ฉู่อวี๋หยงเคยชินกับนิสัยพูดจาเหลวไหลของเฉินตันจูแล้ว แค่ครานี้เขาก็อดเสียท่าทีไม่ได้เพราะไม่ทันได้เตรียมตัว
ไม่มีการปิดบังของหน้ากาก เขาเกือบควบคุมสีหน้าไม่อยู่
เขารีบอาศัยจังหวะกระแอมไอหายใจเข้า สงบอารมณ์ เขามองไปทางเฉินตันจู พูด “เช่นนี้หรือ ท่านแม่ทัพชื่นชอบจริงหรือ ข้าไม่คุ้นเคยกับท่านแม่ทัพนัก เกรงว่าจะทำผิดพลาดตรงใดไป เมื่อได้ยินคุณหนูตันจูพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว”
ดวงตาของเฉินตันจูประกายไปด้วยน้ำตา “องค์ชายหกมีใจเช่นนี้ ท่านแม่ทัพย่อมต้องชื่นชอบเพคะ”
อาเถียนที่ยืนอยู่ด้านข้างตั้งสติกลับมา มือทั้งสองที่คล้อยอยู่ข้างกายกำแน่น ดีเสียจริง คุณหนูกำลังหลอกล่อคนอีกแล้ว คุณหนูของนางกลับมาแล้ว!
ใบหน้าของจู๋หลินก็แข็งทื่อเหมือนแต่ก่อน ความกังวลความเศร้าโศกล้วนสลายหายไป ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว คุณหนูตันจูกำลังจะหลอกหาที่พึ่งคนใหม่?
องค์ชายหกที่ถูกเลี้ยงอยู่ในจวน ไม่รู้ความอันตรายภายนอกผู้นี้หรือ
องค์ชายหกผู้นี้ถูกหลอกง่ายเหลือเกิน! คุณหนูตันจูพูดไร้สาระเพียงนี้ยังเชื่อ?
จู๋หลินอดมองไปยังเฟิงหลินไม่ได้ เห็นสีหน้าของเฟิงหลินก็แปลกประหลาด ใช่หรือไม่ เฟิงหลินก็มองออกใช่หรือไม่ เฮ้อ ร่างของท่านแม่ทัพยังไม่ทันเย็น อีกทั้งยังอยู่หน้าสุสานของท่านแม่ทัพ…คุณหนูตันจู ก่อนหน้านี้ท่านยังบอกว่าท่านแม่ทัพสามารถมองเห็นท่านกินดื่มได้! หากท่านแม่ทัพเห็นว่าท่านใช้เขามาหลอกคนจะคิดอย่างไร
จู๋หลินรู้สึกเพียงขมับเต้นตุบๆ ปวดหัว
องค์ชายหกทางนั้นถูกคุณหนูตันจูหลอกให้ดีใจ แนะนำสิ่งนี้สิ่งนั้นให้เฉินตันจู สิ่งนี้คือสุราที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองซีจิง เมื่อพูดจนถึงจุดหนึ่ง ทันใดนั้นเขาเปิดสุราออก “คุณหนูตันจู เจ้ามาลองชิม”
เฉินตันจูก็ไม่เกรงใจ อีกทั้งยังพูดว่า “หม่อมฉันจะลองชิมสุราที่ท่านแม่ทัพชอบ”
จู๋หลินหัวเราะเย้ยหยันภายในใจ ไม่ลองคำนึงว่าตนเองสามารถดื่มได้แค่ไหน! ดื่มเถิด ดื่มมากเข้าดูว่าท่านจะหลอกคนอย่างไร!
เสียดายที่เฉินตันจูดื่มไปเพียงหนึ่งแก้ว ไม่ได้ดื่มมาก องค์ชายหกที่ไม่ได้ดื่มกลับเหมือนเมา เขาจะให้คนก่อไฟขึ้น ย่างแพะตัวเล็กที่นำมาจากเมืองซีจิง...
“เนื้อแพะในเมืองซีจิงรสชาติแตกต่างจากที่อื่น” เขาเลิกแขนเสื้อขึ้น “คุณหนูตันจูลองชิม”
องค์ชายหกเหมือนกับคุณหนูรูปงามที่ถูกเลี้ยงไว้ในจวน ไร้เดียงสา…ไร้เดียงสาเสียยิ่งกว่าคุณหนูหลิวเวยนั้นเสียอีก คุณหนูตันจูหลอกคุณหนูหลิวเวยยังต้องวิ่งไปร้านยาหลายครั้ง ทั้งซื้อน้ำตาลปั้นทั้งมอบของขวัญ องค์ชายหกคนนี้ คุณหนูตันจูเพียงแค่พูดไม่กี่คำ แม้แต่น้ำตายังไม่ทันไหล!
จู๋หลินอดพูดกับเฟิงหลินไม่ได้ “เกลี้ยกล่อมเสียบ้างเถิด”
ก่อนหน้านี้ คุณหนูตันจูกินดื่มตรงนี้ก็แล้วไป องค์ชายหกยังจะถูกชักนำให้ก่อไฟย่างแพะตรงนี้ สุสานของแม่ทัพหน้ากากเหล็กกลายเป็นอันใดแล้ว!
หากฮ่องเต้ทรงรู้เข้า คงตีพวกเขาให้ตายเสีย
ฮ่องเต้ไม่อาจลงมือตีโอรสที่เพิ่งเดินทางเข้าเมืองคนนี้ ย่อมต้องลงโทษเฉินตันจูเป็นสองเท่า เพราะนางพาองค์ชายหกเสียคน
เฟิงหลินเงยหน้ามองฟ้า “ข้าจะห้ามได้อย่างไร ข้าเป็นเพียงองครักษ์ ไม่คุ้นเคยกับองค์ชายหก”
ใช่ องค์ชายหก แม่ทัพหน้ากากเหล็ก เฟิงหลินพวกเขาถูกส่งตัวไปก็เปรียบเหมือนคนนอกจริง จู๋หลินโศกเศร้า
ยังดีที่จู๋หลินไม่ได้โศกเศร้านานนัก เฉินตันจูห้ามองค์ชายหกเอาไว้
“ไม่สำคัญว่าหม่อมฉันกินหรือไม่ ท่านแม่ทัพกินไม่ได้แล้ว” นางพูดอย่างอ้อมค้อม “ท่านแม่ทัพสามารถเห็นได้ย่อมดีใจมาก” จากนั้นนางเสนอความคิดต่อองค์ชายหก “ในเมื่อสิ่งเหล่านี้มาจากเมืองซีจิง ท่านทรงนำไปให้ฝ่าบาทเสียดีกว่า ย่างกิน ถึงแม้ฝ่าบาทจะเป็นเจ้าแห่งสี่น้ำทะเล แต่อยู่ในเมืองซีจิงมาหลายปี ย่อมทรงระลึกถึงบ้านเกิด”
ฉู่อวี๋หยงรีบพยักหน้าทันที “คุณหนูตันจูพูดถูก!” ก่อนจะหันไปมองสุสาน พูดเสียงดัง “ท่านแม่ทัพ ท่านเห็นสิ่งเหล่านี้หมดแล้วใช่หรือไม่ หากเห็นแล้วข้าจะนำไปให้ฝ่าบาท ให้พระองค์ดีใจด้วย”
เฉินตันจูมองไปยังสุสานเช่นเดียวกัน นางพูดอย่างเศร้าโศก “นับแต่ท่านแม่ทัพไม่อยู่ ฝ่าบาทก็ทรงเสียใจอย่างมาก หากฝ่าบาททรงดีใจ ท่านแม่ทัพย่อมดีใจด้วย”
ฉู่อวี๋หยงหันไปมองเฉินตันจู พูดอย่างเชื่องช้า “ข้าโชคดีเหลือเกิน มาถึงเมืองหลวงก็พบกับคุณหนูตันจู อีกทั้งได้รับคำชี้แนะของคุณหนูตันจู”
เฉินตันจูซับน้ำตา “เพราะท่านแม่ทัพเห็นเจตนาขององค์ชาย จึงได้ลิขิตเอาไว้ มิฉะนั้นบนแผ่นดินนี้มีคนมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงองค์ชายหกได้พบกับหม่อมฉัน”
จู๋หลินไม่ใช่แค่อยากกลอกตาขาวแล้ว หากแต่อยากกระอักเลือด…คนมากมายนั้นล้วนไม่พบกับคุณหนูตันจู เพราะว่าคุณหนูตันจูท่านไม่ได้ต้องการมาระลึกถึงท่านแม่ทัพอย่างแท้จริง!
สวรรค์ไม่มีตา เหตุใดคุณหนูตันจูมาแค่ครั้งเดียวก็พบเข้ากับองค์ชายหกแล้ว
เขาควรทำอย่างไร! เขาหันไปมองเฟิงหลิน สีหน้าของเฟิงหลินดูเหมือนกำลังจะกระอักเลือด…
“เฟิงหลิน” จู๋หลินถามอย่างไร้เสียง “เหตุใดสีหน้าเจ้าจึงแย่เพียงนี้”
เฟิงหลินเงยหน้ามองฟ้า มือกุมไว้ในที่หน้าอกยิ้มแห้ง “อาจเป็นเพราะเดินทางเหน็ดเหนื่อยเกินไป”
องค์ชายหกทางนี้กำลังเร่งเร้าให้คนเก็บของเซ่นไหว้ใส่รถม้า ก่อนจะเชื้อเชิญเฉินตันจู “คุณหนูตันจูเข้าเมืองพร้อมกับข้าเถิด ข้ามาครั้งแรก ไม่ได้พบกับเสด็จพ่อและเสด็จพี่มานานแล้ว คุณหนูตันจูอยู่กับข้า ข้าย่อมวางใจ”
แต่พวกเขาก็เป็นญาติ อย่างไรก็คุ้นเคยกว่าเฉินตันจูที่ไม่เคยพบกันมาก่อนมิใช่หรือ เหตุใดเมื่อมีเฉินตันจูอยู่จึงวางใจ จู๋หลินพูดถากถางอยู่ในใจ เวลานี้เขาไม่ชอบองค์ชายหกคนนี้แม้แต่น้อย!
แต่เฉินตันจูชอบองค์ชายหกคนนี้อย่างมาก นางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัวเพคะ มีหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันจะเข้าเมืองกับท่าน”
จู๋หลินขับเคลื่อนรถม้าด้วยความมุทะลุ แต่เมื่อเทียบกับคนนับร้อยที่ขี่ม้า ราชรถที่กว้างใหญ่ด้านหลังแล้ว เขาก็มีเพียงตัวคนเดียว อำนาจบารมีลดลงอย่างมาก
จู๋หลินอยากทิ้งขบวนทหารและม้ากลุ่มนี้อย่างมาก แต่ไม่ว่าเขาจะเร่งม้าอย่างไร คนเหล่านั้นยังคงตามอย่างมั่นคง…อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นก็คือองครักษ์หลวง มีความสามารถเหมือนกับเขา
อีกทั้งเฉินตันจูกำชับให้เขาเดินทางช้าลง
“องค์ชายหกพระวรกายไม่ดี ไม่อาจทนต่อการกระแทกได้” เฉินตันจูพูด “พวกเราเดินทางช้าลง”
จู๋หลินอดพูดไม่ได้ “ข้าเห็นเขาแข็งแรงดี”
ชายหนุ่มผู้นั้นดูมีชีวิตชีวา ภายในดวงตาเป็นประกาย ไม่หม่นหมองเหมือนคนที่ป่วยมานาน แต่ร่างกายของเขาคงไม่ดีนัก เดินได้อย่างเชื่องช้า แผ่นหลังโค้งงอเล็กน้อย ตอนขึ้นรถยังต้องให้เหล่าองครักษ์พยุง…เฉินตันจูแอบคิดในใจ
“คุณหนูสามารถจับชีพจรให้เขาได้” อาเถียนเสนอ “องค์ชายหกก็ประชวรมิใช่หรือ เหมือนองค์ชายสาม…”
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูต้องการดึงความสัมพันธ์กับองค์ชายหกให้ใกล้ชิด เหมือนที่ทำกับองค์ชายสามในเวลานั้น รักษาอาการประชวรให้เขา บอกเขาว่าสามารถรักษาเขาได้ ย่อมทำให้องค์ชายหกประทับใจต่อคุณหนู
ใช่ หางตาของจู๋หลินเหลือบมองไปด้านหลัง ครานี้คุณหนูตันจูประหลาดอย่างมาก พบองค์ชายหกท่านนี้หน้าสุสาน แต่กลับไม่เอ่ยว่าจะรักษาอาการประชวรให้เขาในทันที เพราะว่าเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรกยังไม่คุ้นชิน? เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นนางพบกับองค์ชายสามที่วัดถิงอวิ๋นก็เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่คุณหนูตันจูมุ่งตรงไปเอ่ยวาจาอาจหาญทันที…
อีกอย่าง คุณหนูตันจูมักจะรักษาโรค ส่งยา ชื่นชมตัวเองต่อหน้าท่านแม่ทัพ
เหตุใดครานี้เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายหกจึงไม่พูดแม้แต่คำเดียว
นั่งอยู่ภายในรถของตนเอง เฉินตันจูมีท่าทีเกียจคร้านเหมือนก่อนหน้านี้ ได้ยินอาเถียนถาม นางก็ทำเพียงตอบรับ “ข้าไม่อยากรักษาโรคแล้ว เวลานี้ข้าเป็นองค์หญิง ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิต เหตุใดต้องเป็นไต้ฟูรักษาโรคให้ผู้อื่น หากรักษาหาย พวกเขาก็เพียงให้เงินข้า หากรักษาไม่หาย ข้าก็ต้องถูกฝ่าบาทตำหนิ เรื่องโง่เขลาเช่นนี้ ข้าไม่ทำ”
อาเถียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่ๆ เป็นไต้ฟูเหนื่อยเกินไป”
จู๋หลินไม่เชื่อคำพูดของเฉินตันจู เป็นไต้ฟูเหนื่อยก็จริง แต่สิ่งที่คุณหนูตันจูกังวลยิ่งกว่าคือปัญหา เวลานี้ไม่มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กแล้ว หากคุณหนูตันจูสร้างปัญหาอีก ผู้ใดจะปกป้องนางได้ เฮ้อ
คุณหนูตันจูทั้งรู้ประสาทั้งไม่รู้ประสา จู๋หลินไม่รู้ว่าควรโกรธหรือว่าเศร้า ไม่ว่าอย่างไร ถึงแม้ก่อนหน้านี้คุณหนูตันจูจะมีท่าทีประจบต่อองค์ชายหกท่านนี้อย่างไร แต่เมื่อองค์ชายหกเชื้อเชิญให้นางนั่งรถม้าของตนเอง คุณหนูตันจูยังคงปฏิเสธ
หากเป็นท่านแม่ทัพ คุณหนูตันจูย่อมไม่ปฏิเสธ
จู๋หลินสะบัดบังเหียนเบาๆ ให้รถม้าเคลื่อนไปอย่างช้าๆ