สืออีเหนียงใจอ่อน ถามขึ้นว่า “แล้วจะกลับมาเมื่อใด”
ชีเหนียงเห็นว่าน้ำเสียงของสืออีเหนียงอ่อนลง ก็ดีใจแล้วรีบพูดว่า “พวกเราจะกลับมาก่อนยามจื่อแน่นอน”
“ข้าช่วยดูซินเจี่ยเอ๋อร์ให้น้องสะใภ้ห้าก็ได้”
ชีเหนียงพยักหน้าซ้ำๆ “มีป้าสือ แล้วยังมีแม่นม มีเจ้าอยู่ที่นั่น ตานหยางจะได้สบายใจ”
สืออีเหนียงพยักหน้า
ชีเหนียงยิ้มแล้วจับมือของนาง “ข้านำจะขนมซูปิ่งกลับมาให้เจ้า!”
“ขอแค่ท่านอย่าก่อเรื่องก็พอแล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าไม่หวังที่จะได้ทานขนมซูปิ่งหรอก”
“ข้าเป็นคนชอบก่อเรื่องเช่นนั้นหรือ” ชีเหนียงไม่พอใจ
สืออีเหนียงหัวเราะ
เมื่อสวีลิ่งอี๋รู้เช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “ลิ่งควนและจูอานผิงก็ไปด้วยหรือ”
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบ “ไม่เช่นนั้นข้าอก็คงไม่กล้าตอบตกลง”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไรอีก
ไท่ฮูหยินได้ยินว่าพวกนางสองคนจะไปร่วมงานเทศกาลสารทจีนแล้วยังจะไปลอยโคมไฟ ก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ทันทีที่ได้ยินว่าสืออีเหนียงรับปากว่าจะช่วยดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์ นางถึงได้อนุญาต
ใครจะรู้ว่าผ่านไปสองวัน สวีซื่อจุนกลับพูดว่า “อาจารย์บอกว่า เราก็ต้องลอยโคมไฟในวันสารทจีนขอรับ”
ไท่ฮูหยินตกใจ “ไม่ได้ ครึ่งเดือนเจ็ด เปิดประตูผี พลังชั่วร้ายรุนแรงที่สุด”
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “อาจารย์บอกว่า ให้ลอยในทะเลสาบปี้อีที่สวนหลังจวนขอรับ ฟ้ามืดแล้วก็กลับเรือน ให้เราทำโคมไฟเองด้วยขอรับ”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
วันต่อมาสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยต่างก็พากันทุ่มเทให้กับการทำโคมไฟ ทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เห็นเช่นนี้ก็คันไม้คันมือ บอกว่าจะช่วยพวกเขาสองพี่น้องด้วย แต่ตัวเองกลับทำโคมไฟดอกบัวให้สืออีเหนียง “ท่านแม่ สวยหรือไม่เจ้าคะ”
ฐานทำจากไม้ ทาสีแดง กลีบดอกบัวทำด้วยผ้าไหมโปร่งบาง แล้วยังมีลูกแก้วเล็กๆ สองสามเม็ดอยู่ข้างบน หากจุดเทียน ลูกแก้วพวกนั้นก็จะส่งแสงระยิบระยับ ราวกับน้ำค้างยามเช้า ต้องสวยงามมากอย่างแน่นอน แต่แค่ไม่รู้ว่าจะลอยได้หรือไม่
“สวยมาก!” สืออีเหนียงยิ้มแล้ววางมันไว้บนขอบหน้าต่างห้องปีกทางทิศตะวันตก แล้วก็บอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ทำขึ้นมาอีกอันหนึ่ง “…ข้าอยากส่งไปให้ไท่ฮูหยินสกุลกานด้วย”
นี่คือการยอมรับที่ดีที่สุด
เจินเจี่ยเอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างมาก นางรีบทำอีกสองอันอย่างมีความสุข สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ ก็นำโคมไฟกระต่ายมาให้สืออีเหนียง ส่วนสวีซื่อเจี้ยก็นำโคมไฟแปดเหลี่ยมมาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วรับมันมา จากนั้นก็ส่งไปให้ไท่ฮูหยินสกุลกาน
ไท่ฮูหยินสกุลกานนำโคมไฟดอกบัวของเจินเจี่ยเอ๋อร์วางไว้บนโต๊ะเครื่องหอมในห้องโถง นำโคมไฟกระต่ายของสวีซื่อจุนห้อยไว้ที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก นำโคมไฟแปดเหลี่ยมของสวีซื่อเจี้ยวางไว้ในห้องข้างใน ผ่านไปสองสามวันก็บอกให้ป้ารับใช้นำขนมเม็ดบัว ขนมเปี๊ยะดอกชบาและขนมเปี๊ยะดอกกุหลาบที่นางทำเองกับมือมาขอบคุณพวกเขาสามคน
พวกเขาทั้งสามคนยิ่งรื่นเริงมากขึ้นกว่าเดิม ลากสาวใช้และท่านป้าในจวนมาทำโคมไฟด้วยกัน แม้แต่ชีเหนียงและฮูหยินห้าที่ได้ยินเช่นนี้พวกนางก็มาทำด้วย สวีซื่อจุนกลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ยื่นอกผายไหล่ผึ่ง ประเดี๋ยวก็สั่งให้ทำกระดาษหลากสี ประเดี๋ยวก็สั่งให้ใช้กระดาษทรายขัดโครงโคมไฟ ยุ่งวุ่นวายอยู่ทุกวัน แต่กลับดูมีพลังมากกว่าปกติ
ในจวนคึกคักเป็นอย่างมาก คึกคักกว่าตอนขึ้นปีใหม่เสียอีก
ไท่ฮูหยินพูดว่า “หากเช่นนั้น ถึงตอนนั้นเราก็ลอยโคมไฟที่แม่น้ำปี้อีกันเถิด ดูว่าโคมไฟของใครสวยที่สุด ข้าจะให้เงินรางวัลยี่สิบตำลึงเงิน”
ชีเหนียงและฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็หดไหล่ กลัวว่าไท่ฮูหยินจะไม่ให้พวกนางออกไป
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็รู้สึกขบขัน พูดคล้อยตามไท่ฮูหยิน “เช่นนั้นข้าออกสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
ชีเหนียงและฮูหยินห้าต่างก็มองหน้ากัน พวกนางรีบยิ้มแล้วพูดว่า “เราไม่ได้อยู่ที่จวน แต่ก็จะทำลายความสนุกของพวกเจ้าไม่ได้ ข้าก็ออกสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้ารีบพูดต่อ “ข้าก็ออกสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินจะมองพวกนางไม่ออกได้เช่นไร เทศกาลนั้นต้องมีความสนุกสนาน จึงหัวเราะแล้วพูดกับสืออีเหนียง “อย่าลืมเก็บเงินของพวกนางมาด้วยเล่า”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” ชีเหนียงและฮูหยินห้ารีบบอกให้คนไปเปิดกล่องนำเงินมา นำมาให้สืออีเหนียงต่อหน้าไท่ฮูหยิน
ทั้งหมดรวมเป็นห้าสิบตำลึงเงิน
สืออีเหนียงเสนอความคิด “ไม่สู้เลือกผู้ชนะอันดับหนึ่ง อันดับสองและอันดับสาม แล้วก็เลือกคนที่ผ่านเข้ารอบดีกว่าเจ้าค่ะ”
“เป็นความคิดที่ดี!” ไท่ฮูหยินเห็นด้วย “ทุกคนจะได้มีส่วนร่วม”
สวีซื่อจุนรู้เช่นนี้ก็พาสวีซื่อเจี้ยมาหาไท่ฮูหยิน “พวกเราก็มีส่วนร่วมหรือขอรับ”
“เจ้าเป็นนาย จะมาแย่งเงินบ่าวรับใช้ได้อย่างไร” ไท่ฮูหยินยิ้ม “แต่ว่า หากโคมไฟที่พวกเจ้าทำสวยกว่าของคนที่ได้อันดับหนึ่ง อันดับสองหรืออันดับสาม ข้าจะให้รางวัลพวกเจ้าเท่ากับพวกนาง”
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ รีบบอกสวีซื่อเจี้ย “ข้าบอกให้เจ้าทำเช่นไรเจ้าก็ทำเช่นนั้น หากได้รางวัล ข้ากับเจ้าแบ่งกันคนละครึ่ง”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “พี่สี่บอกให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำขอรับ!”
สวีซื่อจุนลากสวีซื่อเจี้ยออกไปด้วยความพึงพอใจ เรียกบ่าวรับใช้ของตัวเองและสวีซื่อเจี้ยมา ไม่อนุญาติให้ท่านป้าและสาวใช้ติดตาม ปิดประตูทำโคมไฟ แล้วยังกลัวว่าสืออีเหนียงจะแอบมาสืบว่าพวกเขาทำแบบไหน ไม่ให้สวีซื่อเจี้ยไปบอกสืออีเหนียง ทำให้สวีซื่อเจี้ยใช้มือเล็กๆ ปิดปากของตัวเองเอาไว้เมื่อเจอกับสืออีเหนียง “ท่านแม่ พี่สี่บอกว่าไม่ให้ข้าบอกท่าน แต่ว่าไม่ใช่ไม่ให้บอกไปตลอดขอรับ รอให้ผ่านเทศกาลวันสารทจีนไปแล้วข้าค่อยบอกท่านนะขอรับ”
สืออีเหนียงหัวเราะ นางกอดแล้วหอมแก้มเขาซ้ำๆ “ท่านแม่รอให้เจ้าและพี่สี่ได้รางวัลอันดับหนึ่งอยู่นะ!”
สวีซื่อเจี้ยหัวเราะ “ข้าจะนำเงินมาให้ท่านแม่หมดเลยขอรับ”
“ได้เลย!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจี้ยเกอ เอาไว้ให้เจี้ยเกอแต่งภรรยาในอนาคต”
สวีซื่อเจี้ยจึงไปหาสวีซื่อจุนอย่างมีความสุข
สืออีเหนียงจึงไม่เห็นพวกเขาสองคนตอนที่ทำโคมไฟ
เมื่อเทศกาลวันสารทจีนมาถึง นางก็อยู่กับซินเจี่ยเอ๋อร์ตลอดเวลา
มีคำพูดที่ว่า เลือดลมของเด็กนั้นอ่อนแอ มักจะถูกวิญญาณชั่วร้ายมารบกวน ดังนั้นเมื่อประตูผีเปิดออก ไม่เพียงแต่ห้ามออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน แล้วยังต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าไม่มีหลักฐานอะไร แต่สืออีเหนียงนั้นได้รับการไหว้วานมาจากคนอื่น นางจึงอยู่ในเรือนของฮูหยินห้าตลอด อยู่เป็นเพื่อนซินเจี่ยเอ๋อร์กับป้าสือ
โชคดีที่ฟ้าพึ่งจะมืดได้ไม่นานหู่พั่วก็มารายงานว่า “คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าทำโคมไฟเสือเจ้าค่ะ ทุกคนล้วนแต่บอกว่าคุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน ไท่ฮูหยินจะให้เงินยี่สิบตำลึงเงินเป็นรางวัลเจ้าค่ะ”
คนในจวนประเมินเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้หู่พั่วกลับไปก่อน “บอกให้คุณชายน้อยห้ารีบนอน อย่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เห็นฮูหยินห้า เมื่อถึงเวลานอน ซินเจี่ยเอ๋อร์ก็เอะอะโวยวาย แม่นมเกลี้ยกล่อมไม่ไหว สืออีเหนียงลองอุ้มนางเดินไปรอบห้อง นางถึงได้สงบลง แต่เมื่อนำนางไปวางลงบนเตียง นางก็ตื่นขึ้นมาร้องไห้อีกครั้ง สืออีเหนียงจึงต้องอุ้มนางอยู่ตลอดเวลา
ป้าสือเห็นเช่นนี้ก็ไม่สบายใจ อยากจะเปลี่ยนมือช่วยอุ้ม แต่พึ่งจะรับซินเจี่ยเอ๋อร์มานางก็ตื่นขึ้นอีกแล้ว
“ข้าอุ้มเองดีกว่า!” สืออีเหนียงนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซินเจี่ยเอ๋อร์ถึงต้องให้แต่นางอุ้ม
ป้าสือเองก็ไม่เข้าใจ
จะว่าไปแล้ว สืออีเหนียงไม่ได้มีโอกาสอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์บ่อยนัก
“ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันคงจะไม่ได้แต่งเข้ามาอยู่ในสกุลเดียวกันเจ้าค่ะ” ป้าสือกลัวว่าสืออีเหนียงจะไม่สบายใจ จึงพูดปลอบสืออีเหนียง “ซินเจี่ยเอ๋อร์ของเราเลยอยากให้ท่านป้าของนางอุ้มกระมัง”
ประเดี๋ยวยามจื่อพวกเขาก็จะกลับมาแล้ว
สืออีเหนียงไม่เคยเลี้ยงลูกมาก่อน แขนนางหนักราวกับกระป๋องที่เต็มไปด้วยน้ำ แต่นางก็ยังอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้
หลังจากยามจื่อ ฮูหยินห้ากับชีเหนียงก็ยังไม่กลับมา
ป้าสือพลันรู้สึกไม่สบายใจ
แต่สืออีเหนียงกลับเข้าใจพวกนางดี
ตอนที่กำลังเล่นสนุกอย่างเพลิดเพลิน ใครจะสนใจเวลาเล่า
“ไม่เป็นอะไร กลับมาสายหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ” นางเอ่ยปลอบป้าสือ
มีสาวใช้รีบวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ท่านโหวมาเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋มาที่นี่?
เขามาทำอะไร
ป้าสือรีบออกไปเปิดม่าน
“เหตุใดน้องห้ายังไม่กลับมาอีก!”
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจป้าสือและคนอื่นๆ เขาเดินเข้ามาลูบผมสีดำขลับของซินเจี่ยเอ๋อร์
ซินเจี่ยเอ๋อร์ตื่นขึ้นทันที
นางหันไปจ้องมองสวีลิ่งอี๋ ไม่ทันรอให้สืออีเหนียงพูดโอ๋ ก็ร้องไห้งอแงทันที
ดูเหมือนว่ากำลังคิดถึงมารดาของตัวเอง!
สืออีเหนียงไม่สนใจที่จะคุยกับสวีลิ่งอี๋ นางตบหลังเกลี้ยกล่อมซินเจี่ยเอ๋อร์เบาๆ
ซินเจี่ยเอ๋อร์ผล็อยหลับไปบนไหล่นางอีกครั้ง
สืออีเหนียงอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ไปนั่งบนเตียงเตาแล้วพูดเบาๆ “อาจจะช้าหน่อยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว “แม่นมของนางเล่า!” เขาพูดเสียงเบา
“ไม่รู้ว่าทำไม นางให้แต่ข้าอุ้มเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงบอกให้เขาไม่ต้องพูดอีก
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว
“ท่านโหวกลับไปนอนก่อนเถิด!” เขาอยู่ที่นี่ทุกคนล้วนแต่อึดอัด “ประเดี๋ยวข้ากลับไปเจ้าค่ะ!”
ท่านโหวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าอ่านหนังสือในห้องหนังสือน้องห้าสักประเดี๋ยวดีกว่า ดึกๆ ดื่นๆ อันตราย”
ถึงแม้ว่าโคมไฟใต้ทางเดินจะจุดตลอดทั้งคืน แต่ว่าวันนี้เป็นเทศกาลวันสารทจีน สืออีเหนียงเองก็รู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านโหวแล้ว”
ป้าสือรีบรับใช้สวีลิ่งอี๋ไปที่ห้องหนังสือของสวีลิ่งควน จากนั้นก็บอกให้สาวใช้คอยรับใช้เขาอยู่ข้างๆ
เมื่อถึงยามโฉ่ว พวกเขาทั้งสี่คนก็กลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
แต่ทันทีที่เห็นสวีลิ่งอี๋ รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็พลันแข็งทื่อทันที
สวีลิ่งควนและจูอานผิงพูดขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งพูดว่า “บนถนนมีแต่ผู้คนขอรับ” อีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ได้สังเกตเวลาขอรับ” พวกเขาพูดด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด ฮูหยินห้าและชีเหนียงต่างก็หลบอยู่หลังสามีของตัวเอง
ถึงอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจูอานผิงสองสามีภรรยาอยู่ที่นี่
สวีลิ่งอี๋จึงพูดอะไรมากไม่ได้
เขาจึงพูดเบาๆ ว่า “กลับมาแล้วก็ดี” จากนั้นก็พูดกับฮูหยินห้า “เจ้ารีบไปดูซินเจี่ยเอ๋อร์เถิด นางนอนไม่ค่อยหลับ”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็รีบรุดเข้าไปในห้อง เห็นสืออีเหนียงอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ สายตาของนางมีความไม่สบายใจ พูดขึ้นว่า “รบกวนพี่สะใภ้สี่แล้วเจ้าค่ะ” พร้อมกับรับซินเจี่ยเอ๋อร์มา
ซินเจี่ยเอ๋อร์ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นมารดาของตัวเอง นางก็เบะปากแล้วสะอื้นไห้เบาๆ จากนั้นก็หลับไปในอ้อมแขนของฮูหยินห้า
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดก็ส่งลูกให้ฮูหยินห้าอย่างปลอดภัย
นางบีบแขนที่ปวดล้าของตัวเอง กำลังจะพูดกับฮูหยินห้า ก็เห็นชีเหนียงพึมพำขึ้นเบาๆ อย่างไม่พอใจ “…ข้าไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย…เรื่องครั้งก่อนข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย เขามีสิทธิ์อะไรมาทำหน้าเคร่งขรึมใส่ข้า…” จากนั้นก็ถูกจูอานผิงดึงเข้ามา ข้างหลังก็คือสวีลิ่งควนที่เหงื่อท่วมเต็มหัว
สืออีเหนียงและฮูหยินห้ามองหน้ากัน
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” สวีลิ่งควนรีบอธิบายให้พี่สะใภ้และภรรยาของตัวเองที่กำลังตกใจ “เข้าใจผิดเล็กน้อย เข้าใจผิดเล็กน้อย”
สืออีเหนียงหันไปมองจูอานผิง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขายิ้มแล้วพูดคล้อยตาม “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ดึกมากแล้ว ทุกคนก็รีบพักผ่อนเถิด!”
สวีลิ่งควนพยักหน้าซ้ำๆ “พี่สะใภ้สี่เดินทางปลอดภัยขอรับ!”
สืออีเหนียงเดินออกมา ก็เห็นสวีลิ่งอี๋ยืนจับมือไขว้หลังอยู่ใต้ต้นไม้ในความมืด
แสงจันทร์ส่องลงบนใบหน้าของเขา ครึ่งหนึ่งอยู่ในแสงสว่าง อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในความมืด ทำให้ใบหน้าของเขาดูเยือกเย็นขึ้นไม่น้อย