คุณหนูตันจูคงไม่ได้อดกลั้นเพื่อมาฟ้องฮ่องเต้ใช่หรือไม่
แต่ฮ่องเต้คงจะฉวยโอกาสแห่งความอดกลั้นนี้ สั่งสอนคุณหนูตันจู
ขันทีจิ้นจงโบกมือต่ออาจี๋ อาจี๋วิ่งไปทางประตูพระราชวังด้วยความไร้หนทางทั้งกังวล
ขันทีจิ้นจงเดินเข้าพระตำหนัก เห็นฮ่องเต้กำลังเล่นทายนิ้วกับนางในตัวน้อย เมื่อเห็นเขาเข้ามา นางในตัวน้อยกำมือถอยออกด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เวลานี้แผ่นดินสงบสุข ในที่สุด ฮ่องเต้ก็สามารถเล่นสนุกได้ตามใจชอบแล้ว ขันทีจิ้นจงทั้งเศร้าโศกทั้งดีใจ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินขึ้นหน้าพูดอย่างดีใจ “ฝ่าบาท องค์ชายหกเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงหัวเราะสองที “มาก็มาสิ”
ฉู่อวี๋หยงต้องการมาอยู่ข้างตัวฮ่องเต้ในฐานะองค์ชายหก เขาเดินวนอยู่รอบมืองหลวง จากนั้นแสร้งทำเป็นเดินทางมาจากซีจิงตามความประสงค์ของฮ่องเต้ แต่ฉู่อวี๋หยงดันกลับซีจิงไปจริง จากนั้นเดินทางจากซีจิงมา…แปลกประหลาด แสร้งทำเช่นนี้เพื่ออันใด
ขันทีจิ้นจงยิ้ม “หยุดอยู่ทางประตูเมือง พาทหารเข้าเมืองเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พูดเสียงเรียบ “เหตุใดจึงหยุดลง อยากให้ข้าไปรับเขาหรือ เช่นนั้นคงจะเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ”
“องค์ชายหกทำเช่นนี้รู้ผิดชอบแล้ว” ขันทีจิ้นจงยิ้มปลอบ “ดีกว่าบุกเข้ามาโดยพลการพ่ะย่ะค่ะ”
ให้ทุกคนรู้ว่าฮ่องเต้รับองค์ชายหกมาแล้ว ดีกว่าฮ่องเต้แนะนำเขาให้เหล่าองค์ชายอื่นอย่างกะทันหันหลังจากเข้าวังมาแล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับทุกคนแล้วองค์ชายหกเป็นคนแปลกหน้า…เหล่าองค์ชายอื่นเองก็ยังมีเวลาบ่มเพาะอารมณ์
ฮ่องเต้ไม่ไปรับ เหล่าพี่ชายย่อมต้องไปเป็นพิธี
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ “เขารู้ผิดชอบ ข้าสู้ภาวนาให้เฉินตันจูรู้ผิดชอบมากกว่า” พูดพลางลุกขึ้นนั่ง “องค์รัชทายาทก็ดี ผู้ใดก็ดี ให้พวกเขาไปรับเถิด ข้าไม่อยากสนใจเขา”
ขันทีจิ้นจงเข้าใจ อย่างไรก็ตาม สำหรับฮ่องเต้แล้ว องค์ชายหกไม่ใช่บุตรชายที่ไม่ได้พบกันนาน พ่อลูกสองคนเพิ่งแยกจากกันไม่นานนัก ฮ่องเต้ไม่ต้องการแสดงให้คนภายนอกดู
“ข้าจัดการเฉินตันจูก่อน” ฮ่องเต้ตรัส
ขันทีจิ้นจงหัวเราะเบาๆ จริงด้วย การจัดการเฉินตันจูสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก
“ไม่รู้ว่าก่อเรื่องใดอีก” เขาพูด ก่อนจะนึกถึงข่าวที่เพิ่งได้ยิน ลังเลเล็กน้อย “ฝ่าบาท ตระกูลฉางจัดงานเลี้ยง ถูกท่านโหวโจวก่อกวนจนล่มไป”
ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าตระกูลฉางคือผู้ใด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับโจวเสวียน เขายิ่งไม่สนใจ “ล่มก็ล่ม ย่อมเป็นเพราะพวกเขาทำสิ่งใดผิด”
ขันทีจิ้นจงพูดเตือน “ฝ่าบาท งานเลี้ยงตระกูลกู้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเฉินตันจูเข้าร่วม จึงถูกผู้อื่นทำให้ล่ม”
ฮ่องเต้ตอบรับ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็มีความสนใจอย่างมาก น่าขันสิ้นดี
“เจ้าว่า เวลานั้นเฉินตันจูจะมีสีหน้าอย่างไร!” เขาถือแก้วชา พูดอย่างสนุก “เสียดายเสียจริง ข้าไม่อาจเห็นกับตาของตนเอง”
ขันทีจิ้นจงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ฝ่าบาท ความหมายของกระหม่อมคือ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ อาจี๋ทูลขึ้นเสียงดังจากด้านนอก “ฝ่าบาท องค์หญิงตันจูขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีจิ้นจงจึงหยุดพูด เอาเถิด อย่างไรอีกเดี๋ยวคุณหนูตันจูย่อมต้องทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง เมื่อถึงเวลาค่อยพูดเรื่องโจวเสวียนออกหน้าแทนเฉินตันจูทีเดียว ฝ่าบาทจะได้โกรธทีเดียว
ฮ่องเต้พูดเสียงเรียบ “เข้ามาเถิด”
เมื่อได้ยินเสียงฮ่องเต้ เฉินตันจูที่ยืนอยู่ด้านนอกพระตำหนักรีบให้อาจี๋หลีกทาง ก่อนจะมองไปด้านหลัง พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเรารีบเข้าไป”
อาจี๋มองไปด้านหลังของนาง คนด้านหลังราวกับว่าเป็นจู๋หลิน…ความหมายของราวกับว่าคือ อีกฝ่ายสวมชุดของจู๋หลิน แต่ลักษณะของเขาไม่ใช่จู๋หลิน
ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูพระราชวัง เฉินตันจูนำคนผู้นี้ถกเถียงกับเหล่าองครักษ์ “องครักษ์หลวง พวกเจ้าดูป้ายคาดเอวไม่ออกหรือ”
อาจี๋เห็นเหล่าองครักษ์ทำสีหน้าแปลกประหลาด ก้มหน้ามองป้ายคาดเอว ก่อนจะเงยหน้ามององครักษ์หลวงผู้นี้…
อาจี๋มองตามไป องครักษ์หลวงผู้นั้นก้มหน้า มองไม่เห็นใบหน้าของเขา เห็นเพียงรูปร่างที่ยืนตรงดุจต้นสน ทำให้คนตาสว่างขึ้น…
“พี่ชายท่านนี้” องครักษ์นั้นพูด “พวกเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพมอบองครักษ์หลวงให้ข้าสิบคน จู๋หลินติดตามข้าอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้าล้วนจำได้ ส่วนคนอื่นล้วนเป็นองครักษ์ลับ องครักษ์ลับคือสิ่งใด ก็คือไม่อาจให้ผู้อื่นรู้จัก”
องครักษ์คิดในใจ ที่แท้องครักษ์ลับหมายความเช่นนี้หรือ
“จู๋หลินป่วยมาไม่ได้ จึงเปลี่ยนองครักษ์อีกคนมาคุ้มกันข้า ไม่ได้หรือ พวกเจ้าตรวจข้าเช่นนี้ เพราะไม่เชื่อข้า หรือไม่เชื่อท่านแม่ทัพ”
หญิงสาวตรงหน้าหุบยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นราวกับโกรธ แต่มุมปากของนางเบะออกราวกับเศร้าโศก
“ท่านแม่ทัพเพิ่งจากไป ภายในสายตาของพวกเจ้าก็ไม่มีเขาแล้ว…”
องครักษ์ตกใจจนรีบโบกมือ “องค์หญิง พวกข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ท่าน ท่าน…”
อาจี๋ฟังแล้วถอนหายใจ คุณหนูตันจูสร้างความวุ่นวายที่หน้าประตูพระราชวังอีกแล้ว เขาเดินขึ้นหน้าพูดขัด “ฝ่าบาทมีรับสั่ง เรียกองค์หญิงตันจูเข้าเฝ้า”
ใบหน้าเศร้าโศกของเฉินตันจูยิ้มแย้มขึ้นมาทันที “อาจี๋ดีที่สุด” ก่อนจะยิ้มกับองครักษ์นั้น “เจ้าอย่าโกรธ เจ้าไม่รู้จัก แต่ฝ่าบาททรงรู้จักองครักษ์ผู้นี้ อย่างไรก็ตาม เขาถูกฝ่าบาทคัดเลือกมาเอง ฝ่าบาทได้พบคงดีใจอย่างมาก”
องครักษ์มองหญิงสาวที่เดี๋ยวเศร้าโศกเดี๋ยวยิ้มแย้ม จะโกรธลงได้อย่างไร ทุกคนต่างบอกว่าคุณหนูตันจูดุ พวกเขาที่ทำงานในพระราชวังไม่เคยเห็นท่าทีดุร้ายของคุณหนูตันจูแม้แต่น้อย ถึงแม้บางคราจะทำท่าดุร้าย แต่มองอย่างไรก็ยังเป็นหญิงสาวอ่อนแอ เหมือนพี่สาวน้องสาวในตระกูลที่กำลังโกรธ…ดู กงกงข้างกายฝ่าบาทท่านนี้บอกว่าเข้าไปได้แล้ว คุณหนูตันจูยังไม่ลืมปลอบพวกเขา
องครักษ์หลีกทางด้วยใบหน้าจริงจัง มองดูหญิงสาวเดินเข้าไปด้วยความอารมณ์ดี
องครักษ์ผู้นี้ถูกพาเข้าวัง อาจี๋ไม่ได้ประหลาดใจนัก แต่ก่อนจู๋หลินก็มักตามเข้ามา แต่เวลานี้เมื่อเห็นเฉินตันจูกำลังจะเข้าพระตำหนัก อีกทั้งยังจะพาองครักษ์หลวงเข้าไป เขาจึงรีบห้ามปราม
“ฝ่าบาทไม่ได้ให้เขาเข้าไป”
แต่ก่อนจู๋หลินเคยเข้าไป แต่เวลานั้นเพราะเฉินตันจูทะเลาะกับเหล่าคุณหนูตระกูลชนชั้นสูง จู๋หลินถูกซักถามในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด
เฉินตันจูยื่นมือผลักเขาออก “อาจี๋ เจ้าอย่าขวาง ข้ามามอบความประหลาดใจให้ฝ่าบาท มีเรื่องดี”
ดีสิแปลก! อาจี๋ตะโกนภายในใจ แต่เมื่อเขาจะยื่นมือขวางคุณหนูตันจู องครักษ์ที่เดินตามอยู่ด้านหลังคุณหนูตันจูก็ก้าวเท้าขวางเข้ามา “อย่าได้เสียมารยาทต่อองค์หญิง”
ไม่รู้เหตุใด อีกฝ่ายเพียงแค่แตะเบาๆ เขาก็ถอยหลังทันควัน…
องครักษ์ผู้นี้ บังอาจออกมือปกป้องคุณหนูตันจูต่อหน้าพระตำหนักของฮ่องเต้ กล้าเสียยิ่งกว่าจู๋หลินอีก!
อาจี๋ทำได้เพียงมองเฉินตันจูพาองครักษ์หลวงเข้าพระตำหนัก เขาไม่สนใจแล้ว อย่างไรก็ตาม อีกเดี๋ยวย่อมต้องถูกฝ่าบาทขับไล่ออกมา
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เห็นหญิงสาวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท่าทางอารมณ์ดีราวกับกวางน้อย เขาประหลาดใจ เฉินตันจูไม่ได้ร้องไห้เข้ามา ไม่ได้ถูกรังแกหรือ ไม่ร้องไห้จะฟ้องได้อย่างไร
“ฝ่าบาท” เฉินตันจูพูดอย่างดีใจ “หม่อมฉัน…”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ “ในเมื่อเป็นองค์หญิงแล้ว ไม่รู้จักมารยาทในวังหลวงหรือ”
เฉินตันจูรีบหุบยิ้ม ถวายบังคมอย่างตั้งใจ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
ฮ่องเต้ส่ายถ้วยชาเบาๆ “เฉินตันจู ข้ากำลังจะหาเจ้า เวลานี้เจ้าเป็นองค์หญิงแล้ว สมควรศึกษามารยาทในพระราชวัง เพื่อไม่ให้เสียเกียรติของราชวงศ์ จิ้นจง ให้เส้าฝู่เจี้ยนจัดการ…”
อันใด เรียนมารยาท? ในพระราชวัง? เฉินตันจูรีบเรียกขานฝ่าบาท “หม่อมฉันไม่ต้อง หม่อมฉันมีชาติกำเนิดจากชนชั้นสูง สิ่งที่ควรเป็นล้วนเป็น ไม่ทำให้ฝ่าบาทอับอายเพคะ”
ฮ่องเต้ทำหน้าบึ้ง “เวลานี้เจ้ามีมารยาทชนชั้นสูงที่ใดกัน”
เฉินตันจูหดศีรษะกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะนึกบางอย่างได้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมาเพราะมีเรื่องใหญ่เพคะ”
เหตุใดจึงถูกฝ่าบาทแย่งพูดไปหมด
เมื่อเห็นท่าทางของนาง ฮ่องเต้ได้ใจ เป่าน้ำชาพลางยกดื่ม ส่งเสียงไม่พอใจ “เจ้ายังมีเรื่องใหญ่ด้วย”
เฉินตันจูพยักหน้าระรัว “มีเพคะ” จากนั้นดึงคนข้างหลังออกมา “ฝ่าบาท พระองค์ทอดพระเนตร หม่อมฉันพาผู้ใดมา”
ผู้ใด? ฮ่องเต้ดื่มชาพลางมองมา เขาย่อมเห็นเฉินตันจูพาองครักษ์หลวงเข้ามา เพียงแค่เหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเป็นจู๋หลินแต่ก็ราวกับว่าไม่ใช่ แต่ไม่สำคัญ เวลานี้เฉินตันจูผลักองครักษ์หลวงผู้นี้ออกมา…
มีสิ่งใดน่าดู
องครักษ์หลวงที่ก้มหน้าอยู่ในคราแรกเงยหน้าขึ้น เผยยิ้ม
ใบหน้าของเขางดงาม ยิ้มสดใสดุจดวงดาว แม้แต่หญิงสาวงดงามด้านข้างยังหม่นหมองลงในทันใด
รูปลักษณ์งดงามเสียจริง
ฮ่องเต้พ่นน้ำชาออกมา ถือแก้วชากระแอมไออย่างต่อเนื่อง
ขันทีจิ้นจงพุ่งตัวเข้าไป ตะโกนด้วยความตกใจ “ฝ่าบาท…”