นางไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการทางการเมืองได้ คนที่ทำเช่นนั้นได้มีเพียงแค่ท่านพ่อของนางและเฮ่อเหลียนกวงเย่าเท่านั้น
ในระยะนี้ท่านพ่อของนางกำลังมีปัญหากับการวางกำลังทัพอยู่ที่เจียงหนาน ดังนั้นนางจึงคิดว่าเขาไม่ได้อยู่ในจุดที่เหมาะจะพูดอะไรได้
ส่วนเฮ่อเหลียนกวงเย่า เขากำลังยุ่งอยู่กับเรื่องภายในตระกูลเฮ่อเหลียน เขาก็คงช่วยอะไรนางไม่ได้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าคนเดียวที่สามารถส่งเสียงสนับสนุนนางได้คงมีแค่ฮองเฮาเพียงคนเดียว
ซูเหยียนโม่ที่ในหัวเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานาตัดสินใจได้หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงตะโกนออกไปนอกห้องว่า “มีใครอยู่หรือเปล่า มาช่วยข้าเปลี่ยนชุดเข้าวังหลวง!”
วังหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะสามารถเข้าไปได้ง่ายๆ
แต่ซูเหยียนโม่มีความสัมพันธ์อันดีกับมู่หรงฮองเฮา พวกนางสนิทสนมกันก่อนที่นางจะแต่งงาน เพราะพวกนางใช้วันเวลาไปกับการคิดหาวิธีขุดหลุมฝังมารดาของเฮ่อเหลียนเวยเวยร่วมกันนั่นเอง
ในเวลานี้มู่หรงฮองเฮารู้สึกเศร้าใจยิ่งนักเพราะนางไม่สามารถพูดอะไรเพื่อน้องชายของตนที่ถูกจับกุมตัวไปได้ ในใจของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และนางไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการได้ทำลายเจ้าลูกหมานั่นจนไม่เหลือซาก
ท่านพี่ของนางต้องการให้นางอดทนรอ แต่นางจะทนได้อย่างไร ในฐานะลูกคนที่ห้า น้องชายของนางมีความสามารถทั้งในด้านพลเรือนและการทหาร แต่เขากลับไม่ได้รับการสนับสนุน
ฮ่องเต้ชอบเขา แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไร ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าฮ่องเต้ไม่อาจเอ่ยปากคัดค้านสิ่งใดได้ตราบใดที่อดีตฮ่องเต้ไม่ได้มอบอำนาจให้กับเขา
ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจขึ้นเท่านั้น เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นฮูหยินซูคุกเข่าลงจนเกิดเสียงดังตุ้บ “ฮองเฮาเพคะ ครั้งนี้หม่อมฉันต้องการความช่วยเหลือจากท่านเพคะ!”
“มีเรื่องอะไรหรือ” มู่หรงฮองเฮารู้สึกเห็นใจนาง แต่อันที่จริงนั้นลึกๆ ในใจนางกลับชอบความรู้สึกในตอนนี้ยิ่งนัก พวกนางสองคนสนิทสนมกันเหมือนเป็นพี่น้องมาตั้งแต่ก่อนที่นางจะแต่งงาน แต่ในเวลานี้สถานะของนางกลับอยู่สูงกว่าซูเหยียนโม่อย่างมาก ตอนนี้เมื่อนางลองมาคิดดูแล้ว นังผู้หญิงตระกูลเฮ่อเหลียนนั่นก็ไม่เคยคุกเข่าให้กับนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
มู่หรงฮองเฮากำมือ พลางปลอบซูเหยียนโม่ “เอาล่ะ นั่งลง แล้วเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังสิ”
“หม่อมฉันมีญาติผู้น้องที่ทำงานอยู่ในกรมขุนนางเพคะ วันนี้ตอนที่เขาออกไปลาดตระเวนอย่างที่ทำเป็นกิจวัตร เขาก็ได้พบบ้านที่มีอาวุธซ่อนอยู่เป็นจำนวนมากเข้าโดยบังเอิญเพคะ อีกทั้งยังมีการพบเห็นว่ามีรถม้าปริศนาจำนวนหนึ่งกำลังทำการขนย้ายอาวุธพวกนั้นไปข้างนอกด้วย เขามั่นใจว่าจะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นเขาจึงเข้าไปตรวจสอบข้างในอย่างละเอียด ปรากฏว่าที่แห่งนั้นมีปัญหาจริงๆ เพคะ อาวุธทั้งหมดในบ้านหลังนั้นถูกผลิตขึ้นเป็นการส่วนตัว และจากที่เห็น ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะกระทำการบางสิ่งกันเพคะ…” ซูเหยียนโม่เล่าด้วยน้ำเสียงฟังดูเกินจริง
มู่หรงฮองเฮาขมวดคิ้วระหว่างฟังคำพูดของนางต่อ “ที่นั่นมีอาวุธเป็นจำนวนมากหรือ บางทีพวกเขาคงตั้งใจจะ…”
“นั่นคือสิ่งที่ญาติผู้น้องของหม่อมฉันคิดเพคะ” ซูเหยียนโม่กดเสียงลงหลังจากตระหนักได้ว่าฮองเฮากำลังรู้สึกคลางแคลงใจ “อีกอย่างหนึ่ง อาวุธพวกนี้ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเพคะ นางเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น ในบ้านหลังนั้นมีกระบี่ซุกซ่อนอยู่แทบนับไม่ถ้วน การรวมกลุ่มกันเพื่อก่อกบฏนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามที่สุดสำหรับอดีตฮ่องเต้ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กสาวคนนี้จะทำอะไรได้มากมายถึงเพียงนี้ลับหลังสายตาของทุกคน ใครจะไปรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ทุกวันนี้ฮ่องเต้ก็ทรงพระประชวรอย่างรุนแรง ขณะที่อดีตฮ่องเต้ก็อายุมากขึ้นทุกวัน ข้าเดาว่าคนพวกนี้คงทนรอไม่ไหว ก็เลยกระทำการเช่นนี้ขึ้น”
ซูเหยียนโม่หยุดพูดเพื่อให้มู่หรงฮองเฮาได้มีเวลาใช้ความคิดรของตนเกี่ยวกับเรื่องนี้
นางรู้ว่าจุดประสงค์ของมู่หรงฮองเฮาก็คือการให้บุตรชายของตนขึ้นครองบัลลังก์ แต่โชคร้ายที่องค์ชายสามยังมีตัวตนอยู่
แม้ว่าจะไม่มีองค์ชายสาม แต่อดีตฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปรานองค์ชายเจ็ดอยู่ดี
ดังนั้นมู่หรงฮองเฮาจึงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ไล่บุตรชายทั้งสองของอดีตฮองเฮาออกไปจากวังหลวง
นางสามารถลากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลงมาได้ถ้านางทำให้การกระทำผิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่
มู่หรงฮองเฮาย่อมไม่พลาดโอกาสดีเช่นนี้
ถ้านางไม่ลงมือ คนที่จะต้องเสียสิทธิ์ในบัลลังก์ไปก็คือองค์ชายห้าผู้เป็นบุตรชายของนาง
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ สีหน้าของมู่หรงฮองเฮาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว! จะเอาอาวุธพวกนั้นมาทำอะไรกัน แม้แต่กองทัพก็ยังต้องจำกัดการผลิตอาวุธเลยมิใช่หรือ เจ้าพูดถูก! เฮ่อเหลียนเวยเวยคงไม่กล้าทำเรื่องพวกนี้เองหรอก องค์ชายสามจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับมันอย่างแน่นอน! ข้าจะส่งให้คนไปตรวจสอบบ้านหลังนั้นเดี๋ยวนี้!”
“ฮองเฮาโปรดวางใจเพคะ” เมื่อเห็นว่าได้จังหวะ ซูเหยียนโม่จึงเอ่ยต่อว่า “ญาติผู้น้องของหม่อมฉันบุกเข้าไปจับพวกเขาโยนเข้าคุกเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพคะ ในเวลานี้พวกเขากำลังถูกสอบปากคำอยู่ อาวุธเหล่านั้นเองก็ถูกนำไปยังกรมขุนนางแล้วเช่นกัน พวกของหม่อมฉันมีทั้งอาวุธและคนที่มีส่วนรับผิดชอบมันอยู่ในมือ”
“ทำได้ดีมาก!” มู่หรงฮองเฮามั่นใจว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นผู้ผลิตอาวุธเหล่านั้นขึ้นเพื่อใช้แย่งชิงบัลลังก์ ตอนนี้เมื่อนางได้ยินว่าทั้งอาวุธและผู้มีส่วนรับผิดชอบถูกจับกุมตัวแล้ว ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความคิดที่จะนำเรื่องไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปทูลให้อดีตฮ่องเต้ทราบ แล้วเจ้าลูกหมานั่นจะได้ไม่กล้าทำตัวโอหังอีกต่อไป!
ซูเหยียนโม่เม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “แต่เขาบังเอิญจับกุมตัวองค์ชายเจ็ดเอาไว้เช่นกันเพคะ…”
มู่หรงฮองเฮาถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวทันที นางถามอย่างตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ?!”
“ตอนนั้นองค์ชายเจ็ดก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาไม่รู้ว่าเขาคือใคร และคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กที่ถูกช่างตีเหล็กพามาเพคะ มิหนำซ้ำองค์ชายเจ็ดก็ยังเอาแต่ก่อกวนการตรวจค้นของญาติหม่อมฉันอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงพาตัวองค์ชายไปที่ศาลาว่าการพร้อมกับคนอื่นๆ แต่ญาติของหม่อมฉันก็รู้จักยั้งคิดและไม่ได้ทำร้ายร่างกายผู้ใดทั้งสิ้นเพคะ แต่แล้วเขาก็ถูกองค์ชายสามจับเข้าคุกด้วยข้อหายึดอาวุธที่อยู่ในบ้านหลังนั้นเอาไว้แทน” ซูเหยียนโม่ลอบสังเกตสีหน้าของฮองเฮา ขณะเอ่ยต่อ “อดีตฮ่องเต้ยังไม่ทราบเรื่องนี้ องค์ชายสามพลิกเมืองหลวงเพื่อหาตัวญาติของหม่อมฉัน เพราะต้องการแก้แค้นให้กับองค์ชายเจ็ด และจัดการทุกอย่างให้ได้ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะสนพระทัยเข้า…”
ตอนที่นางบอกว่าเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้ได้นั้น นางหมายความหว่าเขาวางแผนที่จะฆ่าปิดปากพยานทุกคนเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้รั่วไหล
เมื่อได้ยินที่นางพูด มู่หรงฮองเฮาก็คิดอะไรได้จากการที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับญาติผู้น้องของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี
หลายวันมานี้นางตั้งตารอมาตลอดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
พระชายาขององค์ชายพยายามผลิตอาวุธจำนวนมากเป็นการส่วนตัวหรือ
ต่อให้เขาไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเรื่องนี้โดยตรง แต่เจ้าลูกหมานั่นก็คงไม่สามารถหลบหนีจากผลของมันได้เพียงเพราะอดีตฮ่องเต้โปรดปรานเขา!
มู่หรงฮองเฮาตวัดสายตากลับมา แล้วบอกกับซูเหยียนโม่ว่า “เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้เจ้าเอง”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ซูเหยียนโม่ก็มั่นใจว่าตนยังมีหวังอยู่ นางรู้สึกโล่งใจ แต่ก็จะทำตัวประมาทเกินไปไม่ได้ นางบอกให้ข้ารับใช้ของตนแอบสอดแนมอยู่ในวังหลวงต่อไป
แม้ว่ามู่หรงฮองเฮาจะรู้ว่าซูเหยียนโม่ดูมีเจตนาแอบแฝงกับเหตุการณ์นี้อยู่เล็กน้อย แต่อย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสน้อยครั้งที่นางจะได้ดึงไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และเจ้าลูกหมาอย่างองค์ชายเจ็ดตัวน้อยนั่นลงมา แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็ไม่เคยพลาดโอกาสที่จะกลั่นแกล้งบุตรชายของนางตอนอยู่ในวังหลวงเลยสักครั้ง ดังนั้นลูกเสือที่เลี้ยงอยู่ข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นก็ย่อมสมควรที่จะถูกจับแล้ว! มีที่ให้เขาไปตั้งมากมาย แต่เขากลับเลือกตามเฮ่อเหลียนเวยเวยไปที่บ้านหลังนั้น ไม่มีใครสั่งให้เขาไปอยู่ที่นั่นในเวลานั้นเสียหน่อย!
มู่หรงฮองเฮาจมอยู่ในห้วงความคิดอันโหดเหี้ยมของตน ยิ่งนางนึกถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าควรจะใช้โอกาสนี้ระบายความโกรธของตนออกไปเสีย!
แต่นางก็รู้ดีว่านางไม่ควรเป็นคนนำเรื่องนี้ไปบอกด้วยตัวเอง
อดีตฮ่องเต้ไม่เคยชอบหน้านาง และบรรดาหญิงสาวในวังหลังก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
ดังนั้นนางจึงไม่ได้ไปหาอดีตฮ่องเต้ แต่กลับตัดสินใจที่จะนำคำพูดเหล่านี้ไปพูดให้ฮ่องเต้ฟังแทน…