องค์รัชทายาทเสด็จออกจากพระราชวังไม่นาน องค์ชายสองก็เสด็จตามออกมา องค์ชายสี่ตะโกนเรียกพี่สองอยู่ด้านหลัง พร้อมไล่ตามมา
“จริงหรือ” องค์ชายสี่ขี่อยู่บนหลังม้า พยุงหมวกที่เอียงเล็กน้อย ถามด้วยเสียงร้อนใจ “อา เสี่ยว…น้องหกมาจริงหรือ”
ระหว่างพวกเขาพี่น้องเคยชินกับการเรียกชื่อ แต่เรื่องเกิดกะทันหัน เขานึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายชื่ออันใด
องค์ชายสองพูดเตือนเขาด้วยความหนักแน่น “อาอวี๋ เสี่ยวอวี๋ ฉู่อวี๋หยงน่าจะมาจริง องค์รัชทายาทเสด็จไปรับแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าออกมา เห็นโจวเสวียนก็มาด้วย คงจะมาทูลข่าว ทหารที่คุ้มกันน้องหกอยู่ทางประตูเมือง”
องค์ชายสี่ตอบรับพร้อมเดินตาม ก่อนจะรั้งม้าตะโกนเรียกพี่สอง ถามเสียงเบา “พวกเราก็ไปรับหรือ”
องค์ชายสองพูดอย่างฉงน “แน่นอน เรื่องนี้ยังต้องถามหรือ?” ไม่เห็นว่าองค์รัชทายาทก็ไปหรือ
พวกเขาที่เป็นน้องชายย่อมต้องปฏิบัติตามองค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ
แต่ก่อนเป็นเช่นนี้ อีกทั้งไม่รอพวกเขาต้องคิด องค์ชายห้าไล่ให้พวกเขามาแล้ว แต่เวลานี้ไม่มีการตะโกนโหวกเหวกขององค์ชายห้า องค์ชายสี่อดไม่ได้ที่ต้องครุ่นคิด มองไปรอบด้าน…
“พี่สามไม่มา” เขากดเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นพี่สามมุ่งไปทางเสด็จพ่อ”
อ่อ องค์ชายสองจับเชือกแน่น ใช่ เวลานี้องค์ชายสามได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง ไม่เพียงสามารถเข้าร่วมการหารือในท้องพระโรงได้ ยังสามารถร่วมว่าราชการได้ สิ่งที่เขาทำ แม้แต่องค์รัชทายาทยังไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้
เวลานี้ไม่ได้มีองค์รัชทายาทเท่านั้นที่เป็นผู้นำแล้ว
ข่าวการมาถึงของน้องหกต้องไปทูลต่อเสด็จพ่อ จากนั้นติดตามเสด็จพ่อไปต้อนรับน้องหกด้วยความดีใจ…
“ในเมื่อมีองค์รัชทายาทเสด็จไปดูทางประตูเมืองแล้ว พวกเราไปทูลข่าวดีนี้ต่อเสด็จพ่อกันดีกว่า”
องค์ชายสองพูดอย่างสุขุม ก่อนจะหันม้านำเหล่าขันทีกลับเข้าเมืองหลวง
องค์ชายสี่นับนิ้ว เอาเถิด เขายังคงนิสัยเดิม หันม้าตามองค์ชายสองกลับไปทันที
องค์รัชทายาทเดินทางมาถึงประตูเมือง เขาเห็นเหล่าทหารเกราะดำยืนสงบอยู่แต่ไกล
บนถนนถูกเปิดทางโดยเหล่าทหาร พวกเขากีดขวางเหล่าราษฎรไว้ระยะไกล เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเดินทางมา เหล่าขุนนางบุ๋นและบู๊ต่างเดินขึ้นหน้าต้อนรับ แต่ทหารเกราะดำกลุ่มนั้นไม่ได้หลีกทาง
องค์รัชทายาทยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความเก้อ แต่ว่าสีหน้าของเขาอ่อนโยน ตะโกนเรียกอาอวี๋เสียงดัง
เหล่าทหารไม่ได้หลีกทาง หากแต่ม่านรถถูกเปิดขึ้น เด็กคนหนึ่งมองมา กระโดดลงมาด้วยสีหน้าดีใจ เขาเดินผ่านเหล่าทหาร ถวายบังคมอย่างตั้งใจ “ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
ฝูชิงร้องเรียกชื่อของเด็กคนนี้ออกมา “อาหนิว พวกเจ้ามาจริงด้วย”
อาหนิวยิ้มตอบรับ สูดจมูก “พวกกระหม่อมเดินทางมานานมาก เป็นครั้งแรกที่เดินทางไกลเพียงนี้”
สีหน้าขององค์รัชทายาทดูเป็นกังวล “น้องหกเขา…”
“องค์ชายหกบรรทมลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาหนิวกดเสียงต่ำ “เนื่องจากสารจากฝ่าบาทมาอย่างกะทันหัน หยวนไต้ฟูเก็บกวาดอยู่ด้านหลัง กระหม่อมเดินทางออกมาพร้อมองค์ชายหกก่อน แต่ว่าหยวนไต้ฟูให้ยา ทำให้องค์ชายหกแทบจะนอนมาตลอดทาง หยวนไต้ฟูบอกว่าองค์ชายหกนอนหลับย่อมไม่มีปัญหา”
เด็กน้อยพูดจาฉะฉาน องค์รัชทายาทฟังเข้าใจแล้ว ฮ่องเต้ต้องการรับองค์ชายหกมาอย่างกะทันหัน ปิดบังทุกคน องค์ชายหกร่างกายอ่อนแอมาก ต้องนอนหลับถึงจะประคองจนเดินทางมาถึง
“เช่นนั้น รีบเข้าพระราชวังเถิด” องค์รัชทายาทไม่พูดสิ่งใดมาก “ฝ่าบาททรงรู้ว่าพวกเจ้าเดินทางมาถึงแล้ว เป็นกังวลอย่างมาก”
เด็กน้อยพูดอย่างดีใจ “องค์รัชทายาทเสด็จมาเป็นการดีมาก องค์ชายหกบรรทมลง กระหม่อมก็ไม่รู้ควรทำอย่างไร”
องค์รัชทายาทมองไปทางรถม้า “ข้าไม่เข้าไปดูน้องหกแล้ว จะได้ไม่ปลุกเขา อาหนิวเจ้าขึ้นรถ พวกเรากลับพระราชวัง”
อาหนิวคำนับอย่างดีใจ หันหลังวิ่งกลับไป
องค์รัชทายาทขึ้นม้าอีกครั้ง ให้เหล่าขุนนางสลายตัวไป พร้อมทั้งนำทหารและม้าขบวนหนึ่งเดินทางไปยังพระราชวังอย่างเชื่องช้า
“ไม่ได้ยินข่าวแม้แต่น้อยหรือ” เขาถามเสียงเบาขึ้นเมื่ออยู่บนหลังม้า
ฝูชิงตามติดอยู่ด้านข้าง พูดเสียงเบา “ไม่ได้ยินแม้แต่น้อย” สีหน้าฉงน “เรื่องการรับองค์ชายหกไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง”
ใช่ องค์ชายหกคนเดียว คนมาถึงทุกคนถึงได้รู้ หมายความว่าอย่างไร องค์รัชทายาทขมวดคิ้วเล็กน้อย
“บางที องค์ชายหกอาจไม่ไหวแล้ว?” ฝูชิงคาดเดาเสียงเบา หันกลับไปเหลือบมอง เพื่อเป็นการไม่รบกวนองค์ชายหกนอนหลับ ขบวนเดินไปได้อย่างเชื่องช้า องค์รัชทายาทยังให้เหล่าองครักษ์ที่ติดตามสลายราษฎรระหว่างทาง ไม่อนุญาตให้ก่อเสียงดัง
ขบวนเดินไปด้านหน้าอย่างสงบ ไม่เหมือนความยินดีที่ได้รวมตัวกันของญาติมิตร แต่เหมือนเป็นการส่งศพ ฝูชิงคิดในใจ เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เขารีบกระแอมไอหยุดเอาไว้
องค์รัชทายาทไม่ได้เศร้าโศกมากนัก อันที่จริงองค์ชายหกในใจของทุกคนก็ไม่แตกต่างจากตายไปแล้วมากนัก เขายังคงขมวดคิ้ว “แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรับมา”
หากตายไปก็ทำพิธีฝังอย่างยิ่งใหญ่ก็พอ เหตุใดจึงต้องลำบากในการเดินทางก่อนตาย
ฝูชิงพูดเสียงเบา “บางทีฝ่าบาทอาจรู้สึกว่าทุกคนล้วนอยู่ในเมืองหลวงใหม่ องค์ชายหกอยู่ในเมืองซีจิงคนเดียวโดดเดี่ยว ตายแล้วฝังไว้ที่นี่ดีกว่า ถือว่าอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา”
คงเป็นเช่นนั้น เสด็จพ่อเป็นคนแบบนี้ เขาชอบการทำให้ตนเองซาบซึ้งที่สุด องค์รัชทายาทหัวเราะเยาะภายในใจ
โจวเสวียนยืนรออยู่ด้านนอกพระราชวัง
“องค์รัชทายาท” เขาถวายบังคมต่อองค์รัชทายาท “ฝ่าบาทให้องค์ชายหกนั่งรถเข้าไป”
ภายในรถม้าเงียบสนิท ดูท่าทางองค์ชายหกไม่คิดจะตื่นขึ้นมา องค์รัชทายาทลงจากม้า ส่งรถม้าเข้าพระราชวังพร้อมกับโจวเสวียน
ด้านหน้าตำหนักใหญ่ ฮ่องเต้ถูกคนกลุ่มหนึ่งรายล้อมเดินออกมา
“เสด็จพ่อ พระองค์ทรงช้าลงหน่อย” องค์ชายสองพยุงอย่างระวัง
องค์ชายสามยืนอยู่ด้านข้าง ไม่ได้มีท่าทีประจบมากนัก องค์ชายสี่มองซ้ายมองขวา ราวกับถึงคราวที่เขาต้องกตัญญูแล้ว เขาพยุงอีกด้านอย่างระมัดระวัง “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงช้าลงหน่อย”
ฮ่องเต้ถลึงตามองพวกเขาทั้งสอง “ข้ายังไม่แก่จนเดินไม่ไหว”
องค์ชายสี่ตกใจจนแทบจะปล่อยมือ แต่องค์ชายสองพูดด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมแค่กังวลว่าเสด็จพ่อพระองค์ทรงตื่นเต้นมากเกินไป ไม่ได้พบน้องหกมานานแล้ว”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขาอีก อีกทั้งไม่ได้ขับไล่พวกเขา เขาวางมือลงบนแขนขององค์ชายสอง
องค์ชายสองดีใจอย่างมาก ยืดแผ่นหลังตรง
องค์ชายสี่เห็นที จึงแอบยื่นมือมาพยุงฮ่องเต้ไว้อย่างหลวมๆ
ฮ่องเต้ไม่สนใจเขา เพียงแค่มองไปยังองค์รัชทายาทและเหล่าขันทีลากรถที่เดินมายังด้านหน้าตำหนัก
องค์รัชทายาทยังไม่ทันพูด องค์ชายสองก็ชี้ไปที่รถด้วยความตื่นเต้นเสียก่อน “เสด็จพ่อ ราชรถของน้องหก”
องค์รัชทายาทมององค์ชายทั้งสามที่ยืนอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ ภายในใจรู้สึกประหลาดปนไม่พอใจ ตนเองไปรับน้องหก พวกเขากลับมาล้อมรอบประจบเสด็จพ่อ
เขาพูด “น้องหกร่างกายไม่แข็งแรง ไต้ฟูใช้ยา ดังนั้นจึงหลับมาตลอด”
ตอนเข้าพระราชวัง อาหนิวก็ลงมาจากรถแล้ว เขาถวายบังคมฮ่องเต้อยู่ข้างตัวรถ
ฮ่องเต้ส่งเสียงตอบรับ อดเบ้ปากไม่ได้ คำหลอกลวงที่สมบูรณ์แบบ เขาโบกมืออย่างไม่อยากเสแสร้ง “จิ้นจง ส่งอาอวี๋ไปที่ตำหนักของข้า”
ขันทีจิ้นจงตอบรับเสียงดัง “ฝ่าบาท เหล่าหมอหลวงเดินทางไปตำหนักบรรทมแล้ว กระหม่อมจะส่งองค์ชายหกไปทันที” เขายกแขนเสื้อซับน้ำตา พลางรีบเดินลงจากบันได ด้านหลังตามติดมาด้วยขันทีและองครักษ์ พวกเขารับราชรถพร้อมมุ่งหน้าไปสู่ตำหนักบรรทม
องค์รัชทายาทและคนอื่นยืนอยู่ที่เดิม พวกเขายังคงไม่ทันตั้งตัว
“เสด็จพ่อ พวกกระหม่อม…” องค์ชายสองอดพูดขึ้นไม่ได้
ฮ่องเต้ผลักมือของเขาออก “เอาเถิด แยกย้ายกันไปเถิด เวลานี้เขาไม่อาจพบผู้ใดได้ รอดีขึ้นค่อยว่ากันเถิด”
พูดพลางเดินเข้าตำหนักไป
องค์ชายสองกระแอมไอเสียงเบา “เสด็จพ่อพูดถูก เวลานี้น้องหกไม่สะดวกพบผู้คน พวกเรารอก่อนค่อยมาใหม่เถิด”
องค์ชายสามตอบรับพร้อมหัวเราะอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหันหลังจากไป
องค์รัชทายาทไม่พูด อีกทั้งไม่สนใจพวกเขา สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของฮ่องเต้ เสด็จพ่อไม่เรียกเขาเข้าไปถามแม้แต่น้อย
เสด็จพ่อไม่มีความดีใจหรือตื่นเต้นแม่แต่น้อย แปลกเสียจริง
“องค์รัชทายาท” ระหว่างทางกลับตำหนักบูรพา ฝูชิงพูดเสียงเบา “ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดปรานองค์ชายหกเป็นเรื่องที่ดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเพียงองค์รัชทายาทคนเดียว ก่อนหน้านี้เหล่าท่านอ๋องบีบเค้น จิตใจของฮ่องเต้ตึงเครียด ไม่มีจิตใจหลงเหลือให้ผู้อื่น เวลานี้แผ่นดินสงบสุข ความโปรดปรานของฮ่องเต้จึงเริ่มแบ่งไปให้องค์ชายอื่น อาทิองค์ชายสาม เวลานี้เริ่มไปที่องค์ชายสอง
สำหรับองค์รัชทายาทแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีแต่อย่างใด
เวลานี้มีองค์ชายที่ร่างกายอ่อนแอมาอีกคน ฮ่องเต้ไม่ทรงโปรด เขาย่อมไม่เหมือนองค์ชายสาม มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ
องค์รัชทายาทพูด “แต่เสด็จพ่อไม่เคยมีสัมพันธ์กับน้องหก เหตุใดเสด็จพ่อจึงไม่ทรงโปรดเขา เขาทำให้เสด็จพ่อขุ่นเคืองหรือ” เขามองไปยังฝูชิง “หากทำให้เสด็จพ่อขุ่นเคือง ย่อมต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน มีบางสิ่งเกิดขึ้น”
ฝูชิงตกใจ หรือว่าองค์ชายหกจะไม่ได้อยู่ห่างจากผู้คนเหมือนที่พวกเขาคิด หากแต่มีปฏิสัมพันธ์กับฮ่องเต้อย่างลับๆ ?
องค์รัชทายาทหันกลับไปมองตำหนักบรรทมภายในพระราชวัง “จับตาทางนั้น”
ฝูชิงตอบรับ