รถม้าเคลื่อนผ่านประตูเมืองอย่างช้าๆ ภาพเหตุการณ์นี้ไม่แปลกตาสำหรับจู๋หลิน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เวลานี้เขากลับรู้สึกมีสิ่งใดผิดปกติ
อาเถียนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ นางรู้สึกทุกอย่างเป็นสิ่งที่ถูกต้อง!
“ถูกต้องแล้ว” นางพูดอย่างดีใจ “คุณหนูของพวกเราเป็นองค์หญิงแล้ว!”
เฮ้อ แต่ก่อนตอนที่เดินทางอย่างไร้อุปสรรคยังไม่ใช่องค์หญิงเสียด้วยซ้ำ เจ้าเด็กโง่นี่ เห็นได้ชัดว่าการเดินทางอย่างไร้อุปสรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฐานะ ไม่ ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับฐานะ จู๋หลินหันกลับไปมองรถด้านหลังอีกครั้ง ราชรถขององค์ชายหกเคลื่อนที่ตามอย่างสงบ…
เหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองรู้แล้วว่าเป็นราชรถขององค์ชายหกหรือ
ราชรถนี้ไม่สามารถมองออกถึงฐานะ ยกเว้นทหารที่ล้อมรอบ แต่แม่ทัพบางคนก็อาจมีทหารล้อมรอบได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นองค์ชาย
คนข้างทางก็คิดเช่นนี้ สายตาล้วนจับจ้องไปยังขบวนด้านหลังรถของเฉินตันจู ซุบซิบเสียงเบา
“ผู้ใดกัน”
“ทหารมากมายเพียงนี้ แม่ทัพท่านไหนกระมัง”
“ผู้ใดกัน ต้องให้เฉินตันจูคุ้มกันเปิดทาง”
ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพท่านไหน ล้วนไม่อาจไม่แสดงตัวตนเข้าเมืองเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ต้องมีธงแม่ทัพเป็นหลักฐาน…ผู้ที่ไม่แสดงตัวตนมีเพียงเฉินตันจูที่ไร้กฎระเบียบเท่านั้น
ดังนั้น เฉินตันจูยังคงสามารถเดินทางอย่างไร้อุปสรรค
“ไม่เพียงเท่านี้ พวกเจ้าเห็นหรือไม่ รถม้าข้างทางเหล่านี้…ล้วนกลับมาจากงานเลี้ยงตระกูลฉาง”
“ใช่ แต่งานเลี้ยงเลิกราเร็วไปหรือไม่”
“ข้าได้ข่าวมา ท่านโหวกวนเน่ยปั่นป่วนงานเลี้ยงตระกูลฉาง”
“เพราะเหตุใด ยังจะเพราะเหตุใดได้อีก เพราะต้องการระบายความโกรธแทนเฉินตันจูอย่างไรเล่า!”
“เฉินตันจูได้รับความไม่เป็นธรรมในงานเลี้ยงตระกูลกู้ จะยอมเลิกราได้อย่างไร ดู ท่านโหวกวนเน่ยออกโรงแล้ว”
“แต่ว่า ท่านโหวกวนเน่ยออกโรง เกี่ยวข้องอย่างไรกับเฉินตันจู”
“เจ้ามาจากชนบทใช่หรือไม่ เจ้าไม่รู้ว่าท่านโหวกวนเน่ยเกี่ยวข้องอย่างไรกับเฉินตันจู”
เสียงซุบซิบบริเวณประตูเมืองดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ว่ามันไม่เกี่ยวอันใดกับเฉินตันจู นางยังคงนั่งเหม่อลอยในรถ ไม่สนใจว่าจะข้ามผ่านประตูเมืองไปได้อย่างไร อีกทั้งไม่ได้ฟังเสียงนินทาด้านนอก จนกระทั่งจู๋หลินหยุดรถ
“เกิดเรื่องใดขึ้น” นางถามเมื่อตั้งสติกลับมาได้
จู๋หลินพูด “คุณหนู เข้าเมืองแล้ว”
ก่อนหน้านี้เฉินตันจูเอ่ยว่าจะเข้าเมืองพร้อมองค์ชายหก เวลานี้เข้าเมืองแล้ว เมื่อองค์ชายหกเข้าเมืองย่อมต้องเสด็จไปพระราชวัง ยังต้องติดตามต่อหรือไม่
ย่อมไม่ต้อง เฉินตันจูเปิดม่านเพื่อลงจากรถ ราชรถขององค์ชายหกเคลื่อนมาขนาบข้างกับรถม้าของนาง เด็กคนหนึ่งเปิดม่านหน้าต่าง องค์ชายหกพิงอยู่ที่หน้าต่าง ยิ้มให้นาง
“คุณหนูตันจูมีความสามารถ” เขาพูด “ทำให้ข้าเข้าประตูเมืองมาอย่างไม่มีคนสังเกต”
เอ่อ…ไม่สังเกตหมายความว่าอย่างไร เฉินตันจูสงสัยเล็กน้อย มองจู๋หลิน
จู๋หลินขมวดคิ้วเล็กน้อย องค์ชายหกหมายความว่าอย่างไร หรือเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงสามารถเข้าเมืองมาได้อย่างไร้อุปสรรค
ทางด้านฉู่อวี๋หยงอธิบายต่อเฉินตันจู
“เสด็จพ่อให้คนรับข้ามา ทรงรู้ว่าร่างกายข้าไม่แข็งแรง ไม่ได้บังคับให้ข้าต้องถึงในเวลาใด ข้าเดินทางอย่างเชื่องช้า เสด็จพ่อก็ไม่รู้ว่าข้าจะเดินทางถึงเมื่อใด”
อ่อ ดังนั้น ทหารเฝ้าประตูเมืองจึงไม่รู้ว่าเป็นราชรถขององค์ชายหก จึงไม่ได้เปิดทางเพื่อเขา?
อาเถียนได้ใจอย่างมาก “องค์ชายหกไม่ต้องทรงประหลาดใจ คุณหนูของพวกเราเข้าเมืองอย่างไร้อุปสรรคเช่นนี้เพคะ”
ดวงตาของฉู่อวี๋หยงเป็นประกายดุจพระจันทร์ “ข้าเคยได้ยิน วันนี้ได้เห็น เหมือนดังคำร่ำลือ”
เฉินตันจูถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางฉงนเล็กน้อย อีกทั้งอยากหัวเราะ ไม่อยากจะอธิบายสิ่งใด นางชี้ไปด้านหน้า “องค์ชาย เดินไปตามทางก็จะถึงพระราชวังแล้ว หม่อมฉันขอ…”
นางยังพูดไม่ทันจบ นิ้วเรียวยาวของฉู่อวี๋หยงยื่นออกมากวักเรียกให้นางเข้าใกล้
ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้น จะเข้าใกล้อย่างไร เฉินตันจูยิ้ม ยื่นตัวออกไปเล็กน้อย กดเสียงต่ำ “มีอันใดหรือเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเบา “เสด็จพ่อไม่รู้ว่าข้ามา ข้าอยากสร้างความประหลาดใจให้เสด็จพ่อ ดังนั้นคุณหนูตันจูยังคงอยู่ด้านหน้า เจ้าไปขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อข้า จากนั้นพาข้าเข้าไป”
บุตรชายที่ไม่ได้พบนานปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันหรือ สำหรับพ่อลูกคู่อื่นแล้วอาจเป็นความประหลาดใจ แต่สำหรับฝ่าบาทแล้ว เขาคงจะสนใจนางที่พาบุตรชายของเขาเข้ามา…คงจะตกใจมากว่าประหลาดใจ
เฉินตันจู เหตุใดเจ้าจึงเกี่ยวพันกับองค์ชายของข้าอีกแล้ว!
เฉินตันจูราวกับสามารถมองเห็นดวงตาที่เบิกโตของฮ่องเต้แล้ว นางกลั้นขำไม่อยู่ ดวงตากลมโตกลอกไปมา หลายวันนี้นางคงใช้ชีวิตอย่างไร้เศร้าโศก…
“ได้เพคะ” นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันขอคิดดูก่อนว่าต้องทำอย่างไร”
นางพูดพลางมองรถและกำลังพลของฉู่อวี๋หยง ชี้นิ้ว
“ท่านต้องไม่ใช้รถนี้กับคนเหล่านี้แล้ว มิฉะนั้นปิดบังไม่อยู่”
ทหารจำนวนมากเพียงนี้เข้าเมืองย่อมต้องถูกซักถาม เมื่อเข้าใกล้พระราชวัง ฝ่าบาทย่อมต้องรู้
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้า “เจ้าพูดถูก” เขารีบปล่อยม่านลง เดินลงมาจากรถ กำชับเด็กด้านหลัง “อาหนิว เจ้าพาคนเฝ้าอยู่บริเวณประตูเมือง อย่าได้เคลื่อนย้าย”
การทิ้งกองกำลังและรถม้าเอาไว้เช่นนี้ หากเหล่าขุนนางมาซักถามย่อมเป็นการถ่วงเวลา เขาย่อมสามารถไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับเฉินตันจูอย่างเงียบๆ ได้แล้ว
การกระทำนี้ไม่เหลวไหลหรือ จู๋หลินขมวดคิ้วอีกครั้ง เขามองเหล่าทหารทางนั้นที่ยังคงนิ่งสงบ ให้ทำก็ทำ ให้หยุดก็หยุด ส่วนเด็กที่มัดผมสองจุกที่ชื่ออาหนิวนั้น...
“ได้ๆ” อาหนิวทำหน้าดีใจ ก่อนจะกดเสียงต่ำ “รอตอนซักถาม ข้าจะบอกว่าพระองค์บรรทมอยู่ในรถ ให้พวกเขาอย่ารบกวน”
ฉู่อวี๋หยงยิ้มให้เขาอย่างชื่นชม “ทำตามที่เจ้าบอก” พูดพลางเดินไปยังรถของเฉินตันจู รูปร่างของเขาสูง ยืนอยู่บนพื้นก็สามารถสบตากับเฉินตันจูที่นั่งอยู่ในรถ “คุณหนูตันจู ข้าจะนั่งรถของเจ้าแล้ว”
เฉินตันจูพิงอยู่บนหน้าต่างรถยื่นมือให้เขาทำท่าเชิญ อาเถียนเปิดม่านรถขึ้นอย่างดีใจ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ต้องให้คนพยุง แขนยาวขาขาวโน้มตัวนั่งเขามาในรถ
จู๋หลินปวดหัว? พวกเขาจะทำเช่นนี้จริงหรือ ไปสร้างความประหลาดใจให้ฮ่องเต้ คุณหนูตันจูไม่รู้หรือ นางเคยสร้างความประหลาดใจให้ฮ่องเต้เมื่อใดกัน มีแต่ความตกใจมากกว่า!
อีกทั้งยังมีองค์ชายหกนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เขาอดที่จะหันมองหาเฟิงหลินไม่ได้ ใบหน้าของเฟิงหลินที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้หมวกดูเหม่อลอย เมื่อเห็นสายตาของเขาจึงรีบเร่งม้าเข้ามา
“องค์ชายหก ไม่มีคนห้ามได้หรือ” จู๋หลินถามเสียงเบา
คนที่ติดตามอยู่ข้างตัวองค์ชายคงจะได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ แต่พวกเขาก็ต้องรับหน้าที่อบรมสั่งสอน ต้องคอยดูแลกิริยาท่าทางขององค์ชาย
เหตุใดข้างตัวองค์ชายหกจึงมีเด็กเพียงคนเดียว
เฟิงหลินหัวเราะเสียงแห้ง “ข้าไม่ใช่คนข้างตัวขององค์ชาย ไม่แน่ใจ ข้าไม่รู้ คงห้ามไม่อยู่”
ทางองค์ชายหกไม่มีคนห้าม ทางเฉินตันจู จู๋หลินก็ห้ามไม่ได้ เขาเพิ่งได้คุยกับเฟิงหลินไม่กี่คำ อาเถียนก็เร่งเร้าอยู่ด้านหลัง “รีบไป รีบไป อย่าได้ถูกคนพบเข้า”
จู๋หลินจะทำอย่างไรได้ เขาสะบัดแส้เร่งม้า คนหนึ่งองค์หญิง คนหนึ่งองค์ชาย จะทำอย่างไรก็ทำ เขาเป็นเพียงองครักษ์หลวง