ฮ่องเต้ไม่ได้ตะโกนข่มขู่ว่าจะโบยเฉินตันจูเหมือนแต่ก่อน หลังจากขับไล่ออกไปก็ไม่สนใจแล้ว
เฉินตันจูเดินตามอาจี๋อย่างช้าๆ
“คุณหนูตันจู เหตุใดทุกครั้งที่ท่านมาล้วนมาทำให้ฝ่าบาททรงขุ่นเคือง” อาจี๋บ่น
เฉินตันจูรีบพูด “ครานี้ข้าไม่ได้เป็นคนทำ เอ้ย เวลาใดข้าก็ไม่ได้เป็นคนทำ ครานี้ข้ามาเพื่อให้ทำฝ่าบาทดีใจต่างหาก”
แต่ก่อนไม่ได้เจตนามาทำให้ฮ่องเต้โกรธ แต่ครานี้เจตนา นางกลั้นขำ
อาจี๋มองนาง “มองไม่ออกเสียจริง ฝ่าบาททรงโกรธอย่างเห็นได้ชัด”
เฉินตันจูพูดอย่างหมดหนทาง “ข้าก็ไม่รู้เกิดเรื่องใดขึ้น ข้ายังไม่ได้พูดสิ่งใด ฝ่าบาทก็ตำหนิข้า”
ถึงแม้นางมีความคิดที่จะมาเห็นความตกใจของฝ่าบาท แต่ไม่ว่าดูอย่างไร นอกจากตกใจ ฝ่าบาทไม่มีความดีใจแม้แต่น้อย
มีความความขุ่นเคือง ความโกรธ ความเสียดสี แต่ไม่มีความดีใจที่ได้พบบุตรชายคนเล็กที่แยกจากกันมานาน
แม้ว่าก่อนหน้านี้โกรธ แต่หลังจากตำหนิแล้ว ถึงแม้ไม่ต้องกอดคอร้องไห้ แต่ก็สมควรเป็นห่วงเล็กน้อย
แปลกจริง
ดูท่าทาง ฮ่องเต้ไม่โปรดปรานบุตรชายคนเล็กนี้นัก บางทีอาจไม่มีแผนการรับมา หากแต่ถูกบีบบังคับ?
เฉินตันจูขมวดคิ้วครุ่นคิด อาจี๋กระแอมไอหนักๆ หนึ่งที นางเงยหน้าอย่างฉงน สิ่งที่ปรากฏมีเพียงความมืดมิด เมื่อเงยหน้าขึ้นอีก นางก็มองเห็นใบหน้าของโจวเสวียน
ชายหนุ่มผู้นี้ยืนตรงหน้านางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ อีกเพียงก้าวเดียวนางก็จะเดินชนเขาเข้าแล้ว
ชายหนุ่มเชิดคาง สีหน้าเฉยเมย สายตามองข้ามนางไป ราวกับไม่เห็นว่าด้านหน้ามีคนอยู่
เฉินตันจูเดินผ่านเขา “อาจี๋ เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว พวกเราไปพบองค์หญิงจินเหยาต่อเถิด เข้าวังมาทั้งที ไม่พบนางสักครั้ง เสียมารยาทอย่างมาก”
อาจี๋ถลึงตาใส่นาง พูดเหลวไหลอันใดกัน ท่านเดินเล่นในพระราชวังต่างหากที่เสียมารยาท แต่เมื่อมองโจวเสวียนที่ยืนนิ่งไม่ขยับ ถึงแม้โจวเสวียนจะยังไม่พูด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ดีนัก เขารีบนำเฉินตันจูไปจากตรงนี้…
โจวเสวียนยื่นมือจับเฉินตันจูเอาไว้
เฉินตันจูถูกกระชากจนเซไปเล็กน้อย อาจี๋ตะโกนอยู่ด้านข้าง “ท่านโหว ท่านทำอันใด!” ในเวลาเดียวกัน เขากำลังจะเดินขึ้นหน้ายื่นมือกีดขวาง
โจวเสวียนไม่แม้แต่จะมองเขา มองเพียงเฉินตันจู “ท่านเข้าวังทำอันใด”
เฉินตันจูยืนนิ่ง พูดเสียงเรียบ “เข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“ท่านเข้าเฝ้าฝ่าบาททำอันใด” โจวเสวียนพูด อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเฉินตันจู นับแต่การจากกันที่ค่ายทหาร เขาก็ไม่เคยพูดคุยกับนางใกล้ชิดเพียงนี้มาก่อน หรืออาจบอกได้ว่า พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันอีก
ก่อนหน้านี้นางป่วย เขาไปเยี่ยมในคุกหลวง หญิงสาวนอนอยู่อย่างไร้ชีวิตราวกับตุ๊กตากระเบื้อง เวลานั้นหัวใจของเขาหยุดเต้นลง
คนบางคนที่คิดว่าไม่มีวันสูญเสียไปหายไปอย่างกะทันหัน ความรู้สึกแบบนั้น เขาไม่อยากสัมผัสอีกครั้ง
เวลานั้น เขาคิดเพียงอยากให้นางดีขึ้น แม้จะมองเขาเป็นศัตรู เขาก็ไม่โกรธนางอีก
เพียงแต่นางหายดีแล้ว ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงแล้ว จากนั้นนางก็หลบอยู่ในจวนไม่ออกมาอีก เขาไม่มีโอกาสได้พบนาง เขามักยืนอยู่ด้านนอกจวนของนาง กำแพงที่ถูกเขาซ่อมแซมตั้งสูง ด้านหลังกำแพงยังมีองครักษ์หลวงหลบซ่อนจับตามองเขาอยู่ แน่นอนว่าไม่อาจกีดขวางเขาได้ เขายังคงสามารถปีนข้ามไปดูนาง…
แต่ว่าร่างกายนางยังไม่หายดี อารมณ์ย่อมไม่ดีนัก เกรงว่าหากเห็นเขาจะทะเลาะกันอีก
เขายังไม่ได้คิดว่าจะพูดกับนางอย่างไร
เวลานี้ เขาจับแขนของหญิงสาวเอาไว้ สัมผัสอุณหภูมิของผิวหนังภายใต้เสื้อ หัวใจของเขาอ่อนลง
ไม่ต้องคิดมากมาย เขาขอโทษนางก็พอแล้ว
“ตันจู” น้ำเสียงของโจวเสวียนแผ่วเบา ไม่ได้โกรธเพราะคำตอบของหญิงสาว “ท่านอย่ามีเรื่องใดก็มาฟ้องฝ่าบาท ท่านมีเรื่องใดไม่พอใจหรือโกรธ ท่านบอกข้า…”
เฉินตันจูพูดขัดเขา “ท่านโหวคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้มาฟ้องฝ่าบาท หากแต่มีเรื่องสำคัญมาก เพียงแต่เรื่องนี้ข้าไม่สะดวกพูด บางทีท่านไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาทจะบอกท่านเอง”
เรื่องสำคัญมาก? โจวเสวียนผงะ
“ได้ ข้าไม่ถามท่านแล้ว ข้ากำลังจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท” เขาพูด “ตันจู แต่ข้าจะบอกท่าน วันนี้ข้าไป…”
เฉินตันจูพูดขัดเขาอีกครั้ง ออกแรงดึงแขนกลับมา “ท่านโหว ท่านไปทำสิ่งใดไม่ต้องบอกข้า ข้าจะออกจากวังแล้ว ขอตัวก่อน”
พูดพลางเดินจากไป
สีหน้าของโจวเสวียนดำทะมึน “เฉินตันจู!” เขาทำท่าจะพุ่งตรงเข้าไป
อาจี๋รีบยื่นมือรั้งเอาไว้ “ท่านโหว อย่าได้เสียมารยาทในวัง”
โจวเสวียนมองขันทีตัวน้อยผู้นี้ หัวเราะเยาะ “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ในวังนี้แม้แต่ขันทีจิ้นจงยังไม่รั้งข้า”
อาจี๋ยังไม่ทันตอบ เฉินตันจูก็ดึงอาจี๋มาไว้ด้านหลัง
“ใช่ ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ท่านโหวขุ่นเคือง” นางพูด “ขอท่านโหวอย่าได้ทำให้พวกข้าลำบากใจ”
บอกแล้วว่าจะไม่โกรธนาง ไม่โกรธนาง โจวเสวียนสูดลมหายใจเข้า ปล่อยเสียงเบาลง “ข้าไม่ได้จะทำให้ท่านลำบากใจ ตันจู ข้าอยากพูดกับท่าน ท่านฟังข้าพูดดีๆ ไม่ได้หรือ ฟังว่าข้าไปทำเรื่องใดมาในวันนี้”
เฉินตันจูมองเขา ส่ายหน้า “ท่านโหว ท่านทำเรื่องใดมา ข้าไม่อยากรู้ ดังนั้นท่านไม่ต้องบอกข้า”
หญิงสาวผู้นี้ช่างน่าโมโหยิ่งนัก! โจวเสวียนรู้สึกเพียงไฟโกรธที่ปะทุขึ้น อาจี๋จับเฉินตันจูผลักออกไปด้านนอก “คุณหนูตันจู ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านออกจากวังทันที อย่าได้รอช้า”
เฉินตันจูไม่ได้มองไปด้านหลังอีก นางเดินจากไปพร้อมอาจี๋
ด้านหลังไม่มีเสียงตะโกนของโจวเสวียนดังขึ้นอีก ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตามมาอีก
เฉินตันจูประหลาดใจเล็กน้อย นางอดหันกลับไปมองไม่ได้ เห็นเพียงแต่โจวเสวียนยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนก้อนหิน
“คุณหนูตันจู รีบไปเถิด” อาจี๋เร่งเร้า “อย่าได้มีเรื่องกับท่านโหวโจวเด็ดขาด”
เฉินตันจูขบขันท่าทางของอาจี๋ “ข้าไม่ได้โง่ ข้าจะสู้กับคนที่ข้าสู้ได้เท่านั้น” นางเดินตามอาจี๋ไปถึงหน้าประตูวังอย่างรวดเร็ว ก่อนออกจากวัง นางหันไปมองอีกครั้ง ร่างของโจวเสวียนหายไปแล้ว
อาจี๋ที่ตึงเครียดตั้งสติกลับมาได้ในเวลานี้ มองดูสาวรับใช้อาเถียนที่อยู่หน้าประตูพระราชวังข้างรถม้าเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “ขาดไปคนหนึ่ง องครักษ์หลวงผู้นั้นเล่า?”
ตอนเข้าพระตำหนักก่อนหน้านี้ ภายในตำหนักมีเพียงคุณหนูตันจูที่คุกเข่าอยู่ เขารีบพาคุณหนูตันจูออกมาอย่างตื่นตระหนก ลืมว่าขาดไปหนึ่งคน
เฉินตันจูตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ฝ่าบาทเรียกคืนไปแล้ว ฝ่าบาททรงเห็นว่าเขามีความสามารถ จึงเรียกคืนไป” พูดถึงตรงนี้ นางก็ทำท่าโกรธ “ฝ่าบาทไม่บอกว่าจะให้อีกคนทดแทนข้า”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อาจี๋โล่งอก “คุณหนูตันจูท่านอย่าพูดเหลวไหล เดิมทีเขาก็เป็นองครักษ์หลวงของฝ่าบาทอยู่แล้ว ท่านรีบกลับไปเถิด”
เฉินตันจูวางมือลงบนแขนของอาเถียนที่เข้าใกล้ “กลับเถิด ข้าก็เหนื่อยแล้ว” พูดพลางหันไปเรียกอาจี๋ “อาจี๋ เจ้าหาคนเคลื่อนรถให้ข้าที ฝ่าบาทเรียกคืนองครักษ์หลวงของข้าไปคนหนึ่ง…”
อาจี๋โบกมือขัดนาง “คุณหนูตันจูท่านขึ้นรถ ข้าไปส่งท่านเอง”
รีบไปเถิด อย่าพูดอีกเลย
เฉินตันจูนั่งขึ้นไปบนรถม้า ถึงแม้อาจี๋จะไม่เชี่ยวชาญการขับเคลื่อนรถเหมือนจู๋หลิน แต่ก็สามารถเดินทางออกจากพระราชวังไปจวนตระกูลเฉินได้อย่างปลอดภัย
ด้านหลังมีความคึกคักปรากฏขึ้นอีกครั้ง อาเถียนเปิดม่านรถดู “องค์รัชทายาทเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูมองออกไป เห็นเพียงองครักษ์ขบวนหนึ่งคุ้มกันองค์รัชทายาทออกจากพระราชวัง องค์รัชทายาทขี่ม้า สีหน้าทั้งดีใจทั้งกังวล อีกทั้งยังพูดเสียงดังกับคนข้างกาย “น้องหกจริงหรือ”
คนข้างกายราวกับไม่มั่นใจ “บอกว่าเป็นเช่นนี้ แต่ไม่เห็นคน พระองค์จะไปทูลฝ่าบาทก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทควบม้า “อย่ารีบ ไม่ต้องทำให้เสด็จพ่อแตกตื่น ข้าไปดูก่อน”
องค์รัชทายาทมองมาทางรถม้าที่ไม่โดดเด่นทางนี้ เขารู้ว่าเป็นเฉินตันจู แต่เขาพาคนควบม้าจากไปอย่างไม่สนใจ
เขาได้ข่าวจึงกำลังไปรับน้องชายหรือ เฉินตันจูเบ้ปาก ยิ้มอย่างกระหน่ำซ้ำเติม เสียดาย ท่านช้าไปหนึ่งก้าว รับได้แต่เพียงรถม้า
แต่ไม่สำคัญว่าจะรับหรือไม่ เฉินตันจูคล้อยมุมปากลง ชาตินี้หวังว่าท่านจะไม่มีโอกาสวางแผนลอบสังหารน้องชายผู้นี้ที่วัดถิงอวิ๋นอีก
นางมองไปยังพระราชวัง สูงใหญ่มืดมน แม้ว่าแสงอาทิตย์จะสว่างไสวเพียงใดก็ราวกับถูกกลืนกินเมื่อสาดส่องเข้าไป เรื่องของราชวงศ์ นางอย่าได้คิดมากไปเลย
เฉินตันจูปล่อยม่านรถลง ไม่เกี่ยวกับนาง