สืออีเหนียงกุมหน้าผากอย่างจนใจ
ใบหน้าของโจวฮูหยินกลับเผยรอยยิ้มเปล่งประกายออกมา “วันนี้พวกเราต้องดื่มด้วยกันสักจอกสองจอกแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มพลางเดินเข้าประตูฉุยฮวาพร้อมกับนาง
“องค์หญิงบอกว่าตอนนั้นไทเฮากำลังประทับที่ตำหนักเฟิ่งเซียนจึงไม่สะดวกจะรับสั่ง” โจวฮูหยินพูดขึ้นเสียงเบา “ตอนนี้ทรงออกจากตำหนักเฟิ่งเซียนแล้ว ถึงแม้ว่าไทเฮาจะมีอะไรที่ไม่เหมาะควร แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา เกี่ยวอะไรกับฝ่าบาทเล่า ครั้นหากจะบอกว่าไม่กตัญญู นั่นก็เป็นเพราะคนจวนสกุลหยางไม่กตัญญู รู้ทั้งรู้ว่าไทเฮาเป็นคนที่พูดจาอ่อนหวาน แต่กลับเลือกพูดจาไม่น่าฟังออกมา พลอยทำให้คนฟังฉุนเฉียว” นางพูดพลางหันไปกะพริบตาให้กับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
โจวฮูหยินจึงถามสืออีเหนียงว่า “จริงสิ ตอนนั้นเจ้าพูดกับคนตกอับนั่นว่าอย่างไร”
“ข้าพูดกับป้ารับใช้ที่มารายงาน” สืออีเหนียงพูดขึ้น “บอกแค่ว่าหากไม่มีธุระอะไรที่เร่งด่วนและสำคัญ ข้าจะไปที่จวนจงฉินปั๋วสักหน่อย”
โจวฮูหยินก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ “เกรงว่านางคงจะไม่เข้าใจในความหมายที่เจ้าต้องการจะสื่อน่ะสิ!”
“เช่นนั้นข้าก็จนปัญญาแล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้ชายที่ติดตามรับใช้โจวฮูหยินวิ่งเข้ามาพอดี “ฮูหยิน ฮูหยิน ข่าวดี มีข่าวดีขอรับ!”
บ่าวรับใช้ที่สามารถติดตามโจวฮูหยินออกมาข้างนอกได้ล้วนแล้วแต่เป็นคนฉลาดหัวไวทั้งนั้น แต่มาลืมเนื้อลืมตัวจนเสียกิริยามารยาทเช่นนี้ ทำเอาสืออีเหนียงและโจวฮูหยินพากันชะงักฝีเท้าลงด้วยความแปลกใจ
บ่าวรับใช้ชายพูดขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้าที่ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก “ไท่จื่อเฟยมีข่าวดีแล้วขอรับ!”
“อะไรนะ!” สืออีเหนียงรู้สึกดีใจอย่างล้นพ้น “เจ้าไปได้ยินจากที่ไหนมา”
ร่างกายของโจวฮูหยินสั่นเทาไปหมด หากไม่ใช่เพราะสาวใช้เข้ามาประคองแขนของนางเอาไว้ทัน เกรงว่าคงจะล้มลงกับไปกองพื้นอย่างแน่นอน
“ขันทีเน่ยซื่อของทางไท่จื่อเฟยเป็นคนมาแจ้งข่าวดีขอรับ” บ่าวรับใช้ชายแสดงอาการดีใจเป็นอย่างมาก “องค์หญิงได้ส่งจดหมายมาแจ้งข่าวกับฮูหยิน เพราะกลัวว่าฮูหยินทั้งสองจะเป็นห่วงไท่จื่อเฟยขอรับ”
โจวฮูหยินจึงค่อยได้สติขึ้นมา จากนั้นก็ชี้ไปยังบ่าวรับใช้ชายคนนั้นพร้อมกับหันมาสั่งคนข้างกายว่า “ให้รางวัล…ให้รางวัลสิบตำลึง”
สืออีเหนียงเองก็ยิ้มพร้อมกับหันไปสั่งหู่พั่วว่า “ให้รางวัลสิบตำลึง”
พลอยทำให้บ่าวรับใช้ชายคนนั้นยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นตรง เขาทั้งโค้งคารวะทั้งคำนับแทบพื้นด้วยความดีใจ
โจวฮูหยินมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้หันไปจูงมือสืออีเหนียง “เรารีบไปแจ้งข่าวนี้ให้กับไท่ฮูหยินกัน ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ได้ดีใจไปกับเราด้วย” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “มื้อค่ำข้าก็ไม่ทานแล้ว รีบกลับไปถามรายละเอียดของสถานการณ์ก่อน” จากนั้นก็หันกลับไปถามบ่าวรับใช้ชายคนนั้นว่า “ขันทีเน่ยซื่อของวังกลับไปแล้วหรือยัง” นางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงและคำพูดที่แทบจะไม่เป็นภาษาเพราะดีใจจนเกินไป
“ตอนที่บ่าวออกมายังอยู่ครับ!” บ่าวรับใช้ชายคนนั้นตอบกลับด้วยความนอบน้อม
โจวฮูหยินรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินพร้อมสืออีเหนียงด้วยความรีบร้อน
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รีบไปจุดธูปสามดอกหน้าโต๊ะพระ
“ตอนนี้ข้าหมดกังวลแล้ว!”
ไม่เพียงแต่ไม่รั้งโจวฮูหยินให้อยู่ต่อ แต่กลับเร่งให้นางรีบกลับไป “นานแค่ไหนแล้ว สุขภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ถามได้ใจความอย่างไรค่อยมาแจ้งข้าอีกที”
โจวฮูหยินรีบพยักหน้าตอบ จากนั้นก็ขอตัวลากลับไปพร้อมกับสาวใช้และบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาเป็นขบวนกลับจวนไป
เมื่อไท่ฮูหยินกลับไปถึงเรือน ก็ได้อุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังเล่นหุ่นกระบอกไม้แกะสลัก หัวเราะด้วยความดีใจอยู่บนเตียงเตา “ราชนิกุลกำลังจะมีทายาทเพิ่มมาอีกคนแล้ว!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะไป นางพยายามดิ้นให้หลุดพลางชี้ไปยังหุ่นกระบอกไม้แกะสลักที่ตกอยู่บนเตียงเตาด้วยความงอแง สืออีเหนียงจึงรีบเข้าไปช่วยเก็บหุ่นกระบอกไม้แกะสลักขึ้นมาพร้อมกับยื่นให้นาง นางจึงกอดหุ่นกระบอกไม้แกะสลักไว้ในอ้อมอกและยอมนั่งบนตักของไท่ฮูหยินแต่โดยดี
คนในจวนต่างก็พากันมาแสดงความยินดีกับไท่ฮูหยินกันถ้วนหน้า
ไท่ฮูหยินดีอกดีใจเป็นอย่างมาก จึงหันไปสั่งกับสืออีเหนียงว่า “มอบเงินก้อนให้คนละหนึ่งก้อนเป็นรางวัล”
สืออีเหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปจัดการทันที ขากลับมาก็ได้ยินไท่ฮูหยินกำลังสั่งกับป้าตู้ว่า “…เริ่มทานอาหารเจตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็รีบหันมาดู พอเห็นว่าเป็นสืออีเหนียง ก็ได้หยุดบทสนทนานั้นลง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “ทางฝั่งอี๋เจินและตานหยาง เจ้าควรส่งข่าวไปบอกด้วยถึงจะถูก”
ไท่ฮูหยินไปอธิษฐานขอพรตั้งแต่เมื่อไรกัน
สืออีเหนียงเห็นว่าไท่ฮูหยินแสดงท่าทีต้องการที่จะปิดบังตน ทั้งยังดูเหมือนจะสั่งให้บ่าวรับใช้ในเรือนระมัดระวังคำพูดอีกด้วย นางจึงตัดสินใจว่าไว้ค่อยไปถามป้าตู้ดีกว่า จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าให้คนไปแจ้งข่าวกับทางโน้นเรียบร้อยแล้ว ทางฝั่งท่านโหวข้าเองก็ได้ให้คนไปแจ้งข่าวแล้วเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นที่มุมปาก ราวกับว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าชนกับอะไรเข้า ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ที่ดังลั่นเท่านั้น จึงเพิ่งเห็นว่าของชิ้นเล็กๆ ที่เรียงอยู่บนโต๊ะเตียงเตาของไท่ฮูหยินตกลงบนพื้นทั้งหมด จึงทำให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจจนร้องไห้เสียงดัง
สืออีเหนียงจึงรีบเข้าไปอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมาทันที “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคนดี” สืออีเหนียงปลอบซินเจี่ยเอ๋อร์พร้อมกับลูบหลังของนางเบาๆ
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าของอย่างข้ายังไม่ทันจะว่าอะไร คนล้มโต๊ะกลับร้องไห้ไปเสียก่อน”
เมื่อบ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องได้ยินแล้ว ก็พากันรีบเข้าไปเก็บข้าวของที่เกลื่อนเต็มพื้น
สวีลิ่งอี๋มาถึงพอดี
พอเข้ามาก็เห็นว่าสืออีเหนียงกำลังปลอบโยนซินเจี่ยเอ๋อร์อยู่
นัยน์ตาที่บริสุทธิ์ สีหน้าที่สงบสุขุม พลอยทำให้สวีลิ่งอี๋นึกถึงแสงจันทราในค่ำคืนที่เงียบสงัด
เขาชะงักไปชั่วขณะ
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ามาไวจริงเชียว!”
ห้วงความคิดของสวีลิ่งอี๋ถูกขัดจังหวะไป
เขายิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ได้ยินข่าวดีเช่นนี้ เวลาเดินเหินก็ย่อมเร็วกว่าปกติเป็นธรรมดาขอรับ”
ต่อมาสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็เลิกเรียนกลับมาพอดี ฮูหยินสองเองก็มาถึงด้วย บรรยากาศในเรือนจึงเต็มไปด้วยเสียงสนทนาและเสียงหัวเราะ หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข
ขณะที่กำลังเดินกลับไปที่เรือน สวีซื่อเจี้ยก็ได้ซบหน้าลงบนไหล่ของสะใภ้หนานหย่งและหลับคาอ้อมกอดไปแล้ว
เมื่อสืออีเหนียงหันกลับไปมอง ก็นึกถึงซินเจี่ยเอ๋อร์ที่ซุกซนเหมือนลูกลิงน้อยก็ไม่ปาน จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจี้ยเกอมีนิสัยที่สุภาพและสงบเสงี่ยมเหมือนเด็กผู้หญิง ส่วนซินเจี่ยเอ๋อร์นั้นซุกซนราวกับเด็กผู้ชายก็ไม่ปาน นิสัยของทั้งสองคนตรงกันข้ามเลยก็ว่าได้”
ในหัวของสวีลิ่งอี๋พลันปรากฏภาพที่สืออีเหนียงกำลังเล่นกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน เมื่อนึกย้อนกลับไป นี่ก็กำลังจะครบสองปีแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวดีอะไรเลย เขาจึงแอบถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หันมายิ้มให้กับสืออีเหนียง
เพียงไม่กี่วัน ทุกคนก็ทราบข่าวเรื่องไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์กันถ้วนหน้า โดยเฉพาะมิตรสหายที่สนิทสนมกับทางจวนสกุลสวีเป็นพิเศษ ก็ได้ส่งคนมาถามไถ่ข่าวคราวอย่างไม่ขาดสาย คำพูดประโยคเดิม แต่สืออีเหนียงต้องพูดซ้ำๆ และต้องพูดทุกวัน เวลานี้เอง จู่ๆ เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินก็ได้มาเยี่ยมเยียน
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ไปรอพบนางอยู่ที่ห้องโถง
เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินยิ้มกว้าง แต่กลับยากที่จะปกปิดสีหน้าที่เย่อหยิ่งเอาไว้ได้
หลังจากที่สาวใช้ได้ยกน้ำชาเข้ามาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินก็ได้พูดขึ้นว่าต้องการจะไปคารวะไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงจึงปฏิเสธอย่างสุภาพไปว่า “…ช่วงนี้อากาศร้อนเกินไป ไท่ฮูหยินจึงไปพักผ่อนที่เรือนศาลาริมน้ำของสวนดอกไม้หลังเรือน ช่วงนี้ท่านแม่ไม่พบแม้กระทั่งญาติสนิทมิตรสหาย เจตนาดีของท่านข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว ตอนที่ไปคารวะนาง ข้าจะเรียนเรื่องนี้ให้ท่านแม่ทราบ”
เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
นางนึกไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะปฏิเสธ ที่นึกไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือสืออีเหนียงจะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอและฟังดูทรงพลังเช่นนี้
หรือว่าไท่ฮูหยินจะมอบหมายสิทธิ์และอำนาจตัดสินใจทุกอย่างในจวนให้กับสืออีเหนียงหมดแล้ว
นางนึกถึงข่าวลือที่คนในเมืองเยี่ยนจิงเล่ากันว่า คนที่ไท่ฮูหยินของหย่งผิงโหวให้ความสำคัญที่สุดก็คือฮูหยินสอง ส่วนคนที่ชอบที่สุดก็คือฮูหยินห้า และคนที่ชื่นชมและตระหนักถึงที่สุดก็คือสืออีเหนียง
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว การที่สืออีเหนียงจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลหลักของจวนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่สืออีเหนียงจะไม่กำเริบเสิบสานเกินไปหน่อยหรืออย่างไรกัน
สีหน้าของเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินแฝงไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งที่ท่านโหวกำชับไว้ก่อนที่จะมา นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนองค์หญิงฝูเฉิงเมื่อหลายวันก่อน…นางจึงฝืนยิ้มขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ได้ยินมาว่าเจ้าไปหาไท่ฮูหยินของสกุลกานมา นางสบายดีหรือไม่ ข้าไม่ได้เจอนางมาสักพักใหญ่แล้ว”
“กานไท่ฮูหยินสบายดี” สืออีเหนียงและนางพูดคุยกันอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่แล้วเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินก็ได้วกกลับมาที่เรื่องของหยางอี๋เหนียง “เหตุใดจึงไม่เห็นนางมาปรนนิบัติรับใช้เจ้าเลย ก่อนที่นางจะมาข้าเองได้กำชับนางเป็นอย่างดีแล้ว ว่าจะต้องปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินเสมือนปรนนิบัติรับใช้พี่หญิง เคารพนอบน้อม ขยันหมั่นเพียร อย่าเลินเล่อเพียงเพราะตนเกิดในตระกูลหยาง จะพลอยทำให้ฮูหยินไม่ชอบใจเอาได้” น้ำเสียงของนางฟังดูเหมือนกำลังหยั่งเชิง พูดเป็นหลักเป็นการถึงสิ่งที่อนุพึงปฏิบัติต่อภรรยาเอก
สืออีเหนียงค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็ยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้เผยออกมา นางยิ้มพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบชาช้าๆ ราวกับใบไม้ที่กำลังปลิวล่องลอยอยู่ในอากาศก็ไม่ปาน พูดขึ้นว่า “งานตักน้ำรินน้ำชามีสาวใช้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้อยู่แล้ว ในจวนมีเด็กๆ เยอะ เสื้อผ้าที่ใส่วันนี้พรุ่งนี้ก็อาจจะคับไปแล้วก็ได้ อี๋เหนียงทั้งหลายล้วนแล้วแต่ถูกผูกมัดด้วยความคิดเห็นเก่าแก่ทางโลกีย์ สู้ให้พวกนางเย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือนดีกว่า ไม่จำเป็นต้องมาปรนนิบัติรับใช้เหมือนเช่นสาวใช้ในจวน”
เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินแอบรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
โจวฮูหยินให้หลานสาวของนางอีกคนประกบข้างกายเพื่อคอยสอนกฎเกณฑ์และขนบธรรมเนียมต่างๆ แต่สืออีเหนียงกลับทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ร่างกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ต่อหน้าฮูหยิน ยังดีที่พอจะได้เจอท่านโหวบ้าง วันๆ เอาแต่นั่งเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในเรือน ยกเว้นวันที่ปรนนิบัติท่านโหว นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีโอกาสเจอหน้าท่านโหวอีกเลย
สืออีเหนียงผู้นี้ ฉลาดหลักแหลมไม่น้อย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็ได้หันมายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลานสาวข้าคนนี้ฝึกงานเย็บปักถักร้อยมาจากอาหญิงที่อยู่ในวังของนาง ฝีมือก็ถือว่าพอไปวัดไปวา ฮูหยินอยากจะเย็บอะไรแบบไหนก็แค่สั่งกับนางก็พอ”
ที่สืออีเหนียงเริ่มแต่งตัวก็เพราะเริ่มมีชื่อเสียง หากนางเปลี่ยนใจให้หยางอี๋เหนียงมาช่วยเย็บปักถักร้อย แล้วสามารถต้องตาสวีลิ่งอี๋เข้า ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว
“มิน่าเล่า ข้าก็ว่าเหตุใดหยางอี๋เหนียงถึงได้ปักลายดอกเป่าเซียงได้ชำนาญเช่นนี้” สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “หากมีส่วนไหนที่จำเป็นต้องใช้ ข้าจะต้องเรียกใช้หยางอี๋เหนียงอย่างแน่นอน”
เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินเห็นว่าสีหน้าท่าทีและอากัปกิริยาของสืออีเหนียงสุขุมและอ่อนโยน ในใจของนางก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาดูว่าหลานสาวของข้าทำตัวเหมาะสมหรือไม่ หากมีตรงไหนที่นางทำได้ไม่เหมาะสม ฮูหยินบอกข้ามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะไปสั่งสอนนางเอง!” น้ำเสียงฟังดูต้องการที่จะผูกมิตร
สืออีเหนียงเข้าใจได้ในทันที
สิ่งที่จวนสกุลหยางต้องการก็คือการสนับสนุนจากสวีลิ่งอี๋ หากสามารถมีอนุที่ถูกโปรดปรานและรักใคร่เอ็นดูก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ไม่จำเป็นต้องมาล่วงเกินตนเสียด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินพูดมาทั้งหมดนั้นค่อนข้างก้าวก่ายจนเกินไป
“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ” นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้าจะกล้าให้ฮูหยินมากังวลใจเรื่องภายในจวนของข้าได้อย่างไรกัน” สืออีเหนียงปฏิเสธคำชี้แนะของเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินอย่างสุภาพ
สีหน้าของเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
นางทำดีไปเสียรอบด้าน แต่สืออีเหนียงก็ยังไม่ได้เปิดใจตอบรับนางแต่อย่างใด…เวลานั้นเอง เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินก็ไม่สามารถที่จะฝืนปั้นหน้าได้อีกต่อไป นางจึงหัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยันพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอตัวลาก่อนก็แล้วกัน” พูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงค่อยเดินจากไป
สืออีเหนียงยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองแผ่นหลังของนางด้วยความเงียบงัน หลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปที่เรือนหลักของตน
ส่วนทางป้าหยางกำลังคุยกับหยางอี๋เหนียงอยู่
“ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างกระวนกระวายใจ “ท่านลองไปดูเสียหน่อยว่าควรต้องทำอย่างไรดี หากฮูหยินรู้ว่าตอนนี้ท่านยัง…”
“จะเป็นเดือดเป็นร้อนไปทำไมกัน” หยางอี๋เหนียงกำลังก้มหน้าก้มตาปักถุงเท้าลายดอกเป่าเซียง นี่เป็นถุงเท้าคู่ที่สิบหกแล้ว เหวินอี๋เหนียงมีแล้ว ฉินอี๋เหนียงมีแล้ว สวีซื่อจุนมีแล้ว รวมไปถึงเฉียวเหลียนฝังต่างก็ล้วนมีหมดแล้ว เหลือเพียงแค่สืออีเหนียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่มี “ฮูหยินไม่ยอมให้ข้าเจอหน้ากับเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินหรอก”
ป้าหยางรู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก
หยางอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มีอนุของตระกูลไหนออกไปต้อนรับแขกเองบ้างเล่า”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีคำว่า ‘แต่’ อะไรทั้งนั้น” หยางอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “นอกเสียจากว่าฮูหยินจะไม่รักษาศักดิ์ศรีของภรรยาเอก”
ป้าหยางไม่ได้พูดอะไรต่อ
ตกค่ำก็ได้ไปคารวะสืออีเหนียง เฉียวเหลียนฝังยิ้มพร้อมกับหันมาจ้องมองนาง “ฮูหยิน ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินมาหา เหตุใดถึงไม่ให้น้องหญิงหยางไปเข้าพบนางเสียหน่อยเจ้าคะ อย่างไรเสียนางก็ถือว่าเป็นญาติของน้องหญิงหยางนี่นา!” พูดขึ้นพลางเม้มปากยิ้ม