เฉินตันจูนั่งไหวไปมาเบาๆ อยู่ภายในรถ สายตาหม่นหมอง
แต่ว่านางไม่ได้เหม่อลอยเหมือนแต่ก่อน หากแต่กำลังคิดเรื่องขององค์ชายหกผู้นี้
แตกต่างจากผู้อื่น ไม่ว่าองค์ชายสามก็ดี แม่ทัพหน้ากากเหล็ก โจวเสวียน หรือองค์หญิงจินเหยาก็ดี นางล้วนรู้เรื่องของพวกเขาไม่มากก็น้อยเมื่ออดีตชาติ อย่างน้อยก็รู้นิสัยของพวกเขาบ้าง แตกต่างจากองค์ชายหก องค์ชายหกเป็นคนแปลกหน้า เขาแทบจะไม่มีตัวตนอยู่ในต้าเซี่ย เขาปรากฏตัวก่อนที่นางจะตาย
นางไม่รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร นอกจากจะรู้ว่าเขาถูกองค์รัชทายาทลอบสังหาร แต่ไม่อาจรู้ชะตากรรมของเขา ลอบสังหารสำเร็จหรือล้มเหลว เขาเป็นหรือว่าตาย
คนเช่นนี้ปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างกะทันหัน ช่างทำให้ตกตะลึงและสับสน
ต่อไปจะเกิดเรื่องใดขึ้น อีกอย่าง เขากำลังจะเดินทางไปพระราชวัง ปรากฏตัวในเมืองหลวงแห่งนี้ เผชิญหน้ากับเสด็จพ่อและเสด็จพี่ของเขา…
เฉินตันจูยิ้มเย้ยหยัน เสด็จพี่ที่เขาต้องเผชิญหน้าไม่ใช่พี่ชายที่มีเยื่อใยนัก
พี่ชายของเขากำลังทำร้ายกันเองอย่างลับๆ
แน่นอน นางย่อมไม่คิดว่าองค์ชายหกที่ดูภายนอกเหมือนแกะที่งดงามและบริสุทธิ์นี้จะไร้อันตรายเหมือนแกะน้อยจริงๆ ลองดูองค์ชายสาม…
เรื่องโง่เขลาอย่างการตัดสินคนด้วยภายนอก หรือการหลอกลวงตนเอง นางไม่มีทางหลงผิดเป็นครั้งที่สอง
นางจะไม่รักษาโรคให้องค์ชายหก นางไม่อยากมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งเกินไปกับองค์ชายหกผู้นี้ แน่นอน นางย่อมไม่สร้างศัตรูกับเขา ท่านพี่เคยกล่าวไว้ คนทั้งตระกูลได้รับการดูแลในซีจิงเพราะมีคนของจวนองค์ชายหก หยวนไต้ฟูผู้นั้น ไม่เพียงช่วยนางเอาไว้ เขายังเคยช่วยชีวิตบุตรชายของพี่สาว ถึงแม้จะเป็นการไหว้วานของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่เขายังคงเป็นผู้มีพระคุณของนาง
อีกทั้งยังเขานำสิ่งของพื้นเมืองมากมายมาเซ่นไหว้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก เห็นได้ถึงความจริงใจที่มีต่อแม่ทัพหน้ากากเหล็ก…
บางทีความจริงใจนี้อาจทำให้ผู้อื่นดู แต่หลังจากท่านแม่ทัพตาย คนจำนวนมากหมดอารมณ์แม้แต่การแสดง
“องค์หญิงตันจู”
ม้าตัวหนึ่งวิ่งขึ้นมาจากด้านหลัง เรียกขาน
อาเถียนเปิดม่านรถขึ้น มององครักษ์ขององค์ชายหกตรงหน้า ถามว่ามีเรื่องใด
“องค์ชายหกตรัสถามว่าวัดถิงอวิ๋นอยู่ที่ใด ต้องผ่านบริเวณนั้นหรือไม่ องค์ชายอยากเข้าไป” องครักษ์พูด
เฉินตันจูศีรษะชาขึ้นมาทันใด นางปฏิเสธอย่างทันควัน “ไม่ได้”
องครักษ์ตกใจกับท่าทีดุดันอย่างกะทันหันของนาง
“องค์ชายเสด็จเข้าเมืองหลวงมา ควรเสด็จเข้าเฝ้าฝ่าบาทในพระราชวังเสียก่อน อย่าได้เที่ยวแวะที่อื่น” เฉินตันจูรีบอธิบาย
องครักษ์อธิบายเช่นกัน “เรื่องเป็นเช่นนี้ พระวรกายขององค์ชายหกไม่ดีนัก หากเข้าวังจะเสด็จออกมาไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงอยากแวะเที่ยวระหว่างทางเสียก่อน”
มีสิ่งใดน่าเที่ยวเล่นกัน! สถานที่แบบนั้นสามารถคร่าชีวิตของเขาได้! เฉินตันจูสีหน้าดำทะมึน “วัดถิงอวิ๋นเป็นวัดหลวง อาจารย์ฮุ้ยจื้อเป็นพระสงฆ์ผู้มีบารมี ฝ่าบาทเสด็จไปยังต้องทูลก่อน มิใช่สถานที่เที่ยวเล่น”
ดุเสียจริง องครักษ์รีบควบม้ากลับไปหน้าขบวนราชรถ ทูลรายงานคำพูดของคุณหนูตันจู ภายในรถมีเสียงตอบรับดังขึ้น องครักษ์นั้นจึงถอยออกมา
ภายในรถที่กว้างใหญ่ ฉู่อวี๋หยงกึ่งนั่งกึ่งนอน ภายในรถไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว หากแต่ยังมีเด็กอีกคนนั่งอยู่
เด็กคนนั้นนั่งพิงผนังรถ ถือเนื้อตากแห้งชิ้นหนึ่งกิน พลางพูด “คุณหนูตันจูดุเสียจริง ไม่อนุญาตให้องค์ชายไปเที่ยวเล่น” ก่อนจะสงสัย “วัดถิงอวิ๋นเข้มงวดเพียงนั้นเชียวหรือ ฝ่าบาทเสด็จไปยังต้องรายงานก่อน?”
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะเบาๆ “ใช่ เข้มงวดมาก แต่คุณหนูตันจูเป็นข้อยกเว้น”
นับแต่คุณหนูตันจูไปทักทายที่วัดถิงอวิ๋นเป็นครั้งแรก หลังจากวัดถิงอวิ๋นต้อนรับฮ่องเต้แล้ว คุณหนูตันจูก็ไม่ต้องรายงานเมื่อเดินทางไปวัดถิงอวิ๋นแล้ว
ครานั้น เขาเป็นคนไปวัดถิงอวิ๋นกับคุณหนูตันจู เวลานั้น คุณหนูตันจูยังเชิญให้เขาขึ้นไปดูต้นซานจา แต่เวลานั้น เขาไปไม่ได้
เดิมทีเขาอยากจะอาศัยโอกาสนี้ไปดูด้วยกันอีกครั้ง แต่ดูเหมือนคุณหนูตันจูไม่ยินยอม
อาจเป็นเพราะเรื่องขององค์ชายสาม เวลานี้วัดถิงอวิ๋นคงเป็นสถานที่อันน่าเศร้าสำหรับคุณหนูตันจู
วันหลังค่อยไปเถิด
รถม้าเคลื่อนตัวไปด้านหน้า เมื่อเห็นขบวนรถม้านี้จากระยะไกล คนบนถนนไม่ต้องให้จู๋หลินตะโกนตักเตือนก็ต่างหลบหลีกไป
“ผู้ใดกัน”
“คุณหนูตันจู”
“ไม่ใช่ ดูด้านหลังของคุณหนูตันจู ทหารและม้าจำนวนมาก…”
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ งานเลี้ยงตระกูลฉางถูกปั่นป่วน ทุกคนต่างถูกขับไล่…”
“เกิดเรื่องใดขึ้น ฝีมือของคุณหนูตันจูหรือ?”
คนเดินทางต่างซุบซิบกัน เฉินตันจูในรถม้าไม่ใส่ใจ ไม่นานนักก็เห็นประตูเมืองด้านหน้า
อาเถียนเปิดม่านรถมองออกไปด้านนอก “คุณหนู วันนี้หน้าประตูเมืองมีคนมากเป็นพิเศษ เหตุใดจึงมีคนมากมายเดินทางเข้าเมือง”
อีกทั้งยังล้วนเป็นรถม้า มีบ่าวรับใช้จำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูง
อาเถียนคิดมาก นางขยับออกไปด้านนอก ใช้นิ้วจิ้มแผ่นหลังของจู๋หลิน จู๋หลินหันกลับมามองนาง
“เจ้าไปบอกทหารเฝ้าประตูเมือง ให้พวกเขาหลีกทางเถิด” นางพูดเสียงเบา
แต่ก่อนเฉินตันจูเข้าออกเมืองไม่ต้องถูกตรวจ อีกทั้งยังมีทหารเปิดทาง ถึงแม้เวลานี้ยังคงไม่ตรวจนาง แต่กลับไม่เปิดทางให้นางเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ส่วนเหล่าชนชั้นสูงที่ต่อแถวหน้าประตูเมืองเหล่านี้ คงไม่ยอมหลีกทางให้เฉินตันจู
เวลานี้คนเหล่านี้กำลังหาวิธีกลั่นแกล้งคุณหนู
หากมีปัญหากัน คุณหนูย่อมไม่กลัว เพียงแต่เวลานี้ด้านหลังมีองค์ชายหกตามมา หากให้องค์ชายหกเห็นท่าทางน่าอนาถของคุณหนู คุณหนูจะเสียหน้าเพียงใด ยังจะหลอกลวงองค์ชายหกได้อย่างไร
จู๋หลินยอมไม่สนใจว่าคุณหนูตันจูจะหลอกองค์ชายหกได้หรือไม่ เขาเพียงแค่ไม่อยากให้คุณหนูตันจูอับอายต่อหน้าผู้อื่น ฮ่องเต้ยังไม่เพิกถอนตำแหน่งองครักษ์หลวงของเขา เขาย่อมมีความมั่นใจในการพูดกับเหล่าทหารเฝ้าประตูเมือง
เขาพยักหน้า ในขณะที่กำลังจะกระโดดลงจากรถม้า กลับเห็นทหารเฝ้าประตูเมืองทางนั้นมีการเคลื่อนไหว
…
“ใต้เท้า ท่านดู…”
บนประตูเมือง ทหารนายหนึ่งพูดกับแม่ทัพ
แม่ทัพกำลังเหม่อลอย ครุ่นคิดถึงสถานที่ดื่มสุราในคืนนี้ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของทหารจึงลืมตาขึ้น ก่อนจะมองไปยังรถม้าจำนวนมากที่กำลังต่อแถวเข้าประตูเมือง
“คนเหล่านี้ไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงหรือ เหตุใดจึงกลับมาเร็วเพียงนี้” เขาพูด “เอาเถิด งานเลี้ยงเลิกราเมื่อใดไม่เกี่ยวกับพวกเรา แต่คนที่เข้าเมืองล้วนต้องต่อแถว!”
ทหารพูดอย่างร้อนใจ “แต่เฉินตันจู…”
เฉินตันจู? แม่ทัพจ้องมองอีกครั้ง ก่อนจะเห็นรถม้าคันหนึ่งที่ไม่มีความโดดเด่นแต่อย่างใดกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา เขาจำคนบังคับรถได้ในทันที…องครักษ์หลวงจู๋หลิน ใช่แล้ว รถม้าของเฉินตันจู
“เฉินตันจู…” แม่ทัพลากเสียงยาวพูดขัดทหาร “ข้าไม่ตรวจได้ แต่ต่อแถวหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า ต้องดูว่าคนที่อยู่ด้านหน้ายอมหรือไม่”
เวลานี้ยังอยากให้พวกเขาเปิดทาง เป็นไปไม่ได้
เวลานั้นคำสั่งมาจากแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เวลานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อยู่แล้ว หากพวกเขายังทำอีกย่อมเป็นการกระทำที่ไม่มีคำสั่ง ต้องโทษประหาร!
ทหารกระทีบเท้า “ใต้เท้า! ข้าหมายถึงรถม้าด้านหลังเฉินตันจู!”
ด้านหลัง? แม่ทัพเงยหน้าขึ้นสูงอีกเล็กน้อย ก่อนจะเห็นขบวนทหารเกราะดำและม้าด้านหลังเฉินตันจู ท่ามกลางเป็นรถม้าสีดำคันหนึ่ง…
เอ๊ะ? ผู้ใดกัน
เขาจับกำแพงเอาไว้ ยังไม่ทันได้รู้ลักษณะของรถ เขาก็เห็นทหารด้านข้างรถคันหนึ่งยกธงใหญ่ขึ้น ธงใหญ่พลิ้วไหวตามลม เผยให้เห็นลายมังกรด้านบน…
“โอย!” แม่ทัพตบกำแพงเมือง ธงมังกรเปรียบเสมือนฝ่าบาทเสด็จมาเอง เขาไม่ทันได้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด เห็นธงดุจเห็นราชรถ “เร็ว…เปิดทาง…”
…
จู๋หลินมองเหล่าทหารที่หลั่งไหลออกมาที่ด้านหน้าประตูเมืองราวกับน้ำหลาก พวกเขาแทบจะพุ่งตัวแยกรถม้าที่อยู่หน้าประตูเมืองออกไปสองข้างกาง
ผู้คนที่ต่อแถวเข้าเมืองถูกเบียดจนโกลาหล ทั้งขุ่นเคืองทั้งโกรธ
“เกิดเรื่องใดขึ้น”
“ผู้ใดมา”
“เฉินตันจู…”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทุกคนต่างผงะ ความทรงจำที่ยังไม่เลือนรางปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เฉินตันจู? เวลานี้ยังสามารถข้ามผ่านประตูเมืองดุจพื้นที่นี้ไร้คน?
พวกเขาต่างหันไปมอง ก่อนจะพบรถม้าที่ไร้ความโดดเด่นที่คุ้นเคย ทหารเฝ้าประตูเมืองที่หลั่งไหลออกมาดุจน้ำหลากราวกับเผชิญหน้ากับหินยักษ์ พวกเขารีบยืนหลีกไปสองข้างทาง ในเวลาเดียวกันยังรั้งเหล่าราษฎรเอาไว้ เพื่อให้รถม้าคันนี้เคลื่อนผ่านไปได้อย่างไร้อุปสรรค…
คนขับเคลื่อนรถบนนั้นยังคงมีสีหน้าเฉยเมย แต่เขาไม่ได้สะบัดแส้ม้าอย่างดุดันเหมือนแต่ก่อน ราวกับว่าเขาก็ฉงนเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาหันกลับไปมองด้านหลัง
ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมอง หรือบางทีอาจก่อนที่เหล่าทหารเฝ้าประตูวิ่งออกมา ทหารข้างรถม้าคันใหญ่ได้เก็บธงที่นำออกมาแล้ว เหล่าทหารเกราะดำยืนนิ่งดุจก้อนหิน ติดตามอยู่ด้านหลังรถของเฉินตันจู เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ