผันผวนโบราณ สมุดแห่งโชคชะตาที่มีพลานุภาพขั้นสูงสุดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ายกมือขึ้น และกดลงบนสมุดแห่งโชคชะตา!

ยามที่วางฝ่ามือลงไป ร่างของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าพลันกระตุกอย่างรุนแรง นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นความน่าเหลือเชื่อและตกตะลึง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นติดต่อกันสามอึดใจ ในที่สุดร่างของเขาก็ถอยผงะออกไปเพราะไม่อาจรับไหว กระทั่งถอยออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างก็ยังสั่นเทิ้มไม่หยุด ดวงตายังคงประกายด้วยความตื่นตระหนก เขารีบหมุนตัวหันมามองหวังเป่าเล่อโดยพลัน!

“เจ้า…” เมื่อนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าหันมองมาที่หวังเป่าเล่อ สายตาของเขาฉายความตื่นตระหนกราวกับเห็นผี ฉากนี้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นโดยรอบ หวังเป่าเล่อที่เดิมทีไม่ได้คาดหวังและสนใจอะไร หรี่ตาลงเล็กน้อย

แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อเสียดายก็คือ นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้ ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็หายใจเข้าอย่างต่อเนื่อง และหันไปยกมือคารวะให้กับประมุขกฎสวรรค์ ก่อนจะหยิบกระดาษสีทองหนึ่งใบออกมาอย่างไม่ลังเล ยามที่ฉีกกระดาษจนขาด ร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกที่กระจายออกมาจากกระดาษฉีกขาดใบนั้น ก่อนจะหายวับไปกับตา!

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบประหลาดใจ และเกิดความโกลาหลมากยิ่งขึ้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“เคลื่อนย้ายไปแล้วหรือ?”

“เหตุใดสายตาที่จ้องมองหวังเป่าเล่อถึงได้แฝงด้วยความตื่นตระหนก!!!”

“เงียบเสียง!” ความโกลาหลของทุกคนสิ้นสุดลง เมื่อเสียงของผู้รับใช้เฒ่าของประมุขกฎสวรรค์ดังขึ้น แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้สายตาก็ได้จ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะดูเหมือนว่านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นั้นเห็นเรื่องราวของตนเอง แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกสิ่งหนึ่ง

“หมอนี่คงไม่ได้จงใจทำเช่นนี้ เพื่อหลอกข้าใช่ไหม?” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด เซียนเต๋าเก้ารัฐพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ และย้ายไปหยุดอยู่ตรงหน้าสมุดแห่งโชคชะตา หลังจากคารวะประมุขกฎสวรรค์แล้ว เขาจึงกดฝ่ามือลงบนสมุดแห่งโชคชะตา

เวลาของเขาไม่ได้ต่างจากนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า ใช้เวลาไปทั้งสิ้นสามอึดใจ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มขณะถอยผงะออกไป ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาดขณะหันมามองหวังเป่าเล่อ ครั้งนี้ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยวาจาใด เสียงของหวังเป่าเล่อพลันถูกส่งออกไปทั่วด้าน

“เจ้าเห็นอะไร?”

เซียนเต๋าเก้ารัฐเงียบไปไม่กี่อึดใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ข้าเห็นตนตายด้วยเงื้อมมือของเจ้า” กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวลอยออกจากเกาะ พุ่งตรงไปยังหลังคาสวรรค์โดยไม่หันกลับมา ทุกคนต่างเกิดความประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง และหันมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาแปลกประหลาด

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วโดยไม่ได้ลั่นวาจาใดออกมา ซิงจิงจื่อที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นยืน เขาเดินไปที่ด้านข้างของสมุดแห่งโชคชะตา หลังจากกดฝ่ามือลงบนนั้น เวลาของเขาดำเนินต่อไปเป็นเวลาห้าอึดใจ

หลังจากผ่านไปห้าอึดใจ เขายกฝ่ามือขึ้นด้วยใบหน้านิ่งสงบ แหงนหน้ามองท้องนภาเพื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงสัมผัสเข้ากับใบมีดวิเศษที่อยู่ด้านหลัง และชำเลืองมองมาที่หวังเป่าเล่อ เขาทำท่าราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็ทำแค่เพียงยกมือขึ้นคารวะประมุขกฎสวรรค์และหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

ครั้งนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เขาอาจจะไม่เชื่อท่าทางของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าเก้ารัฐได้ แต่เห็นได้ชัดว่าซิงจิงจื่อไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองเซี่ยไห่หยาง

เซี่ยไห่หยางเองก็ใคร่รู้เช่นกัน หลังจากพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อแล้ว จึงลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไป เมื่อกดฝ่ามือลงบนสมุดแห่งโชคชะตา เวลาของเขาแตกต่างจากซิงจิงจื่อ เพราะใช้เวลาเพียงแค่สองอึดใจก็ถอยผงะออกมาแล้ว ความประหลาดใจพลันฉายชัดอยู่นัยน์ตาคู่นั้น ท่ามกลางสายตาของทุกคนโดยรอบที่มองมาโดยไม่กะพริบตา เขาเองก็มองไปที่หวังเป่าเล่อ และส่งดวงจิตเทพออกมา

“อาจารย์อาเป่าเล่อ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…ข้าไม่รู้ว่าควรจะอธิบายภาพที่ข้าเห็นอย่างไร มันดูเหมือนกับไม่ใช่ภาพ แต่เป็นการรับรู้บางอย่าง วันหนึ่งในภายภาคหน้า ท่าน…ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ท่านอีกต่อไป”

“ชักน่าสนใจแล้วสิ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง นัยน์ตาพลันเกิดแสงสว่างกะพริบวูบหนึ่ง เขาลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่สมุด แห่งโชคชะตา หลังจากขยับเข้าใกล้สมุดแห่งโชคชะตา หวังเป่าเล่อไม่ได้ยกมือกดลงบนนั้นในทันที แต่กลับมองไปทางประมุขกฎสวรรค์ ยกมือขึ้นคารวะหนึ่งครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า

“ท่านประมุข พวกเขาเห็นอะไรรึ?”

“ข้าเองก็ไม่รู้” ประมุขกฎสวรรค์ส่ายหน้า เขาไม่ได้โกหก เพราะเขาไม่อาจรู้อนาคตของทุกคนได้

“แบบนี้เองรึ…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด แสงสว่างภายในดวงตาคู่นี้เป็นประกายมากขึ้นเรื่อยๆ เขายกมือขวาขึ้นและกดลงบนสมุดแห่งโชคชะตา ยามที่กดฝ่ามือลงไป มือขวาของเขาพลันปรากฏเงาเลือนรางของแผ่นไม้สีดำก่อนจะหายไป

แปะ!

สมุดแห่งโชคชะตา สั่นสะเทือนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ราวกับทนไม่ไหว ความผันผวนกระจายทั่วทั้งจตุรทิศ และดาวชะตา โดยยึดหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง!

เวลานี้ เงาในอนาคตได้แสดงขึ้นในตาของหวังเป่าเล่อแล้ว!

………………………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท