สีหน้าของหยางอี๋เหนียงปรากฏความเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
ตนรู้ได้ว่าเฉียวเหลียนฝังฉวยโอกาสนี้เยาะเย้ยตน ยิ่งพูดมากโอกาสทำผิดพลั้งก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น นึกไม่ถึงเลยว่าเฉียวเหลียนฝังจะกล้าพูดว่าให้เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินเจอหน้าตนสักครั้ง เหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในแผนที่ตนวางไว้เลย แต่เช่นนี้ถือเป็นการท้าทายอำนาจของสืออีเหนียงก็ว่าได้
รอคอยมาแสนนาน ในที่สุดก็สามารถจับจุดอ่อนของเฉียวเหลียนฝังได้ ตนไม่สามารถไปพูดพล่ามต่อหน้าสืออีเหนียง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเฉียวเหลียนฝังจะเลือกใช้แผนการที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้
นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กำลังจะเดินเข้าไปเพื่อที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับได้ยินเสียงที่ไม่ช้าและไม่เร็วเกินไปแต่กลับท่วมท้นไปด้วยความเด็ดขาดของสืออีเหนียงดังขึ้น “เฉียวอี๋เหนียง ถึงแม้ว่าหยางอี๋เหนียงจะเกิดจากสกุลหยางตระกูลเจี้ยนหนิงโหว แต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงอนุภรรยาของท่านโหว ตามหลักแล้ว อนุภรรยาไม่สามารถอยู่รับแขกเช่นโหวฮูหยินที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ในห้องโถงได้ เฉียวอี๋เหนียงเกิดในตระกูลเฉิงกั๋วกง ไม่รู้หลักข้อนี้หรืออย่างไรกัน”
สีหน้าของสืออีเหนียงเรียบเฉย แต่คำพูดที่พูดออกมานั้นกลับฉะฉานชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ ตอนที่นางแต่งเข้าจวนสกุลสวีเป็นสิ่งที่นางไม่เคยมีมาก่อน เหล่าบรรดาอี๋เหนียงต่างก็พากันอึ้งไปตามๆ กัน โดยเฉพาะเฉียวเหลียนฝัง นางอึ้งจนปากอ้าตาค้างไปหมด ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังตั้งสติไม่ได้ สาวใช้และป้ารับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในเรือนต่างก็เกร็งไปตามๆ กัน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เวลานั้นเอง บรรยากาศในห้องก็เงียบสงัดไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ
“เฉียวอี๋เหนียงไม่รู้หลักการในข้อนี้หรือ” สืออีเหนียงถามเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง
เหวินอี๋เหนียงใจสั่นไปหมด นางถอยออกมาสองก้าวไปยืนพิงกับโต๊ะสีดำเงาข้างเสา ตำแหน่งที่ฉินอี๋เหนียงยืนนั้นบังเหวินอี๋เหนียงไปครึ่งตัวพอดี ส่วนฉินอี๋เหนียงกำลังยืนกุมมือห่อไหล่ แสดงสีหน้าท่าทีที่เคารพและยำเกรงต่อสืออีเหนียง ราวกับว่ากำลังสั่นเทาอย่างไรอย่างนั้น
น้ำเสียงเย็นยะเยือกของสืออีเหนียงดังก้องห้องโถง ยิ่งเสริมบารมีให้ดูน่าเกรงขามเข้าไปใหญ่ เฉียวเหลียนฝังจึงพึ่งเรียกสติกลับคืนมาได้
นางเคยถูกปฏิบัติเช่นนี้เสียที่ไหนกัน จึงรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที นางเหลือบไปมองหยางอี๋เหนียงอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเพียงหยางอี๋เหนียงที่กำลังแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจและมองมาทางตนอยู่
ในหัวของเฉียวเหลียนฝังจึงขาวโพลนไปหมด ใบหน้าของนางแดงก่ำ รีบอธิบายขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “ฮูหยิน ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เป็นเพราะเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินมีเจตนาที่ไม่ซื่อตรง ตั้งใจจะใช้ฐานะของญาติเพื่อไปมาหาสู่กับจวนของเรา ข้าก็แค่ร้อนใจแทนฮูหยิน จึงใช้วิธีนี้มากล่าวการตักเตือนน้องหญิงหยาง ให้นางทำตัวอยู่ในกฎระเบียบ…”
สืออีเหนียงจึงตบลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำเงาที่อยู่ข้างๆ ดัง ปัง! ถ้วยและฝาน้ำชากระทบกันดังลั่น
“เฉียวอี๋เหนียง!” สืออีเหนียงเรียกชื่อนางเสียงสูง ตัดบทสนทนาของนางไป สีหน้าและแววตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความเดือดดาล “เจี้ยนหนิงโหวคือน้องชายร่วมบิดามารดาของไทเฮา ส่วนท่านโหวคือน้องชายร่วมบิดามารดาของฮองเฮา เดิมทีก็เป็นญาติพี่น้องและไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ถือเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นกลมเกลียว เหตุใดถึงได้ใช้คำพูดที่กล่าวหาผู้อื่นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าและเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินคุยกันอยู่ในห้องโถง เฉียวอี๋เหนียงอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรืออย่างไรกัน” ไม่รอให้เฉียวเหลียนฝังได้ทันตอบกลับ ก็ถามตามไปติดๆ ว่า “รู้ได้อย่างไรว่าข้าและเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินคุยอะไรกัน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินเอ่ยปากขอพบหยางอี๋เหนียง” พูดจบสืออีเหนียงก็ลุกยืนขึ้น จากนั้นก็กวาดตามองเหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงด้วยสายตาที่ดุดัน ทุกคนต่างก็พากันก้มหน้าลงต่ำด้วยความเงียบเชียบ
“พูดจาเหลวไหล คำพูดที่ออกจากปากล้วนเป็นคำพูดที่ไม่ดี จุ้นจ้านวิพากษ์วิจารณ์ไปเสียทุกเรื่อง มีความสงบเสงี่ยมเช่นกุลสตรีสักนิดหรือไม่” สืออีเหนียงจ้องมองเฉียวเหลียนฝังด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก “กลับไปที่จวนของเจ้าประเดี๋ยวนี้ กลับไปคัด ‘บัญญัติสตรี’ มาหนึ่งร้อยรอบ เสร็จเมื่อไรก็ค่อยมาเจอข้า!”
เฉียวเหลียนฝังหันไปจ้องมองสืออีเหนียงด้วยความอึ้ง ราวกับว่าถูกคำพูดของสืออีเหนียงทำให้เสียขวัญอย่างไรอย่างนั้น
ป้าซ่งที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าเฉียวเหลียนฝังไม่ได้ขานรับในเวลานั้น จึงหันไปส่งสายตาให้กับป้ารับใช้อีกคนที่อยู่ในเรือน ทั้งสองก็เข้ามาจับแขนของเฉียวเหลียนฝังคนละข้าง ลากนางออกไปนอกเรือน
เฉียวเหลียนฝังจึงค่อยได้สติกลับคืนมา
“หลัวสืออีเหนียง” เฉียวเหลียนฝังพยายามที่จะดิ้นให้หลุด ชื่อจริงที่ใช้เรียกเป็นการส่วนตัวถูกเรียกออกจากปากของนาง “ทำไมเจ้าถึง…”
“ตัดเบี้ยหวัดรายเดือนของนางครึ่งปี” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่กลับฟังดูมีน้ำหนักและเหตุผล ตัดบทสนทนาของเฉียวเหลียนฝังไป “คัด ‘บัญญัติสตรี’ มาสามร้อยรอบ”
ร่างที่เรียวระหงของนางยืนตรงตระหง่านราวกับต้นสนก็ไม่ปาน ใบหน้าเต็มไปด้วยแววตาที่เย็นชา อารมณ์สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะที่เดือดดาล ทำให้เฉียวเหลียนฝังสงบลงในทันใด
เฉียวอี๋เหนียงผู้นี้ใจกล้าบ้าบิ่นไม่เบาทีเดียว กล้าแม้กระทั่งเรียกนามจริงของฮูหยินต่อหน้าผู้คนมากมาย นางเกิดจากตระกูลที่สูงศักดิ์ แต่ต้องถูกส่งกลับไปที่จวนเฉิงกั๋วกงหรืออย่างไรกัน
ป้าซ่งกลัวว่าเฉียวเหลียนฝังจะทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมา เมื่อเห็นว่านางกำลังสั่นเทาและทำตัวไม่ถูก จึงรีบลากตัวนางออกจากเรือนไปทันที
เกิดห้ามปรามเฉียวเหลียนฝังไม่อยู่ขึ้นมา ฮูหยินจะขายหน้าเอาได้
หู่พั่วและเยี่ยนหรงก็รีบตรงเข้าไปหาเฉียวเหลียนฝังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คนหนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากเฉียวเหลียนฝัง อีกคนก็เข้าไปช่วยกดเฉียวเหลียนฝังไว้ ทั้งสี่คนช่วยกันลากเฉียวเหลียนฝังออกไป จนไปถึงเรือนของเฉียวเหลียนฝังในที่สุด
สืออีเหนียงจ้องมองผ้าม่านที่ยังสั่นไหวเบาๆ แล้วจึงค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลง
“อี๋เหนียงทั้งหลายแยกย้ายกลับเรือนของตัวเองไปก่อน แล้วคัด ‘บัญญัติสตรี’ มาคนละหนึ่งรอบด้วย” นางพูดขึ้นอย่างช้าๆ “ทบทวนใหม่ว่าอะไรคือมธุสรวาจา อะไรคืองานบ้านงานเรือนและอะไรคือคุณธรรมที่เหล่าสตรีพึงมี!”
เหวินอี๋เหนียงรีบขานรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความนอบน้อมและให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก
หยางอี๋เหนียงขานรับตามเหวินอี๋เหนียงมาติดๆ ด้วยสีหน้าท่าทีที่สำนึกผิด
ก่อนหน้านี้นางเห็นว่าเหวินอี๋เหนียงหลบอยู่ข้างๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเวลาแสดงออกนางกลับเป็นคนแรก พลอยทำให้ตนเสียโอกาสที่จะแสดงออกไป มิน่าเล่าถึงเข้ากับสืออีเหนียงได้เป็นอย่างดี
จากนั้นนางก็ได้หันไปมองฉินอี๋เหนียง
ฉินอี๋เหนียงกำลังขานรับเสียงเบา แววตาของนางไม่มีความแปลกใจหรือความกระวนกระวายใจเลยแม้แต่นิดเดียว
หยางอี๋เหนียงเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
อี๋เหนียงทั้งสามจึงพากันย่อตัวทำความเคารพและเรียงแถวถอยออกจากเรือนไป
สีหน้าของสืออีเหนียงก็ปรากฏความเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที
“ฮูหยิน!” ลี่ว์อวิ๋นรีบวิ่งเข้ามาประคองสืออีเหนียง “บ่าวว่าฮูหยินไปพักผ่อนที่ห้องชั้นในดีกว่า! เพราะอีกประเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่คุณชายน้อยและคุณหนูมาคารวะพอดีเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งดังมาจากข้างนอก
นอกจากสวีซื่อเจี้ยแล้ว ยังจะมีใครกล้าวิ่งในเรือนของสืออีเหนียงอีก
ใบหน้าของสืออีเหนียงพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ม่านถูกเปิดออก สวีซื่อเจี้ยวิ่งพรวดเข้ามาทันที
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าเลิกเรียนแล้วขอรับ!” เขาวิ่งตรงเข้ามาซบในอ้อมกอดของสืออีเหนียง
ร่างกายที่นุ่มนิ่ม พลอยทำให้หัวใจของสืออีเหนียงอบอุ่นขึ้นมาทันใด
“พี่ชายเจ้าเล่า”
นางเพิ่งพูดจบ สวีซื่อจุนที่กำลังแบกกระเป๋าตำราเดินเข้ามาอย่างใจเย็น
จากนั้นก็ได้ประสานมือคารวะสืออีเหนียง “ท่านแม่!”
สวีซื่อเจี้ยเห็นแล้วก็รีบยืนตัวตรงพร้อมกับเลียนแบบพี่ชายของตนคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงหันไปสั่งกับสาวใช้ให้รินน้ำชามาให้พวกเขา
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาถึงพอดี
ฤดูร้อนที่เรือนลี่จิ่งเซวียนค่อนข้างเย็นสบาย เวลาที่สืออีเหนียงไม่ได้พานางไปจัดการงานบ้านงานเรือนที่ห้องโถงหลักด้วย ก็มักจะพักอยู่ที่เรือนลี่จิ่งเซวียนเสมอ
สวีซื่อเจี้ยก็รีบแสดงบทเพลงใหม่ที่เพิ่งฝึกมาให้สืออีเหนียงฟังด้วยความภาคภูมิใจ
ป้าซ่งเปิดม่านเข้ามา เมื่อเห็นภาพบรรยากาศที่อบอุ่นและมีความสุขอยู่ตรงหน้า จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สืออีเหนียงได้ส่งสายตาให้นางเข้ามาหา นางจึงเดินเข้าไปอย่างสงบเสงี่ยม
“ฮูหยิน!” นางเข้ามากระซิบข้างหูสืออีเหนียงว่า “บ่าวรับใช้ในเรือนของเฉียวอี๋เหนียงถูกจับตามองหมดแล้ว บ่าวสั่งให้ป้ารับใช้งานหยาบอีกสองคนไปเฝ้าที่หน้าประตูใหญ่และหน้าประตูห้องชั้นใน ผ้าต่างๆ มีดและกรรไกรรวมไปถึงของมีคมในเรือนทั้งหมดถูกเก็บไปหมดแล้ว” จากนั้นนางก็ชะงักคำพูดลง แล้วค่อยพูดต่อไปว่า “เพียงแต่ว่าเฉียวอี๋เหนียงเอาแต่ร้องไห้โวยวายว่าจะพบท่านโหว…ไม่ยอมคัด ‘บัญญัติสตรี’ เจ้าค่ะ”
“นางคัด ‘บัญญัติสตรี’ ครบสามร้อยรอบเมื่อไร ก็ค่อยให้ออกจากเรือนเมื่อนั้น” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางตบมือให้กับการแสดงของสวีซื่อเจี้ย “นางสามารถออกจากเรือนได้อย่างอิสระเมื่อไร ก็จะได้พบกับท่านโหวเมื่อนั้น”
ป้าซ่งยิ้มพร้อมกับปรบมือให้สวีซื่อเจี้ยตามสืออีเหนียง ขานรับเสียงเบา
ใบหน้าของสวีซื่อเจี้ยเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “ท่านแม่ ไพเราะหรือไม่ขอรับ!”
“ไพเราะสิ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “นี่คือบทเพลงอะไรหรือ”
“ชื่อว่า ‘นกกระทาโบยบิน’ ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ท่านอาจารย์บอกว่ารอให้ข้าฝึกท่อนนี้คล่องแล้ว ก็จะสามารถฝึกท่อนต่อไปได้”
“ท่านอาจารย์บอกว่าบทเพลงนี้มาจากหนึ่งในบทกวีของท่านอาจารย์ไท่ไป๋” สวีซื่อจุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “‘โกวเจี้ยนกษัตริย์แห่งแคว้นเย่ว์กลับจากอู๋กุยที่แตกสลาย นักรบสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สง่าราศีหวนคืนสู่บ้านเกิด ท้องพระโรงเต็มไปด้วยนางกำนัลที่กำลังเฝ้าคอยประดุจบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ น่าเสียดายที่บัดนี้เหลือเพียงแค่นกกระทาเท่านั้นที่โบยบิน’”
“เช่นนั้นหรือ!” สืออีเหนียงตอบกลับราวกับว่ากำลังตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก “มีตำนานเช่นนี้อีกหรือไม่” รู้สึกว่ามีเพียงสวีซื่อเจี้ยเท่านั้นที่พัฒนาค่อนข้างเร็ว
“ข้ารู้ ข้ารู้” สวีซื่อเจี้ยแย่งสวีซื่อจุนพูด “ท่านอาจารย์บอกว่าบทกวีท่อนนี้มีความหมายด้วยขอรับ” เขาเริ่มเล่าตำนานเรื่องนี้ขึ้นมา “นานมาแล้ว มีกษัตริย์แห่งแคว้นเย่ว์นามว่าโกวเจี้ยน…”
สืออีเหนียงฟังเขาเล่าด้วยความตั้งใจ
ป้าซ่งจึงค่อยๆ ถอยออกจากห้องชั้นในไปอย่างเงียบๆ
*****
ตกค่ำหลังจากที่ทานอาหารที่เรือนของไท่ฮูหยินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับมาถึงเรือน สืออีเหนียงก็ได้พูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “หลายวันมานี้เฉียวอี๋เหนียงเอาแต่สร้างเรื่องไม่หยุดหย่อน ข้าลงโทษนางให้คัด ‘บัญญัติสตรี’ มาสามร้อยรอบ นางคัดเสร็จเมื่อไร ก็ค่อยออกจากเรือนเมื่อนั้นเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาพยักหน้าเบาๆ ถือเป็นการรับรู้เรื่องนี้แล้ว
กลางดึก สืออีเหนียงก็สะดุ้งตื่นด้วยเสียงเคาะประตู
นางจึงรีบลุกขึ้นนั่ง หู่พั่วที่อยู่เวรกลางคืนก็ได้สวมเสื้อคลุมพร้อมกับวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่แตกตื่น
“ฮูหยิน แย่แล้วเจ้าค่ะ” สีหน้าของหู่พั่วกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก “เฉียวอี๋เหนียงผูกคอฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ”
สีหน้าของสืออีเหนียงเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด นางสูดลมหายใจเข้าลึก “ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ป้ารับใช้ที่เฝ้ายามช่วงกลางคืนกำลังเฝ้าเฉียวอี๋เหนียงอยู่ และสั่งให้สาวใช้น้อยมารายงานเรื่องนี้ นางบอกว่าตอนนี้ซิ่วหยวนกำลังร้องห่มร้องไห้เอาเป็นเอาตายเลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ให้นางเข้ามา”
หู่พั่วขานรับแล้วรีบหมุนตัวออกไปเรียกนางเข้ามา
สืออีเหนียงถามนางว่า “เห็นว่านางกำลังผูกคอฆ่าตัวตายได้อย่างไร”
สาวใช้น้อยใบหน้าซีดเผือด แต่น้ำเสียงยังฉะฉานเสียงดังชัดเจน “ป้ารับใช้เฝ้าอยู่นอกม่านเตียงหลัวฮั่น แต่จู่ๆ ด้านในก็มีเสียงตึงตังดังขึ้น เลยรีบเปิดม่านเตียงเข้าไปดู ก็เห็นว่าเฉียวเหลียนฝังกำลังนำเชือกที่ได้มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ไปผูกบนคานของเตียง และกำลังจะแขวนคอพอดี”
สืออีเหนียงเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงพูดกับหู่พั่วว่า “เจ้าไปเตรียมผ้าขาวยาวสามฉื่อ กรรไกรหนึ่งเล่มและเศษทองก้อนหนักสามตำลึงแล้วส่งไปให้เฉียวอี๋เหนียง บอกนางว่าหากมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ให้เก็บสามสิ่งนี้ไว้ให้ดี พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งนางไปที่วัด นางอยากตายแบบไหนก็ให้นางเลือกเอา จะได้ไม่ต้องแปดเปื้อนชื่อเสียงเรียงนามของจวนหย่งผิงโหวแม้แต่นิดเดียว”
หู่พั่วและสาวใช้น้อยต่างก็อึ้งไปชั่วขณะ
“ฮูหยิน เช่นนี้…”
“เจ้าทำตามที่ข้าสั่งก็พอ” สืออีเหนียงพูดขึ้น “เจ้านำสามสิ่งนี้ให้ไปป้ารับใช้งานหยาบ วางสามสิ่งนี้ไว้บนโต๊ะกระถางธูปของเรือนหลัก พรุ่งนี้เช้าตอนที่ข้าส่งตัวเฉียวเหลียนฝังออกไปก็ให้เฉียวเหลียนฝังนำติดตัวไปด้วยก็พอ ยังมีอีกเรื่อง อย่าลืมมอบเงินให้ป้ารับใช้ห้าตำลึงและสาวใช้น้อยหนึ่งตำลึง” พูดจบก็ปล่อยม่านเตียงหลัวฮั่นลง
หู่พั่วจึงทำได้เพียงขานรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความจนใจ จากนั้นก็พาสาวใช้น้อยถอยออกจากห้องชั้นในไป
สืออีเหนียงครุ่นคิด
หากว่าเฉียวเหลียนฝังยังดื้อดึงจนถึงวินาทีสุดท้าย พรุ่งนี้ตนควรจะส่งนางไปที่ไหนดี
พอหันกลับไปก็เจอเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย