ตอนที่ 393 ข้อมูลสำคัญ
หลังประชุมเสร็จ เถาจืออวิ๋นก็ตามหลินม่ายกลับไปที่ห้องทำงาน
หลินม่ายหยิบกระดาษสเก็ตช์แบบเสื้อผ้าที่เธอคัดลอกมาจากชาติที่แล้วให้อีกฝ่ายดู
เถาจืออวิ๋นมองแบบร่างเสื้อผ้าที่เธอวาดแค่ปราดเดียว ก็ตกใจจนแทบล้มทั้งยืน
“ไหนเธอว่าตัวเองไม่เคยเรียนออกแบบเสื้อผ้าเลยยังไงล่ะ ทำไมเสื้อผ้าที่เธอออกแบบถึงได้ออกมาดูดีขนาดนี้ แบบนี้ดีไซเนอร์ไม่ตกงานกันหมดเหรอ?”
ปากตัดพ้อไปอย่างนั้น แต่การแสดงออกกลับกระตือรือร้นมาก
หล่อนตั้งใจว่าจะเอาแบบเสื้อผ้าที่หลินม่าย ‘ออกแบบ’ ไปสร้างแพทเทิร์น เพื่อให้ช่างดำเนินการผลิตได้โดยเร็ว
หลินม่ายเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “จวนจะเที่ยงตรงแล้ว ไว้ค่อยกลับมาทำงานต่อตอนบ่ายเถอะ”
เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “ยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน ฉันต้องทำงานให้เสร็จก่อน ไม่อย่างนั้นก็ได้รับค่าจ้างโดยเปล่าประโยชน์กันพอดี”
หลินม่ายไม่คะยั้นคะยอหล่อนอีก ปล่อยให้หล่อนทำงานต่อ
ส่วนตัวเธอเองต้องรีบกลับไปทำอาหารกลางวัน
ถึงแม้คุณย่าฟางออกปากว่าจะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่วางใจ
อีกอย่าง วันนี้เธอยังไม่ได้ถูพื้นเลย ต้องกลับไปถูพื้นก่อน
หลินม่ายคิดในใจว่าช่วงนี้งานของเธอเริ่มยุ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเธอควรจ้างแม่บ้านพาร์ทไทม์มาช่วยทำอาหารและทำงานบ้านดีนะ?
ก่อนกลับเข้าบ้าน เธอแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงเพื่อดูเสื้อผ้าที่เถาจืออวิ๋นออกแบบไว้ต้อนรับเปิดเทอม
ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน และไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ แต่กิจการของร้าน Unique ยังคงเป็นไปด้วยดี พนักงานขายหลายคนต่างยุ่งอยู่กับการต้อนรับลูกค้า
ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิง
เมื่อพนักงานขายหลายคนเห็นหลินม่าย พวกเธอก็ยิ้มกว้างพลางทักทาย “สวัสดีค่ะ หัวหน้าหลิน”
หลินม่ายตอบกลับอย่างเป็นกันเอง “สวัสดีค่ะ พวกคุณทำงานของตัวเองต่อเถอะ ไม่ต้องมัวพะวงเกี่ยวกับฉัน”
เธอกวาดตามองเสื้อผ้าที่เรียงรายอยู่บนราวด้วยตัวเอง
วีรบุรุษย่อมมองเห็นสิ่งเดียวกัน(1) ความคิดของเธอกับเถาจืออวิ๋นตรงกันเป๊ะ
เสื้อผ้าที่ออกแบบเพื่อต้อนรับช่วงเปิดเทอมมีความสุภาพและสดใสสมวัย ซึ่งเหมาะสำหรับนักเรียนหญิงมาก
ในช่วงเปิดเทอมแบบนี้ ร้านเสื้อผ้า Unique จึงยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่ง
พอเธอเดินออกมา แล้วผ่านร้านขายเสื้อผ้าที่ผลิตโดยโรงงานของรัฐ ก็เผอิญได้ยินบทสนทนาของพนักงานขายสองคน
พนักงานขาย A “ฉันได้ยินมาว่าราคาวัสดุที่ใช้สำหรับตัดเสื้อพุ่งสูงขึ้นมาก ส่งผลให้เสื้อผ้าทุกชนิดพลอยมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย เธอรู้เรื่องนี้ไหม?”
พนักงานขาย B “รู้สิ แล้วมันผิดปกติยังไงล่ะ?”
พนักงานขาย A “หมายความว่าราคาเสื้อผ้าของเราก็จะพุ่งสูงตามไปด้วยน่ะสิ”
พนักงานขาย B ทำท่าทางเหนื่อยหน่าย “ฉันกลับไม่คิดอย่างนั้น ราคาวัสดุแพงขึ้นตั้งแต่ประมาณครึ่งเดือนก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่เสื้อผ้าของเราขึ้นราคาแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง ต่อให้ราคาจะสะพัดยังไงก็คงส่งผลกระทบต่อเราไม่มากหรอก ถึงยังไงเสื้อผ้าที่ผลิตโดยโรงงานของรัฐในประเทศเราก็ล้าสมัยออกปานนี้ ปกติก็แข่งขันกับร้านอื่นไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีทางขึ้นราคาง่าย ๆ แน่”
พนักงานขาย A กลับไม่เห็นด้วยแบบหัวชนฝา “เธอพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ในเมื่อราคาเสื้อผ้าในแถบชายแดนแพงเอาแพงเอาอย่างกับจรวดขนาดนั้น เธอไม่คิดว่าเสื้อผ้าของเราอาจขายดีกว่าเมื่อก่อนเหรอ?”
พนักงานขาย B “ก็อาจเป็นไปได้ เพราะราคาเสื้อผ้าของเราขยับขึ้นแค่นิดเดียว จึงมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เธอว่าถ้าไม่มีข้อได้เปรียบในด้านราคา คิดว่าเสื้อผ้าของเราจะขายดีหรือไง? นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงบอกว่าการขึ้นราคาของวัสดุส่งผลกระทบต่อเราแค่เล็กน้อย”
พนักงานขาย A ยืนกรานในความคิดของตัวเอง “ก่อนหน้านี้ เรายังรักษาระดับราคาเสื้อผ้าไม่ให้สูงเกินไป เพราะต้องการใช้โอกาสนี้ในการระบายเสื้อผ้าที่ค้างอยู่ ถึงอย่างนั้นสินค้าส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในคลังย่อย การที่ราคาวัตถุดิบพุ่งพรวดอย่างรวดเร็วแบบนี้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าราคาเสื้อผ้าของเราจะไม่เพิ่มตาม ถ้าไม่ขึ้นราคาก็ต้องยอมขาดทุน หรือไม่ก็เลิกผลิตไปเสียเลย อย่างน้อยก็ไม่ต้องสูญเงินเปล่า”
ขณะที่พวกหล่อนกำลังพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น จู่ ๆ ก็หยุดไปเสียดื้อ ๆ แล้วหันมองมาทางหลินม่ายด้วยความสงสัย
หลินม่ายรู้ว่าการแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองถูกจับสังเกตได้เสียแล้ว จึงแกล้งทำเป็นเดินออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จากครึ่งเดือนที่แล้ว ในที่สุดข่าวการขึ้นราคาเสื้อผ้าของกว่างโจวที่หลินม่ายรอคอยก็แพร่สะพัดเข้ามาถึงเจียงเฉิง
แต่กระแสการขึ้นราคาที่เป็นเหมือนพายุไต้ฝุ่นซึ่งพัดผ่านจากกว่างโจวเข้ามาสู่เจียงเฉิง ดูเหมือนจะสิ้นสุดความรุนแรงแล้ว เพราะอ่อนกำลังลงมาก
เหตุผลหลักคือพื้นที่บริเวณชายแดนได้รับอิทธิพลทางการค้าแบบรอบด้าน ทำให้ท้องตลาดมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้า
ทว่าเมืองที่อยู่ใจกลางแผ่นดินยังขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจที่มีแบบแผน รัฐจึงมีอำนาจในการกำหนดราคา และพยายามควบคุมไม่ให้ราคาวัสดุที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้าเพิ่มสูงจนเกินไป ทำให้ราคาเสื้อผ้าที่นี่แพงขึ้นแค่นิดเดียว
ต่อให้เสื้อผ้าแบรนด์ Unique ต้องการขึ้นราคาสินค้า แต่ก็ไม่สามารถขึ้นราคามากไปกว่าเดิมได้
ถึงอย่างไรเสื้อผ้าของเธอก็ยังถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ หากขึ้นราคาแพงเกินไป เกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นความขุ่นเคืองใจต่อผู้บริโภค
เธอยังไม่รู้ว่าราคาวัสดุที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐจะส่งผลให้เสื้อผ้าแบรนด์ Unique ของเธอต้องขึ้นราคาตามด้วยหรือเปล่า และมันจะทำกำไรให้เธอมากกว่าเดิมแค่ไหน
หลังออกมาจากห้างสรรพสินค้า หลินม่ายก็แวะไปที่ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่ว
เธอสอบถามวังเสี่ยวลี่ ว่าเมื่อวานนี้เมนูหอยโข่งผัดเซียงล่ามีผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง?
วังเสี่ยวลี่ตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งโทรหาคุณเพื่อรายงานเรื่องนี้เองค่ะ แต่คุณไม่อยู่บ้าน บอกได้คำเดียวเลยว่า ขายดีมาก!”
เสี่ยวหม่านโผล่หน้าออกมาจากด้านหลังวังเสี่ยวลี่ “เธอกำลังคุยกันเรื่องยอดขายหอยโข่งผัดเซียงล่าเมื่อคืนที่ผ่านมาสินะ จะบอกอะไรให้! ลูกค้าเกือบจะทะเลาะวิวาทกันในร้านเพราะหอยโข่งผัดเซียงล่าด้วยล่ะ!”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หันไปพูดกับวังเสี่ยวลี่ “ในเมื่อหอยโข่งผัดเซียงล่าขายดี ถ้าอย่างนั้นเธอก็เปิดรับสมัครพ่อครัวมาทำเมนูหอยโข่งผัดเซียงล่าโดยเฉพาะเสียเลย ได้คนเมื่อไหร่ให้บอกฉันทันที ฉันจะได้สั่งหอยโข่งจำนวนมากมาลงที่ร้าน”
เธอหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วพูดว่า “เรียกคุณป้าสองคนที่เคยย่างข้าวโพดกลับมาทำงาน ให้พวกเขาเริ่มเผามันเทศขายตั้งแต่วันมะรืนนี้เลย”
เนื่องจากหมดฤดูข้าวโพดแล้ว ทำให้ไม่มีข้าวโพดขาย คุณป้าทั้งสองคนจึงถูกเลิกจ้างไปโดยปริยาย
แต่ในเมื่อเธออยากขายมันเทศเผาให้เร็วที่สุด ฉะนั้นต้องเรียกพวกเขากลับมา
เสี่ยวหม่านตบกำปั้นด้วยความตื่นเต้น “ดีเลย! ฉันชอบกินมันเทศเผาที่สุด!”
พอออกมาจากร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่ว หลินม่ายก็เห็นฟางจั๋วหรานกำลังเดินข้ามถนนมาพอดี
เธอโบกมือให้เขาอย่างมีความสุข “จั๋วหราน! ทางนี้ค่ะ!”
ฟางจั๋วหรานวิ่งข้ามถนนไปหาเธอทันที ถามว่า “คุณไปไหนมา?”
“ฉันเพิ่งกลับจากการประชุมที่โรงงานตัดเสื้อค่ะ” หลินม่ายจับมือเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “คุณยังมีคูปองอุตสาหกรรมเหลืออยู่ไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานเพิ่งใช้คูปองอุตสาหกรรมซื้อเครื่องซักผ้าไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตัวเครื่องซักผ้ายังส่งมาไม่ถึง
เขาถามหยั่งเชิง “คุณจะเอาคูปองไปซื้ออะไร?”
“ฉันอยากได้จักรยานสักคัน” หลินม่ายอธิบาย “ฉันต้องออกไปที่ตลาดฝูตัวตัวกับโรงงานตัดเสื้อทุกวัน และในอีกสองวันที่จะถึงนี้ยังต้องแวะไปดูงานที่ไซต์งานก่อสร้างอีก วันหนึ่งวิ่งรอบหลายที่แบบนี้ ถ้ามีจักรยานสักคันการเดินทางคงไม่เหนื่อยจนเกินไป แถมยังประหยัดเวลาด้วย จะได้มีเวลาทบทวนหนังสือเรียนมากขึ้น”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “วันพรุ่งนี้เดี๋ยวผมค่อยเอาคูปองอุตสาหกรรมมาให้”
ความจริงแล้วเขาไม่มีคูปองอุตสาหกรรมอยู่ในมือ แต่เพราะไม่อยากบอกความจริงกับแฟนสาว ดังนั้นจึงยืดเวลาให้ตัวเองไปอีกสักสองวัน เพื่อขอซื้อคูปองอุตสาหกรรมต่อจากเพื่อนร่วมงาน
หลินม่ายพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า “ผมจำได้ว่าคุณจดทะเบียนสำนักงานใหญ่เรียบร้อยแล้ว ทำไมถึงไม่บริหารงานแบบรวมศูนย์เพื่อประชุมงานกิจการทั้งหมดในคราวเดียวล่ะ คุณจะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาทุกวัน แม้แต่หน่วยงานของผมเองยังมีการจัดประชุมที่สำนักงานใหญ่เพื่อสอบถามสถานการณ์ของแต่ละสาขา พิเศษหน่อยค่อยลงพื้นที่ไปตรวจสอบสาขาย่อยด้วยตัวเอง ได้ผลลัพธ์เท่าเดิมแต่ใช้ความพยายามแค่ครึ่งเดียว”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันวางแผนนี้ไว้เหมือนกัน แต่ที่ยังไม่คิดสร้างสำนักงานใหญ่ตั้งแต่แรก เพราะตอนนั้นยังมีงานที่ต้องจัดการดูแลไม่มากนัก ตอนนี้โรงงานตัดเสื้อมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้น แถมยังมีโครงการก่อสร้างอีกแห่ง เรื่องที่ต้องกังวลเลยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน คราวนี้คงต้องสร้างสำนักงานใหญ่จริงจังแล้ว”
ฟางจั๋วหรานเตือนว่า “อย่าลืมมอบหมายหน้าที่ให้เลขานุการส่วนตัวด้วยล่ะ มีเลขาสักคนไว้ช่วยทำธุระต่าง ๆ ให้คงสะดวกกว่าทำด้วยตัวเองมาก”
หลินม่ายแกล้งหยอกเขา “ถ้าฉันอยากจ้างเลขานุการเป็นผู้ชาย คุณจะยอมหรือเปล่า?”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างจริงจัง “ตราบใดที่เป็นงานสุจริต ผมไม่มีวันก้าวก่ายงานของคุณแน่ นับประสาอะไรกับการแทรกแซงเรื่องยิบย่อยพวกนี้”
ทั้งสองเดินกลับบ้านพลางพูดคุยกัน เมื่อกลับมาถึง พบว่าคุณย่าฟางเตรียมอาหารกลางวันที่มีครบทั้งซุปและผักเอาไว้รอแล้ว
ฟู่เฉียงและแม่ของเขารีบกินข้าวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกไปส่งอาหารกลางวันให้พ่อฟู่เฉียง
………………………………………………………………………………………………………………………….
วีรบุรุษย่อมมองเห็นสิ่งเดียวกัน มีความหมายว่า ใจตรงกัน คิดเห็นเหมือนกัน
สารจากผู้แปล
เตรียมแผนรับความเปลี่ยนแปลงได้ล่วงหน้านานเท่าไหร่ก็ยิ่งปรับตัวได้เร็วเท่านั้นแหละค่ะ เชื่อว่าม่ายจื่อคงมีแผนอยู่ในใจแล้ว
อาการป่วยตอนนี้ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างแล้วค่ะ แต่ยังไม่หายดี ขออภัยที่มาลงช้านะคะ และขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกคนค่ะ
ไหหม่า(海馬)