ตอนที่ 396 พิธีเปิดการก่อสร้างสะพานยกระดับ
จนกระทั่งตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ ก็พบว่าวันนี้อากาศค่อนข้างดี
อากาศดีสำหรับช่วงฤดูร้อน หมายถึงอีกวันหนึ่งที่ร้อนอบอ้าว
ระหว่างกินอาหารมื้อเช้า หลินม่ายเตือนฟู่เฉียงว่าวันนี้แม่เสียสติของเขาจะได้รับผลการตรวจร่างกายทั้งหมด เพื่อที่เขาจะได้ไม่ลืมแวะไปรับเอกสารของผู้เป็นแม่
หลังจากนั้นให้เขาเอาเอกสารมาส่งให้เธอ แล้วเธอจะพาแม่ของเขาไปพบรองศาสตราจารย์ไต้ในตอนบ่าย
หลังกินข้าวเสร็จ หลินม่ายก็เปลี่ยนมาสวมชุดสูทกระโปรงอีกชุดหนึ่ง เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดการก่อสร้างสะพานต่างระดับ
พิธีอย่างเป็นทางการจะไม่เริ่มขึ้นจนกว่าจะถึงเวลาแปดโมงตรง หลินม่ายไปถึงที่นั่นเวลาเจ็ดโมงครึ่งพอดี
ไม่คาดคิดเลยว่าคุณเจิ้งจะไปถึงหน้างานเร็วกว่าเธอเสียอีก ตอนนี้ก็กำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับเฉินเฟิงอย่างกระฉับกระเฉง
ด้านหลังพวกเขา คือแรงงานข้ามชาติกลุ่มใหญ่ที่ยืนหรือนั่งยอง ๆ อยู่เป็นกลุ่มก้อน คาดคะเนว่ามีทั้งหมดประมาณห้าถึงหกร้อยคน
ในบรรดาห้าหกร้อยคนที่ว่า ยังรวมถึงคนของนายช่างจางอีกด้วย
ทันทีที่เห็นหลินม่าย นายช่างจางก็รีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม ถามว่าเธอพึงพอใจกับการติดตั้งป้ายของโรงเรียนอนุบาลมากน้อยแค่ไหน
หลินม่ายตบหน้าผากตัวเอง “ช่วงนี้ฉันยุ่งเกินไปเลยไม่ทันสังเกตป้ายของคุณ แต่ฉันไม่กังขาในผลงานของคุณหรอกค่ะ ไม่สำคัญว่าฉันจะเห็นมันหรือเปล่า”
นายช่างจางพูดยิ้ม ๆ “ถ้ามีอะไรที่ต้องปรับปรุง ให้คุณแจ้งผมโดยตรงได้เลย เดี๋ยวผมจะส่งคนมาติดตั้งให้ใหม่”
หลินม่ายตอบรับ ก่อนจะถามต่อ “คุณได้รับค่าแรงหรือยังคะ?”
นายช่างจางตอบกลับ “ได้รับแล้ว”
หลินม่ายถามกลับแถมหยอก “ฝ่ายบัญชีของฉันกินคนหรือเปล่าคะ?”
นายช่างจางถึงกับหัวเราะออกมา “ไม่เห็นจะกินคนตรงไหน”
“ในเมื่อรู้แบบนี้แล้วยังกลัวการไปติดต่อฝ่ายบัญชีเพื่อรับเงินค่าแรงอยู่หรือเปล่าคะ?”
“ไม่กลัวแล้ว”
หลินม่ายพยักหน้าให้เขา จากนั้นก็เดินไปทักทายเฉินเฟิงกับคุณเจิ้ง
เฉินเฟิงเคยเห็นเธอสวมใส่ชุดสวย ๆ ที่ดูคล่องตัวจนชินตา เมื่อเห็นว่าวันนี้เธอมาในชุดสูทกระโปรง ก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “เธอนี่สวมสูทแล้วสวยจริง ๆ เลย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” หลินม่ายตอบกลับอย่างสุภาพ แล้วหันไปถามอีกคนด้วยรอยยิ้ม “คุณเจิ้งทานอาหารเช้าหรือยังคะ?”
คุณเจิ้งยิ้มกว้างพลางตอบกลับ “ผมกินมาจากที่บ้านแล้ว เมื่อกี้นี้ผู้จัดการเฉินยังลากผมไปกินบะหมี่เนื้อหนึ่งชามกับซุปเกี๊ยวชามเล็กอีก ท้องผมแทบจะแตกตายอยู่แล้ว”
หลินม่ายยิ้มแล้วตอบกลับ “กินเยอะ ๆ ดีแล้วค่ะ แสดงให้เห็นว่ากระบวนการย่อยของคุณยังเป็นปกติ และมีสุขภาพที่ดี”
คุณเจิ้งชอบคำชื่นชมแบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน
หลินม่ายชี้ไปทางแรงงานข้ามชาติเหล่านั้น แล้วถามเฉินเฟิงด้วยความงุนงง “แค่สร้างสะพานต่างระดับอย่างเดียว จำเป็นต้องใช้แรงงานคนมากขนาดนี้เชียวเหรอ?”
เฉินเฟิงส่ายหน้า “ความจริงแล้วเหล่าเจิ้งก็บอกว่าไม่จำเป็น”
หลินม่ายยิ่งไม่เข้าใจ “รู้แบบนั้นแล้วยังหาคนงานมาเยอะเกินความจำเป็นอีก!”
เฉินเฟิงอธิบาย “นี่เป็นโครงการของรัฐบาล แถมยังเป็นโครงการแรกที่เรามีโอกาสได้รับช่วงต่อ เพราะฉะนั้นถึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ฉันว่าจ้างแรงงานที่มีฝีมือมาในสัดส่วนที่มากกว่า เพื่อเป็นการรับประกันด้านคุณภาพและปริมาณ ว่าจะทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดได้แน่ ลูกน้องของฉันยังต้องเรียนรู้งานอีกเยอะ รอให้ทักษะของพวกเขาพัฒนาจนกลายเป็นแรงงานฝีมือก่อน ถึงตอนนั้นคงไม่ต้องจ้างคนงานก่อสร้างมากขนาดนี้”
หลินม่ายพยักหน้า “คุณมองการณ์ไกลกว่าฉันอีก”
จากนั้นเฉินเฟิงก็เรียกลูกน้องคนหนึ่งให้มาคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้คุณเจิ้ง
หลังจากคุณเจิ้งกลับเข้าไปในสำนักงานของไซต์งานก่อสร้างเพื่อพักผ่อนแล้ว เขาก็หิ้วปีกไก่โต้งที่ลูกน้องอีกคนยื่นให้ แล้วหันมาพูดกับหลินม่ายว่า “ตามฉันมา”
หลินม่ายมองไปยังไก่โต้งท่าทางตื่นตระหนกที่อยู่ในอ้อมแขนเขาด้วยความสงสัย
ทำไมถึงต้องเตรียมไก่โต้งมาร่วมในพิธีเปิดด้วยล่ะ?
เธอเดินตามเขาไปจนถึงบริเวณที่กำหนดว่าจะสร้างท่าเรือ พอเห็นเขานั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ก็เข้าใจทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร
หลินม่ายเบิกตากว้าง “อย่าบอกนะว่าคุณจะใช้ไก่โต้งตัวนี้เป็นเครื่องสังเวยน่ะ?”
การตอกเสาเข็ม เป็นความเชื่อที่มาจากคติโบราณ
คนโบราณส่วนใหญ่เชื่อเรื่องโชคลางและเรื่องที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ย
ถ้าต้องการสร้างสะพาน พวกเขามักจับเด็กชายหญิงคู่หนึ่งโยนลงไปก้นหลุมตอม่อตรงหัวสะพานและท้ายสะพาน แล้วตอกเสาเข็มทับลงไป เชื่อกันว่าเป็นเคล็ดให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่น
วิญญาณของเด็กชายหญิงที่ถูกฝังไว้ในตอม่อสะพานจะกลายเป็นผู้ดูแลรักษาสะพานที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วสืบไป
แต่การตอกเสาเข็มที่ว่าโหดร้ายมาก เพราะต้องฝังเด็กชายและเด็กหญิงลงไปทั้งเป็น
เฉินเฟิงยอมรับแบบไม่คิดอะไรมาก “ใช่ เราไม่มีทางหาชายหญิงที่ครองพรหมจรรย์มาฝังได้อยู่แล้ว เพราะงั้นถึงต้องใช้ไก่ตัวผู้แทน”
หลินม่ายต่อต้านการตอกเสาเข็มเพื่อถือเคล็ดอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะฝังเด็กชายหญิงหรือใช้ไก่โต้งเป็น ๆ ก็โหดร้ายไม่ต่างกัน แถมยังน่าขนลุกจะตายไป
“นั่นเป็นแค่เคล็ดเรื่องโชคลาง ไม่ต้องเชื่อมากนักก็ได้” เธอพยายามเกลี้ยกล่อม
เฉินเฟิงพูดอย่างจริงจัง “เชื่อถือในบางสิ่ง ยังดีกว่าไม่เชื่ออะไรเลย เพื่อให้ผลงานของโครงการนี้ออกมาอย่างราบรื่น เราต้องใช้ทุกวิถีทาง”
นั่นก็คือไม่ว่ายังไง เขาก็จะฝังไก่โต้งทั้งเป็นให้ได้
หลินม่ายรีบเอื้อมมือไปยื้อแย่งไก่โต้งมาจากมือเขา “ฉันเชื่อในประสิทธิภาพการทำงานมากกว่าเรื่องพรรค์นี้ ตราบใดที่เราใส่ใจความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้างมากพอ ก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นแน่ แต่ถ้าคุณไม่สบายใจ งั้นไปที่วัดเป่าทง ขอให้พระภิกษุอาวุโสช่วยสวดเสริมดวงชะตาก็ได้”
พอเห็นว่าหลินม่ายคัดค้านอย่างหัวชนฝา เฉินเฟิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ ลุกขึ้นยืน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมไม่เชิญพระภิกษุอาวุโสจากวัดกุยหยวนมาซะเลยล่ะ? วัดกุยหยวนยังมีชื่อเสียงกว่า!”
หลินม่ายโต้กลับ “วัดเป่าทงก็มีพระภิกษุอาวุโสชื่อดังเหมือนกัน ทั้งยังมีพระบรมสารีริกธาตุด้วย คุณเลือกเอาเองก็แล้วกัน”
ไม่กี่นาทีก่อนถึงแปดโมงตรง ผอ.เขตโอวหยางและผู้อำนวยการหลิวก็เดินทางมาถึง
ทันทีที่ถึงแปดนาฬิกาตรง เฉินเฟิงก็สั่งเริ่มการจุดประทัดยักษ์ เชิดสิงโตและมังกร ตีฆ้องและกลอง ทำให้บรรยากาศหน้างานเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จากนั้นก็เชิญผอ.เขตกล่าวสุนทรพจน์
ช่วงท้ายของการกล่าวสุนทรพจน์ พนักงานหญิงที่สวมชุดกี่เพ้าก็เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับถือกรรไกรซึ่งผูกด้วยผ้าไหมสีแดง หลังจากนั้นเฉินเฟิงและผอ.เขตก็ร่วมกันตัดริบบิ้น
หลินม่ายมองไปที่พนักงานหญิงท่าทางสง่างามคนนั้นแล้ว เธอก็แอบขอบคุณตัวเองที่วันนี้ไม่เลือกสวมชุดกี่เพ้าออกจากบ้าน ไม่อย่างนั้นคงแต่งตัวชนกับพนักงานหญิงคนนั้นแน่นอน
ปกติแล้วเธอชอบสวมชุดกี่เพ้า เถาจืออวิ๋นจึงตัดชุดกี่เพ้าไว้ให้เธอหลายตัว
ประมาณครึ่งชั่วโมงทั้งก่อนและหลังพิธีเปิดการก่อสร้าง เฉินเฟิงได้จัดเตรียมทุกรายละเอียดของพิธีการไว้อย่างยิ่งใหญ่
หลินม่ายกับเฉินเฟิงวุ่นอยู่กับการสร้างความบันเทิงให้กับผอ.เขตและผู้อำนวยการหลิว ทำให้ไม่มีใครทันสังเกตสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาซึ่งจ้องตรงมาจากฝั่งฝูงชน
หลังจากพิธีตัดริบบิ้นเสร็จสิ้น ผอ.เขตและผู้อำนวยการหลิวก็ขอตัวกลับไป พวกเขายังมีงานอื่นที่ต้องจัดการต่อ จึงไม่สามารถรั้งอยู่ได้นาน
หลังส่งผอ.เขตกับผู้อำนวยการหลิวกลับแล้ว เฉินเฟิงก็พาหลินม่ายไปเยี่ยมชมรอบบริเวณไซต์งาน
ไซต์งานนี้ถูกสร้างขึ้นภายในไม่กี่วันในระหว่างที่หลินม่ายกลับไปยังชนบท
เพิงพักชั่วคราวของคนงานเรียงรายเป็นแถวอย่างเรียบง่ายแต่เป็นระเบียบ ที่สำคัญคือสร้างขึ้นด้วยอิฐและกระเบื้อง
ยุคสมัยนี้ยังไม่มีบ้านสำเร็จรูปที่ทำจากตู้คอนเทนเนอร์
ไซต์งานก่อสร้างหลายแห่งยังสร้างเพิงพักให้คนงานโดยใช้ไม้แบบลวก ๆ ซึ่งติดไฟได้ง่ายและไม่กันน้ำรั่วซึม จึงมีอันตรายแอบแฝงอยู่มาก
เฉินเฟิงต่างจากผู้รับเหมาพวกนั้น เขาสร้างบ้านที่ก่อด้วยอิฐ เพียงแค่ไม่ได้ทำฐานราก
แต่ถึงจะไม่มีฐานราก ไม่มีคานหลังคา แต่หลังคาก็มุงด้วยกระเบื้องใยหิน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย อย่างเช่นการรับน้ำหนักที่มากเกินตัว
เพิงพักของคนงานตรงหน้าถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในระดับที่ชนเพดานสำหรับเพิงพักที่อื่น ๆ
หลังจากเยี่ยมชมไซต์งานแล้ว หลินม่ายก็เดินไปดูวัสดุก่อสร้างประเภทซีเมนต์ เหล็ก และหินทรายที่เฉินเฟิงจัดหามาสำหรับก่อสร้างสะพานต่างระดับ
เธอพูดกับเฉินเฟิง “วัสดุก่อสร้างที่ใช้ใช่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ คุณห้ามจัดซื้อของด้อยคุณภาพเด็ดขาด ของที่ต่ำมาตรฐานก็ไม่ควรใช้เหมือนกัน สิ่งที่เรากำลังจะสร้างคือสะพาน ดังนั้นอย่าได้ประหยัดงบด้านวัสดุก่อสร้างจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคงรับประกันคุณภาพได้ยาก”
เฉินเฟิงรอให้เธอบ่นจู้จี้จนจบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตอบกลับ “ไม่ต้องกังวลเลย คุณเจิ้งมีอำนาจในการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของวัสดุก่อสร้างทั้งหมด ไม่มีปัญหาใด ๆ แน่นอน”
หลินม่ายพยักหน้า ถามเขา “ทำไมวันนี้ถึงไม่เห็นเหลียนเฉียวเลย? คุณกลัวว่าหล่อนอาจเหม็นขี้หน้าฉัน ก็เลยไล่หล่อนออกไปไกล ๆ สินะ?”
“ฉันฝากให้ลูกน้องสองคนพาหล่อนไปส่งเข้ากรมเองแหละ”
หลินม่ายนิ่งเงียบไป ก่อนจะพยักหน้า “บางทีนั่นอาจเป็นเรื่องดีสำหรับเหลียนเฉียวก็ได้ ถ้าเป็นทหาร ฝีมือของหล่อนคงมากพอจะเข้าร่วมกับกองกำลังพิเศษ ถึงตอนนั้นอนาคตหล่อนคงกว้างไกลมาก”
ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกา และเห็นว่าเกือบสิบโมงแล้ว เธอยังต้องแวะไปที่โรงงานตัดเสื้อ จึงหันไปพูดกับเฉินเฟิงสองสามคำแล้วขอตัวกลับ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รู้สึกได้ถึงพายุกำลังตั้งเค้าอย่างไรไม่รู้แฮะ จะมีผลต่อการสร้างสะพานของม่ายจื่อหรือเปล่า ไม่ใช่ว่ามีคนแอบลดเสป็กวัสดุก่อสร้างนะ?
ไหหม่า(海馬)