“ทำท่านโหวตกใจตื่นแล้ว!” สืออีเหนียงเอนตัวพิงลงบนหมอนอิง “ท่านโหวไม่ต้องเป็นกังวลใจไป เฉียวเหลียนฝังไม่ได้เป็นอะไร เมื่อครู่นี้ข้าได้ซักถามสาวใช้น้อยที่มารายงานแล้ว ป้ารับใช้ได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากเตียงหลัวฮั่นจึงเห็นว่าเฉียวอี๋เหนียงกำลังจะผูกคอฆ่าตัวตาย…”
สวีลิ่งอี๋เองก็กำลังเอนตัวพิงอยู่บนหมอนอิง
เสียงเคาะประตูทำให้เขาสะดุ้งตื่น สาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่าอย่างไรบ้าง และสืออีเหนียงจัดการเรื่องนี้อย่างไร เขาได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน
หากคิดจะผูกคอฆ่าตัวตายจริงๆ จะทำเสียงดังตึงตังให้คนอื่นรู้ทำไมกัน เฉียวเหลียนฝังเพียงแค่ต้องการจะใช้เรื่องนี้บีบบังคับสืออีเหนียงก็เท่านั้น
และใช่ว่าสืออีเหนียงเองจะตั้งใจกำจัดเฉียวเหลียนฝังจริงๆ เสียหน่อย นางก็เพียงแค่ต้องการจะขู่เฉียวเหลียนฝังก็เท่านั้น
ดังนั้นจึงได้นำสิ่งของสามสิ่งส่งไปให้เฉียวเหลียนฝัง อีกทั้งยังกำชับว่าให้นำไปวางบนโต๊ะกระถางธูป เพื่อเตือนอย่างชัดเจนว่าหากยังจะดื้อดึงต่อไป พรุ่งนี้ก็จะส่งนางไปที่วัด ให้เวลานางหนึ่งคืนในการพิจารณาและตัดสินใจ เพื่อที่จะให้นางกู้ศักดิ์ศรีของตัวเอง
เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก
ความสุขุมและความเด็ดขาดของสืออีเหนียงทำให้เขารู้สึกแปลกใจ แต่การเปลี่ยนไปของเฉียวเหลียนฝังทำให้เขาประหลาดใจเสียมากกว่า
สวีลิ่งอี๋จ้องมองไปยังคานของเตียง สีหน้าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ข้าเคยเห็นคนบาดเจ็บและบาดแผลเน่าพุพอง เขากรีดเนื้อก้อนนั้นออกด้วยตัวเอง อีกทั้งยังราดด้วยสุราร้อนๆ ลงไปเพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ” น้ำเสียงของเขาทั้งเศร้าสลดและผิดหวัง “เคยเห็นคนที่แขนขาขาด จึงใช้ผ้าคาดเอวนำแขนและขาไปผูกติดกับไม้ เดินทางนับสิบลี้เพื่อไปให้หมอรักษา…ไม่เคยคิดสักครั้งว่าอยากจะตาย เขาคิดเพียงแต่ว่าจะมีชีวิตอยู่ให้รอดได้อย่างไร แล้วมีคนอีกมากมายที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่กลับไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้…นางกลับเอาชีวิตมาล้อเล่นและใช้ข่มขู่ผู้อื่น…”
เขาคงจะหมายถึงเฉียวเหลียนฝังกระมัง!
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นหญิงที่เคยปรนนิบัติเขา เดินมาถึงจุดนี้ จะไม่มีความรู้สึกสักนิดได้อย่างไรกัน
แต่สืออีเหนียงก็รู้สึกว่ามันช่างน่าขำ
มีเพียงแค่คนที่รักเราเท่านั้นที่จะเจ็บปวดไปกับเรา เศร้าไปกับเรา แต่สำหรับคนที่ไม่รักเราแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นหรือจะตาย เขาก็จะไม่มาสนใจเราแม้แต่นิดเดียว
“สำหรับเฉียวอี๋เหนียงแล้ว คงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกับนางมากๆ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยความคลุมเครือ
ก็เหมือนกับเด็กที่ไม่ประสีประสา เสียภาพวาดที่ตนชอบที่สุดไป ก็ทำเหมือนว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ไม่เคยรู้ซึ้งว่าชีวิตคนเรานั้นมีค่าแค่ไหน
สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าเบาๆ
ก็เพราะทุกวันนี้ใช้ชีวิตสุขสบายจนเกินไป!
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า “หากพรุ่งนี้นางยังตีโพยตีพายไม่ยอมหยุด ก็ส่งนางไปที่อารามต้าเจวี๋ยก็แล้วกัน!”
“อารามต้าเจวี๋ย?” สืออีเหนียงค่อนข้างประหลาดใจ
นางไม่รู้จักวัดอารามแห่งนี้ แต่ทว่าวัดที่นางรู้จักก็ไม่ได้มากมายเท่าไรนัก
“ตระกูลของข้าไม่เคยสักการบูชาวัดอารามแห่งนี้มาก่อน” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยความลังเล “ท่านโหวคุ้นเคยกับวัดแห่งนี้หรือเจ้าคะ”
“วัดธรรมดาผู้คนสัญจรมากมายและวุ่นวายจนเกินไป เวลาผ่านไปนานวันเข้า เรื่องดีๆ จะกลายเป็นเรื่องเลอะเลือนไป เพราะคำเล่าที่ถูกนำไปเล่าต่อนั้นจะบิดเบือนและไม่หลงเหลือความจริงของเค้าโครงเดิม” แววตาของสวีลิ่งอี๋สับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาก็ไม่ได้ตอบในทันที “อารามต้าเจวี๋ยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล กฎระเบียบวินัยของวัดเข้มงวดกวดขัน เป็นที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมและขัดเกลาจิตใจ พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่อบ้านไป๋ไปบอกกล่าวกับผู้ดูแลหลักของอารามต้าเจวี๋ยสักคำ”
สถานที่ที่ห่างไกล แน่นอนว่าผู้คนที่ไปจุดธูปไหว้พระคงจะน้อยมาก กฎระเบียบวินัยของวัดเข้มงวดกวดขัน ให้พ่อบ้านไป๋ไปทักทายและบอกกล่าว เห็นได้ชัดว่าท่านโหวมีความสนิทสนมและคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากว่าเรื่องมาจนถึงจุดนี้จริงๆ อย่างน้อยๆ วัดอารามแห่งนั้นจะต้องมีความปลอดภัยมากกว่าวัดธรรมดาทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นท่านโหวพูดว่าจะส่งไปช่วงเวลาหนึ่ง นั่นก็แสดงว่าจะต้องมีวันที่ไปรับนางกลับมาอย่างแน่นอน หากสามารถขัดเกลานิสัยจิตใจของเฉียวเหลียนฝังได้ ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายเสียหน่อย
สืออีเหนียงจึงพยักหน้าเบาๆ
สวีลิ่งอี๋จึงหยัดกายลุกขึ้นไปเป่าตะเกียงไฟ “รีบเข้านอนเถิด!”
บรรยากาศในห้องพลันเต็มไปด้วยความมืดสนิท
สืออีเหนียงค่อยๆ เอนตัวลงนอน แต่แล้วก็ถูกสวีลิ่งอี๋ดึงเข้ามากอดไว้แนบแน่น
ภายในม่านมุ้งของเตียงหลัวฮั่นได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ บรรยากาศจึงเงียบสงบเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“มั่วเหยียน” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เจ้าเองรู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญมากใช่หรือไม่”
คงจะหมายถึงว่าหากตนเจอเหตุการณ์เช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรกระมัง
สืออีเหนียงจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
หากเป็นตน ก็คงจะไม่ให้เรื่องบานปลายจนถึงจุดนี้อย่างแน่นอน
แต่ทว่าเรื่องนี้พูดออกมาก็ยาว และก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูด
“อย่างน้อยๆ ข้าก็จะไม่ผูกคอฆ่าตัวตายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” นางพูดขึ้นเชิงล้อเล่น “มิเช่นนั้น หากสูญเสียทรัพย์สมบัติที่มากมายก่ายกองนี้ไป ขายหน้าคนอื่นแย่!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
ความหนักอึ้งเมื่อครู่นี้ถูกขจัดไปจนหมดสิ้น
เขาจึงหอมจอนผมของนางเบาๆ “เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง เราทั้งสองห้ามทิ้งทรัพย์สมบัติที่มากมายก่ายกองนี้ไป ขายหน้าผู้อื่นเขา”
แต่น้ำเสียงที่พูดออกไปนั้นค่อนข้างจริงจัง พลอยทำให้สืออีเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย
*****
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทั้งสองตื่นนอนแล้ว ป้าซ่งก็เข้ามาหาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยและอ่อนล้า นางหันไปมองสวีลิ่งอี๋ที่กำลังนั่งให้อาหารปลาทองอยู่บนเตียงเตาใหญ่ด้วยความลำบากใจ จึงชะงักคำพูดไป
สืออีเหนียงรู้สึกได้ว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดี
สวีลิ่งอี๋วางอาหารปลาในมือลง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น “ว่ามา” พลางรับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้น้อยยื่นมาให้เช็ดมือ
ป้าซ่งเหลือบไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เฉียวอี๋เหนียงโวยวายว่าจะเจอท่านโหว อีกทั้งยังโยนพู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึกทิ้งไปจนหมดเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
สวีลิ่งอี๋จึงหันไปสั่งกับลี่ว์อวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ไปเรียกพ่อบ้านไป๋มา” จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าไปสั่งป้ารับใช้งานหยาบที่แรงดีๆ หน่อยมาสักสองสามคนไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ของเฉียวอี๋เหนียง บ่ายนี้ส่งนางไปที่อารามต้าเจวี๋ย”
บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในเรือนต่างก็หันมาสบตากันด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
ฮูหยินไม่เพียงแค่พูดว่าจะส่งเฉียวอี๋เหนียงไปที่วัดเท่านั้น แต่ยังเกลี้ยกล่อมจนท่านโหวยอมอีกด้วย
ทุกคนต่างพากันหวาดกลัวและเกรงขามเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงขานรับ จากนั้นก็ได้สั่งให้ป้าซ่งไปจัดการเรื่องนี้
ป้าซ่งย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าที่กระวนกระวายใจ จากนั้นก็รีบไปทันที
สวีลิ่งอี๋ก็หันไปสั่งกับสืออีเหนียงว่า “อีกประเดี๋ยวเด็กๆ ก็จะเข้ามาคารวะแล้ว เจ้าหาคนที่เชื่อถือได้หน่อยไปเฝ้าดูเฉียวอี๋เหนียงไว้ให้ดี จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น”
แล้วก็ทางฝั่งไท่ฮูหยิน เกรงว่าต้องไปเรียนเรื่องนี้กับนางด้วย
สืออีเหนียงจึงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็สั่งให้เยี่ยนหรงไปที่เรือนของเฉียวเหลียนฝัง
เหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงก็มาคารวะสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงพอดี สืออีเหนียงจึงให้พวกนางเข้ามา
ทั้งสามนำ ‘บัญญัติสตรี’ ที่คัดมาด้วยสีหน้าที่สงบเสงี่ยม และไม่มีใครถามถึงสาเหตุที่ต้องคัด ‘บัญญัติสตรี’ เลยแม้แต่คนเดียว เหวินอี๋เหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับเอ่ยชมสืออีเหนียงเหมือนเช่นปกติ “ฮูหยิน ไข่มุกที่ฝังอยู่บนปิ่นปักผมเป็นไข่มุกหนานจูหรือไข่มุกตงจูกันหรือเจ้าคะ เม็ดใหญ่ขนาดนี้ข้าเองไม่เคยเห็นมาก่อน หากเป็นไข่มุกตงจู แวววาวขนาดนี้ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน ทุกครั้งที่มาหาฮูหยิน ก็มักจะได้เปิดหูเปิดตาเจอสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ…”
นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง น้ำเสียงฟังดูจริงใจ พลอยทำให้ผู้ที่รับฟังถึงแม้จะรู้ว่าเป็นการเชยชมเกินกว่าเหตุ แต่กลับรู้สึกว่าไม่สามารถจะปฏิเสธได้
“ไท่ฮูหยินมอบให้เป็นรางวัล” สืออีเหนียงตอบกลับเพื่อสนองความใคร่รู้ของนาง “ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นไข่มุกหนานจูหรือไข่มุกตงจู!”
“คงจะเป็นไข่มุกหนานจูอย่างแน่นอน!” เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ของของไท่ฮูหยินมีชิ้นไหนบ้างที่ไม่ใช่ของหายากและราคาแพง เป็นข้าเองที่ตาไม่ถึง ก็เลยไม่รู้จัก…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เด็กๆ ก็มาถึงพอดี
เหวินอี๋เหนียงจึงถอยหลังไปยืนเรียงกับฉินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียง และไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่การกระทำเช่นนี้ของนางพลอยทำให้บรรยากาศในเรือนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย เด็กๆ ที่เพิ่งเข้ามาจึงไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัด ทุกคนพากันเข้ามาคารวะสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส จากนั้นคนที่จะไปร่ำเรียนก็แยกย้ายไปร่ำเรียน ส่วนคนที่ต้องเย็บปักถักร้อยก็กลับเรือนไปเย็บปักถักร้อยต่อ ดังเช่นทุกวัน
หยางอี๋เหนียงเหลือบไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก
แต่ฉินอี๋เหนียงกลับแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
หลังจากที่พากันออกมาจากเรือนหลักแล้ว นางเดินอยู่ด้านหลังสุดและได้หยุดฝีเท้าลงตรงประตูทางเข้าของห้องโถงพร้อมกับหันไปมองเรือนของเฉียวเหลียนฝัง
รอบด้านเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมที่พัดต้นไม้ใบหญ้าดัง ซู่ ซ่า เท่านั้น
นางนึกถึงเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นกลางดึกเมื่อคืนนี้ จึงเร่งฝีเท้ากลับไปที่เรือนของตน จากนั้นก็สั่งให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปสืบข่าวเรื่องนี้ที่เรือนของเหวินอี๋เหนียง
“เหวินอี๋เหนียงปิดประตูใหญ่ไว้แน่น ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกแม้แต่คนเดียวเจ้าค่ะ”
ฉินอี๋เหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงให้นางลองไปที่เรือนของหยางอี๋เหนียงดู
“หยางอี๋เหนียงเองก็ปิดประตูใหญ่ไว้แน่น” ชุ่ยเอ๋อร์พูดขึ้น “บ่าวลองไปเคาะประตู แต่ป้าหยางกลับคุยกับบ่าวผ่านประตูกั้นเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฉินอี๋เหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้ให้ชุ่ยเอ๋อร์ออกไปก่อน แล้วนางก็นั่งลงบนเตียงเตาใหญ่พูดพึมพำคนเดียวว่า “การปล่อยข่าวลือเรื่องเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินมาเยี่ยมถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง…แต่เหตุใดที่เรือนของนางถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย นางคิดได้กลางดึกหรืออย่างไรกัน นั่งคัด ‘บัญญัติสตรี’ อยู่แต่ในเรือนตามคำสั่งของฮูหยินอย่างนั้นหรือ” ฉินอี๋เหนียงขมวดคิ้วแน่นสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ
*****
เฉียวเหลียนฝังถูกป้ารับใช้สองคนกดไว้บนเตียงเตา ในปากของนางถูกยัดด้วยผ้าเช็ดหน้า สายตากำลังจ้องมองไปยังป้าซ่งที่กำลังสั่งงานป้ารับใช้งานหยาบเก็บข้าวของของนาง
“อี๋เหนียงไปที่อารามต้าเจวี๋ย ไม่ได้ไปที่วัดฉือหยวนเสียหน่อย จะพกแป้งผัดหน้าและชาดแดง รวมไปถึงเครื่องประดับต่างๆ ไปด้วยทำไมกัน” จากนั้นป้าซ่งก็หันไปสั่งกับซิ่วหยวนที่ยืนน้ำตาไหลเงียบๆ อยู่ข้างๆ ว่า “นำของเหล่านี้ไปเก็บให้อี๋เหนียงของเจ้าดีๆ”
ซิ่วหยวนคว้าบานกระจกของเฉียวเหลียนฝังมากอดไว้แนบอก เงยหน้ามาก็เห็นใบหน้าของเฉียวเหลียนฝังที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและเส้นผมที่กระเซอะกระเซิง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความจนตรอกและสิ้นหวัง ซิ่วหยวนพลันน้ำตาไหลหนักกว่าเก่า
“แล้วก็ชุดเป้ยจื่อพื้นทองลายดอกไม้นี้ด้วย” ป้าซ่งตรวจตราข้าวของสัมภาระที่จะขนไป “เสื้อกั๊กผ้าไหมสู่จิ่น เอาออกมาให้หมด เอาไปแค่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมและผ้าทอมันเงาธรรมดาก็พอ”
เหล่าป้ารับใช้ต่างก็พากันรีบจัดใหม่ทันที
ป้าซ่งมองดูทุกคนจัดเก็บข้าวของตามคำสั่งของตน พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินมาที่หน้าเตียงเตา พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เฉียวอี๋เหนียง หากท่านรับปากบ่าวว่าจะไม่กรีดร้องโวยวายเสียงดัง บ่าวก็จะเคารพท่านเป็นนาย นำผ้าเช็ดหน้าที่อุดปากท่านอยู่ออกมา ปล่อยพวกนางและปล่อยตัวท่าน ท่านเองก็จะได้สบายตัวขึ้นมาหน่อย”
เฉียวเหลียนฝังจ้องป้าซ่งตาเขม็ง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไร้ซึ่งความอ่อนข้อใดๆ
ป้าซ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เฉียวอี๋เหนียง…ท่านโหวเป็นคนออกคำสั่งว่าให้ส่งท่านไปที่อารามต้าเจวี๋ยเจ้าค่ะ!”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วแววตาของนางก็เย็นชาขึ้นมาในทันที
ป้าซ่งรู้สึกว่าหากไม่พูดออกมาให้กระจ่างชัด เกรงว่าเฉียวเหลียนฝังคงจะไม่ตายใจ แล้วจะโหวกเหวกโวยวายสร้างเรื่องขึ้นมาอีก ถึงเวลานั้นคนที่จะลำบากที่สุดก็คือ เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ ก็เลยพูดออกไปตรงๆ ว่า “เฉียวอี๋เหนียง ท่านอย่าเอาแต่โมโหและโกรธเคืองต่อไปเลย ท่านลองคิดดูดีๆ ฮูหยินมาจากอวี๋หัง อยู่ที่เยี่ยนจิงยังไม่ถึงสามปีเสียด้วยซ้ำ แล้วจะไปรู้จักอารามต้าเจวี๋ยได้อย่างไรกัน!”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ แววตาของนางสั่นไหวและพรั่งพรูราวกับนาฬิกาทรายที่ไม่อาจหยุดลงได้ ค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ
อารามต้าเจวี๋ยไม่ใช่วัดธรรมดาทั่วไป
แต่เป็นพระอารามหลวง คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเข้าไปจุดธูปกราบไหว้บูชาได้ ดังนั้นคนที่รู้จักจึงมีไม่มากเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นอารามที่สักการบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่กลับเคยเป็นที่คุมขังและจองจำไท่เฟยและเฟยจื่ออีกสองนางที่ถูกถอดยศ บางครั้งตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ของเมืองเยี่ยนจิงก็มักจะนำบุตรสาวที่สูญสิ้นคุณธรรมหรือภรรยาที่ถูกบังคับให้หย่าร้างมาไว้ที่นี่ ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมและชำระล้างจิตใจ มีชื่อเสียงในเรื่องการขัดเกลาจิตใจและละทิ้งกิเลสตัณหา
ป้าซ่งเห็นแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันมาส่งสายตาให้กับป้ารับใช้ทั้งสองให้ช่วยประคองเฉียวเหลียนฝังลุกขึ้นนั่ง ดึงผ้าเช็ดหน้าที่ยัดปากเฉียวเหลียนฝังอยู่ออกมาด้วยตัวเอง
เฉียวเหลียนฝังยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น นางไม่ได้ตะโกนด่าทอหรือโวยวายเสียงดังแต่อย่างใด
ป้าซ่งหันไปสั่งกับสาวใช้น้อยให้ไปตักน้ำมา และให้ซิ่วหยวนช่วยนางล้างหน้าล้างตาแต่งเนื้อแต่งตัว ส่วนป้าซ่งก็ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “อี๋เหนียง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ต่อกี่คู่ที่กำลังจ้องมองท่านอยู่ ก่อนที่จะออกจากประตูเรือน สู้ท่านล้างหน้าล้างตาแต่งเนื้อแต่งตัวให้สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ควรรักษาหน้าตาและภาพพจน์ตัวเองไว้ ไม่ให้คนอื่นดูถูกและหัวเราะเยาะเอาได้…”
แต่จู่ๆ เฉียวเหลียนฝังก็คว้ามือของป้าซ่งมาจับไว้แน่น “ท่านโหว…จะส่งข้าไปที่อารามต้าเจวี๋ยจริงๆ หรือ”
เสียงของนางแหบแห้ง นางจ้องมองป้าซ่งด้วยความหวังที่เหลือเพียงริบหรี่ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย แอบหวังว่าป้าซ่งจะมีคำตอบที่ไม่แน่นอนให้กับนาง
ป้าซ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เรื่องจริงเจ้าค่ะ!”
ดวงตาของเฉียวเหลียนฝังจึงเริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นมา