เสียงกระแอมไอดังขึ้นภายในตำหนักใหญ่ ปะปนไปด้วยเสียงตะโกนของเฉินตันจู “ฝ่าบาท พระองค์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ อย่ากลัว หม่อมฉันเป็นไต้ฟู…”
“หยุด ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ…” ฟังแล้วโกลาหลอย่างมาก อาจี๋ที่ยืนอยู่ด้านนอกพระตำหนักไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อฝ่าบาทพบกับคุณหนูตันจูล้วนเป็นเช่นนี้ เริ่มต้นจากเสียงโหวกเหวก จากนั้นระบายความโกรธ สุดท้ายขับไล่คนออกมาก่อนจะจบสิ้นลง
รอดูเถิด
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าหลายครั้งก่อนจะหยุดกระแอมไอ จากนั้นเขาผลักขันทีจิ้นจงที่ลูบหลังอยู่ด้านข้างออก ถลึงตามองสองคนที่ยืนอยู่ภายในพระตำหนัก…ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เงียบสงบ ดวงตาเป็นประกาย สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
เป็นห่วงเป็นใย? ทันใดนั้นฮ่องเต้โมโหจนลุกขึ้นยืน “เด็กเลว เจ้าทำสิ่งใด”
เฉินตันจูทำท่าจะคุกเข่า “หม่อมฉันมีโทษ…” แต่หลังจากย่อเข่าแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างลังเล “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำสิ่งใดเพคะ”
ครานี้เป็นการใส่ร้ายจริง นางเพิ่งเข้าใจ อีกทั้งนางพูดทุกสิ่งอย่างไม่ปิดบัง
ฉู่อวี๋หยงรีบพูดด้วยความสงสัย “เสด็จพ่อ กระหม่อมยังไม่ได้ทำสิ่งใดเช่นกัน กระหม่อมเพิ่งมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งสอง ฮ่องเต้โกรธจนนั่งลงอีกครั้ง ตะโกน “พวกเจ้าคุกเข่าลง!”
ในเมื่อเป็นคำว่าพวกเจ้า ย่อมไม่ได้มีแค่นางที่ทำให้ฮ่องเต้โกรธ เฉินตันจูจึงคุกเข่าลงอย่างวางใจ ทางด้านฉู่อวี๋หยงก็คุกเข่าลง
“ฝ่าบาทเป็นห่วงท่าน” เฉินตันจูพูดกับฉู่อวี๋หยงเสียงเบา เมื่อเห็นบุตรชายผู้นี้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ฝ่าบาทเป็นกังวลร่างกายของเขา ประหลาดใจเกินไปจึงโกรธหรือ
เหมือนเด็กที่แอบวิ่งหนีออกไปเที่ยวเล่น คนในตระกูลคิดว่าหายไป หลังจากพวกเขากลับมา ถึงแม้คนในตระกูลดีใจจนอยากร้องไห้ แต่ยังคงจะตีเด็กก่อน
ฉู่อวี๋หยงทำสีหน้าเข้าใจ ถวายบังคมต่อฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ กระหม่อมเข้าเมืองหลวงแอบมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพราะอยากสร้างความประหลาดใจให้เสด็จพ่อ เสด็จพ่อโปรดระงับความโกรธ”
ประหลาดใจ ฮ่องเต้ส่งเสียงหัวเราะอยู่บนบัลลังก์มังกร เขาเห็นอีกฝ่ายเข้าเมืองมีอันใดให้น่าประหลาดใจ เจ้าเด็กเลวนี้อยากจะสร้างความประหลาดใจให้อีกคนมากกว่า สายตาของฮ่องเต้จ้องมองไปยังเฉินตันจู…
“เรื่องเป็นอย่างไร” เขาถามเสียงเย็น “เจ้า…พวกเจ้าเป็นอย่างไรกัน”
เจ้าเด็กนี่บอกความลับต่อเฉินตันจูตั้งแต่เข้าเมืองหรือ คงไม่เสียสติถึงขนาดนั้นใช่หรือไม่
“ฝ่าบาท หม่อมฉันบังเอิญพบกับองค์ชายหก ที่หน้าสุสานของแม่ทัพหน้ากากเหล็กเพคะ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมบังเอิญพบกับคุณหนูตันจู ที่หน้าสุสานของแม่ทัพหน้ากากเหล็กพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของทั้งสองคนดังขึ้นในพระตำหนักพร้อมกัน
ฮ่องเต้ตบพนักบัลลังก์ “หุบปาก”
ทั้งสองคนล้วนหุบปาก
แต่หุบปากทั้งสองคนก็ไม่ได้
“เฉินตันจู เจ้าเป็นคนพูด…” ฮ่องเต้พูด แต่หลังจากพูดออกมาก็เสียใจ คำพูดของเฉินตันจูไม่อาจเชื่อถือได้ เขารีบชี้ฉู่อวี๋หยง “ฉู่อวี๋หยงดีกว่า เจ้าพูด”
เฉินตันจูไม่มีความเห็นเรื่องผู้ใดพูดก่อน นางคุกเข่าอย่างเชื่อฟัง ไม่มีคำโต้แย้งแม้แต่น้อย
ฉู่อวี๋หยงพูดขึ้นอย่างเชื่อฟัง “เสด็จพ่อ เรื่องเป็นเช่นนี้ พระองค์ให้คนรับกระหม่อมมา กระหม่อมเดินทางได้ช้าเนื่องจากร่างกายไม่ดีนัก วันนี้เดินทางมาถึงเมืองหลวง ระหว่างทางผ่านสุสานของท่านแม่ทัพ กระหม่อมต้องการเข้าไประลึกถึงท่านแม่ทัพ จึงบังเอิญพบคุณหนูตันจูที่กำลังระลึกถึงท่านแม่ทัพอยู่…”
บังเอิญ? ฮ่องเต้ยิ้มเย้ยหยัน ผู้ใดจะเชื่อความบังเอิญนี้ เจ้าเฝ้ามองอยู่ด้านนอกเมืองหลวง รอเพียงเฉินตันจูมาระลึกถึงท่านแม่ทัพใช่หรือไม่
เวลานี้ขันทีจิ้นจงกระซิบที่ข้างหูของฮ่องเต้ “คุณหนูตันจูไม่เคยไประลึกถึงท่านแม่ทัพ วันนี้ คงจะเป็นครั้งแรก…”
ดูเถิด ฮ่องเต้ถลึงตามองฉู่อวี๋หยง ช่างบังเอิญเสียจริง ครั้งแรกก็พบกันแล้ว
ฉู่อวี๋หยงหน้าไม่เปลี่ยนสี ราวกับมองไม่เห็นสายตาของฮ่องเต้ พูดต่ออย่างสนุกสนาน “กระหม่อมเข้าเมืองมาพร้อมกับคุณหนูตันจู กระหม่อมต้องการสร้างความประหลาดใจให้เสด็จพ่อ จึงขอให้คุณหนูตันจูพากระหม่อมมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบทั้งเศร้าโศกทั้งอ้อนวอน “เสด็จพ่อ พระองค์อย่าโกรธ กระหม่อมเพียงแค่คิดว่าการได้พบเสด็จพ่อเช่นนี้จึงดีใจมาก ดีใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร”
เขาเน้นย้ำลงบนคำว่าเช่นนี้ ฮ่องเต้เข้าใจความหมายของเขา เช่นนี้หมายถึงองค์ชายหก หมายถึงการปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในฐานะฉู่อวี๋หยง เขาเป็นท่านแม่ทัพมานาน น่าสงสารยิ่งนัก…แต่! ฮ่องเต้หัวเราะเย้ยหยันออกมา เขาดีใจที่ได้พบเสด็จพ่อด้วยฐานะนี้ หรือว่าดีใจที่ได้พบเฉินตันจูในฐานะนี้กันแน่
เวลานี้เฉินตันจูที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะแอบมองฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระองค์ไม่ดีใจที่ได้พบองค์ชายหกหรือเพคะ”
เหตุใดจึงดูเหมือนโกรธมาก เพราะเหตุใดกัน แปลกเสียจริง
ขันทีจิ้นจงรีบกระแอมไอเสียงเบาอยู่ด้านข้าง ตำหนิ “องค์หญิงอย่าได้เสียมารยาท”
เสียงไอนี้ก็เป็นการตักเตือนฮ่องเต้ เฉินตันจูฉลาดอย่างมาก อย่าให้นางสังเกตเห็นความผิดปกติ
ฉู่อวี๋หยงเรียกขานเสด็จพ่อด้วยเสียงอ้อนวอนอีกครั้ง “กระหม่อมผิดไปแล้ว เสด็จพ่ออย่าได้โกรธเลย”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้ยังไม่ได้เปิดเผยความลับต่อเฉินตันจู อืม…หากเฉินตันจูรู้ว่าบิดาบุณธรรมของตนเองคือองค์ชายหก จะเป็นอย่างไร
ตกใจ? อับอาย? ไม่ เฉินตันจูไม่รู้จักความอับอาย มีเพียงแต่จะดีใจจนบ้าคลั่ง เดิมทีคิดว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กผู้เป็นที่พึ่งตายแล้ว สุดท้ายฟื้นกลับมาอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นองค์ชาย นางย่อมต้องจับเอาไว้ไม่ปล่อย
องค์ชายสามเป็นตัวอย่าง
ไม่อาจให้เฉินตันจูรู้ได้!
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าจะโกรธและเป็นกังวล” ฮ่องเต้นั่งตัวตรง ชี้นิ้วไปทางด้านนอก “เวลานี้รีบไปพักผ่อน”
เอ่อ? ฉู่อวี๋หยงรีบพูด “กระหม่อมยังสบายดี กระหม่อมอยากพูดคุยกับเสด็จพ่อต่อ”
“ไม่ต้องพูดเวลานี้ เจ้าไปพักผ่อนก่อน” ฮ่องเต้ไม่ให้ปฏิเสธ เขาหันไปรับสั่งกับขันทีจิ้นจง “นำเขาไปยังตำหนักบรรทมของข้า ราชรถด้านนอกเจ้าไปจัดการ”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ “องค์รัชทายาทพวกเขาย่อมออกไปต้อนรับ กระหม่อมจะรั้งเอาไว้ก่อน ให้ราชรถเข้าวัง รอฝ่าบาทรับสั่งให้ทุกคนพบกับองค์ชายหก”
ฮ่องเต้โบกมืออย่างไร้เสียง บอกให้เขารีบไป
ฉู่อวี๋หยงต้องการพูดสิ่งอื่นอีก แต่ขันทีจิ้นจงเดินลงมาลากเขาไปทางประตูหลัง “รีบไปเถิด องค์ชายของกระหม่อม” พลางถามด้วยรอยยิ้มมีนัย “ระหว่างทางทรงเหน็ดเหนื่อยใช่หรือไม่ โอย ร่างกายอ่อนแอเสียจริง เดินยังไม่มั่น กระหม่อมพยุงท่าน”
ฉู่อวี๋หยงเดินตามเขาไป แต่ยังไม่ลืมหันกลับมามองเฉินตันจู โบกมือยิ้มให้นาง “คุณหนูตันจู ขอบใจเจ้ามาก ไว้พบกันวันอื่น”
เฉินตันจูโบกมือให้เขาในขณะที่ยังคงคุกเข่าอยู่ “ไม่ต้องเกรงใจเพคะองค์ชาย พบกันครั้งหน้า”
พบอันใดกัน! ฮ่องเต้ตะโกน “เฉินตันจู เจ้ายังไม่ถอยออกไปอีก!”
เฉินตันจูมองไปยังฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันถอยออกไปได้หรือเพคะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าจะรั้งให้เจ้าอยู่กินข้าวหรือ?”
เฉินตันจูมองฟ้า “เวลานี้กินข้าวเช้าไป”
ฮ่องเต้โยนถ้วยชาใส่นาง “เจ้ายังกล้าพูด! เฉินตันจู ข้ายังไม่ถามโทษเจ้า!”
ถ้วยชาไม่ได้กระทบลงบนตัวของเฉินตันจู หากแต่หล่นลงพื้นส่งเสียงดัง
“ฝ่าบาท” เฉินตันจูไม่ได้หวาดกลัวนัก เพียงแค่พูดด้วยความน้อยใจ “หม่อมฉันมีโทษอันใดกัน หม่อมฉันยังคิดว่าฝ่าบาทจะพระราชทานรางวัลให้เสียอีก หม่อมฉันพาองค์ชายหกเข้ามา เพื่อสร้างความประหลาดใจให้ฝ่าบาท”
แน่นอน ฮ่องเต้ตกใจมากกว่าประหลาดใจ เฉินตันจูแอบหัวเราะอยู่ภายในใจ
ฮ่องเต้ยิ้มเย้ยหยัน “ความดีความชอบหรือ เจ้ารู้ว่าเป็นองค์ชายหก เหตุใดจึงสมรู้ร่วมคิดกับเขามาหลอกข้า”
เฉินตันจูถอนหายใจเสียงเบา “ฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันไประลึกถึงท่านแม่ทัพ ในขณะที่กำลังเศร้าโศกระลึกถึงท่านแม่ทัพอย่างมากนั้น หม่อมฉันได้เห็นองค์ชายหกเสด็จมา เนื่องจากความสัมพันธ์บิดาและบุตรของหม่อมฉันกับท่านแม่ทัพ จึงระลึกถึงความสัมพันธ์บิดาและบุตรระหว่างองค์ชายหกกับฝ่าบาท ดังนั้นหม่อมฉันจึงพาองค์ชายหกมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเอง” พูดพลางยกแขนเสื้อซับน้ำตา…
น้ำตาของเฉินตันจู ฮ่องเต้แม้มองยังไม่จำเป็นต้องมอง เขาโบกมือ “อย่าได้แสร้งร้องไห้ เฉินตันจู เจ้าเห็นเพียงฐานะขององค์ชายหกเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นระลึกถึงท่านแม่ทัพ เจ้าจะทำเช่นนี้หรือ”
เฉินตันจูหยุดร้องไห้ มองฮ่องเต้อย่างเศร้าโศก “ฝ่าบาท หากคนผู้นั้นไม่ใช่องค์ชายหก ย่อมไม่ใช่โอรสของฝ่าบาท หม่อมฉันย่อมไม่พาเขามาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้หยิบ…ข้างกายไม่มีถ้วยชาแล้ว จึงทำได้เพียงโยนฎีกาเล่มหนึ่งลงมา “ออกไป ออกไป ออกไป”
…
ใกล้จบสิ้นแล้ว ฟังเสียงการเคลื่อนไหวภายในตำหนัก ฮ่องเต้ทั้งด่าทั้งโยนสิ่งของ อาจี๋ที่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักรีบหันไปทางประตู ได้ยินเสียงดังขึ้นจากภายใน “ผู้ใดก็ได้…” เขาจึงก้าวเท้าเดินเข้าไป