ถึงแม้จะพูดว่าแยกจวนเหล่าองค์ชาย แต่นอกจากองค์ชายหกแล้ว ผู้อื่นไม่รีบย้ายออกไปทันที เลือกจวนเสร็จย่อมต้องตกแต่ง อุปกรณ์ กำลังคนล้วนเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
องค์ชายหกง่ายดายที่สุด สิ่งที่ต้องการคือความสงบ คนยิ่งน้อยยิ่งดี จวนไม่ต้องสมบูรณ์แบบมากนัก เพียงแค่มีไต้ฟูมียามีห้องนอนก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นหลังจากพบเหล่าคนในตระกูลแล้ว องค์ชายหกก็ย้ายเข้าจวนใหม่ในคืนนั้นทันที ส่วนองค์ชายอื่นต่างเลือกจวนกันอย่างคึกคักต่อ
ข่าวการแยกจวนของเหล่าองค์ชายถูกแพร่กระจายในอีกไม่กี่วันต่อมา นอกจากแยกจวนแล้วยังต้องแต่งตั้งฐานันดรศักดิ์เป็นท่านอ๋อง ฮ่องเต้ให้เหล่าขุนนางหารือกันเรื่องฐานันดร ทั้งเมืองหลวงต่างคึกคักขึ้นมา เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเลือกพระชายาของเหล่าท่านอ๋องใหม่ด้วย
เวลานี้องค์ชายทั้งหก นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว องค์ชายท่านอื่นล้วนยังไม่อภิเษกสมรส
ทันใดนั้นมีโอกาสได้เป็นพระชายาห้าคน ตระกูลชนชั้นสูงทั้งต้าเซี่ยล้วนตื่นเต้นอย่างมาก
ถึงแม้อาศัยอยู่ในเมืองไม่คึกคักเท่าโรงน้ำชาเชิงเขา ประตูใหญ่ของจวนองค์หญิงก็ปิดสนิททั้งวันทั้งคืน แต่อาเถียนกำชับพ่อบ้านที่ดูแลเรื่องจับจ่าย ให้เขาสืบข่าวในตลาด ดังนั้นพวกเขาจึงรับรู้การเคลื่อนไหวในเมืองหลวงได้อย่างทันเวลา
เสียงยิงธนูในสนามในจวนตระกูลเฉินหยุดลง เฉินตันจูที่สวมชุดกระโปรงรัดอก มัดแขนเสื้อถือคันธนูหันกลับมา
“ไม่ใช่” ปลายจมูกของหญิงสาวมีเหงื่อ “องค์ชายห้าคน แต่องค์ชายห้าถูกกักบริเวณ องค์ชายหกต้องพักรักษา จะมีชีวิตอยู่รอดหรือไม่ยังไม่รู้ เขาจะเลือกพระชายาได้หรือ?”
อาเถียนพูด “ไม่เป็นอันใด ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพระชายา องค์ชายห้าจะมีความผิดเพียงใด ก็ยังเป็นโอรสของฮ่องเต้ ฮ่องเต้โกรธเดือนสองเดือน ปีสองปี จะโกรธไปได้ตลอดหรือ ส่วนองค์ชายหก ถึงแม้องค์ชายหกจะตาย พระชายาก็ยังคงเป็นพระชายา เป็นสะใภ้ของฮ่องเต้ ตระกูลของนางยังคงเป็นราชวงศ์…”
ยอมสละบุตรสาวคนเดียวให้อยู่เป็นหม้าย แลกกับตระกูลกลายเป็นราชวงศ์ อย่างไรก็คุ้มค่า
เฉินตันจูใช่ว่าจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ นางครุ่นคิด ยิ้มออกมา ยกคันธนูพร้อมธนูอีกเล่มขึ้น ก่อนจะหยุดลงถาม “องค์ชายหกเป็นอย่างไร”
อาเถียนพูด “ไม่เป็นอย่างไร เหมือนตอนที่อยู่ซีจิง”
องค์ชายหกย้ายออกจากพระราชวังในวันที่สอง จวนใหม่แห่งหนึ่งในเมืองใหม่มีทหารเฝ้าดูมากมาย ดึงดูดความสนใจของราษฎร เมื่อรู้ว่าเป็นจวนขององค์ชายหก ราษฎรก็หมดความสนใจ
ตอนที่องค์ชายหกอยู่ในเมืองซีจิง เขาพักอยู่ในจวนด้านนอก โรคขององค์ชายหกต้องการความสงบ เมื่อมาเมืองหลวงใหม่ย่อมเป็นเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่เฉินตันจูสนใจแตกต่างกันไป นางถือคันธนูมองอาเถียน “ตอนพักรักษาในซีจิงก็มีทหารเฝ้าดูหรือ”
เรื่องนี้อาเถียนไม่รู้ “แต่ก็ไม่มีอันใด องค์ชายหกพักรักษาย่อมต้องการคนคุ้มกัน”
เฉินตันจูพยักหน้า “เจ้าพูดถูก” นางมองไปยังเป้าหญ้าฟาง เสียงธนูพุ่งออกไป ปักลงใจกลางเป้า
อาเถียนปรบมือ “คุณหนูสามารถยิ่งนัก”
เฉินตันจูหมุนคันธนูในมือ วางกลับไปยังชั้นวางด้านข้าง
“คุณหนู เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” อาเถียนเดินขึ้นหน้า ถือถาดที่มีผ้าเช็ดมือและน้ำชาอยู่ด้านบน ถามเจื้อยแจ้ว “ซับเหงื่อ ดื่มชาเสียหน่อยเจ้าค่ะ” ก่อนจะถามอีกครั้ง “เล่นอันใดอีก ขี่ม้า? ชนมุมหรือเจ้าคะ”
เฉินตันจูมือหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อ มือหนึ่งถือชาจิบทีละคำ “ไม่เล่นแล้ว” นางวางแก้วชาและผ้าเช็ดมือลง “ไปนอนเถิด”
อาเถียนถือถาดเดินตาม “คุณหนู ท่านตื่นขึ้นมาไม่นาน พวกเราเล่นอย่างอื่นอีกเถิดเจ้าค่ะ หรือไม่ไปทำยา คุณหนูเวยเวยบอกว่ามีคนจำนวนมากต้องการซื้อยาหนึ่งตำลึงทองของพวกเรา”
เฉินตันจูโบกมืออย่างเกียจคร้าน “อากาศร้อนเพียงนี้ ข้าไม่ไปทำยา มันเหนื่อยเกินไป ข้าไม่ขาดเงินหนึ่งตำลึงทองนั้น”
อาเถียนมองเฉินตันจูที่เดินไปด้านหน้าอย่างหมดหนทาง ไม่รู้ควรทำอย่างไร คุณหนูนับวันยิ่งเกียจคร้าน แต่นางรู้ว่าคุณหนูไม่ได้เหนื่อย หากแต่หมดความสนใจ ไร้ชีวิตชีวา เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ คนจะไร้ประโยชน์
แต่ควรทำอย่างไร ยังมีอันใดทำให้คุณหนูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้อีก
“คุณหนู” อาเถียนเดินตามขึ้นไป เลือกเรื่องพูดไปเรื่อย ภูเขาดอกท้อ หญิงชราขายชา เขียนจดหมายให้จางเหยา ลองชิมอาหารมังสวิรัติที่วัดถิงอวิ๋น...
เฉินตันจูหยุดลง “วัดถิงอวิ๋น?” ก่อนจะหัวเราะร่า “อาหารมังสวิรัติในวัดถิงอวิ๋น ผู้ใดคิดไม่ตกไปกินกัน”
มีความสนใจแล้ว อาเถียนรีบพูด “ไม่ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู ท่านไม่ไปมานานแล้ว เวลานี้อาหารมังสวิรัติในวัดถิงอวิ๋นขึ้นชื่ออย่างมาก อร่อยมาก มีคนจำนวนมากอยากกิน”
เฉินตันจูทำเสียงสงสัย เหตุใดอาจารย์ฮุ้ยจื้อจึงฉลาดขึ้นมาแล้ว อีกอย่าง วัดถิงอวิ๋น...เมื่ออดีตชาติ หลี่เหลียงลอบสังหารองค์ชายหกที่วัดถิงอวิ๋นตามคำสั่งขององค์รัชทายาท อืม ชาตินี้ ไม่มีหลี่เหลียงแล้ว องค์รัชทายาทจะมีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ฮุ้ยจื้อหรือไม่
“ไป” เฉินตันจูรีบหันตัวกลับมาทันที “พวกเราไปดูก่อน”
อาเถียนตอบรับอย่างดีใจ เรียกเยี่ยนเอ๋อกับชุ่ยเอ๋อไปเปลี่ยนชุดให้เฉินตันจู ส่วนตนเองยืนอยู่ในลานเรียกขานหาจู๋หลิน
จู๋หลินกระโดดลงมาจากหลังคาด้วยสีหน้าเฉยเมย “เรื่องเตรียมรถเหตุใดจึงต้องเรียกข้า”
อาเถียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้ให้เจ้าเตรียมรถ หากแต่จะบอกเจ้า คุณหนูยอมออกจากจวนแล้ว”
จู๋หลินเคยบอกกับนางว่า คุณหนูไม่ชอบออกจากจวนเพราะว่าคนมีปัญหา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นกังวล
ดังนั้นจึงบอกเขาเพื่อให้เขาสบายใจ
จู๋หลินพูดเสียงเรียบ “ไปวัดมีสิ่งใดให้ดีใจ หากไปวัดมากเกิน คุณหนูตันจูอยากออกบวชจะทำอย่างไร”
อาเถียนโกรธจนกระทืบเท้า “จู๋หลิน เหตุใดเจ้าจึงเรียนรู้การพูดจาเหลวไหลด้วย!”
เฉินตันจูเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว เดินออกมาได้ยินประโยคนี้ จึงถามอย่างสงสัย “จู๋หลินพูดอันใดหรือ”
อาเถียนฟ้องด้วยความโกรธ “จู๋หลินบอกว่าคุณหนูอยากออกบวช”
เฉินตันจูยิ้ม “ข้าไม่ออกบวชหรอก แต่ว่า…” นางบีบจมูกของอาเถียน “เจ้าก็ไม่แน่”
พูดพลางเดินหัวเราะออกไปด้านนอก
ถึงแม้คุณหนูจะไร้ชีวิตชีวา แต่ดูท่าทางคงจะไม่มีความคิดออกบวช อาเถียนโล่งใจ นางลูบจมูกของตนเอง ส่วนนาง คุณหนูไม่ออกบวช นางย่อมไม่ออกบวช
เฉินตันจูมาถึงวัดถิงอวิ๋น วัดถิงอวิ๋นยังคงน่าเกรงขามเหมือนอย่างเคย ห้องอาหารมังสวิรัติก็ไม่มีกลุ่มคนที่วุ่นวาย
“อาหารมังสวิรัติของพวกเราต้องจองล่วงหน้า”
ได้ยินว่าคุณหนูตันจูมา พระสงฆ์ต่างวิ่งหนี ผลักให้ตงเซิงออกมาต้อนรับ เมื่อได้ยินเฉินตันจูถามถึงเรื่องนี้ เขารีบอธิบายอย่างภูมิใจเล็กน้อย
“อีกทั้งไม่ใช่ผู้ใดก็กินได้ ต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาเท่านั้น”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ที่มีวาสนาอันใดกัน” นางกดเสียงต่ำ “ผู้ที่มีเงินบริจาคมากสุดคือผู้ที่มีวาสนาหรือ”
ตงเซิงใบหน้าแดงก่ำ “คุณหนูตันจูอย่าได้เสียมารยาทต่อหน้าพระพุทธรูป”
เฉินตันจูหัวเราะร่า ตั้งท่าพูด “เรียกองค์หญิง รีบไปนำอาหารมังสวิรัติมาให้ข้า”
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูตันจูไม่ใช่ผู้ที่มีวาสนา แต่เป็นผู้ที่มีเรื่องด้วยไม่ได้ ตงเซิงทำได้เพียงไปบอกต่ออย่างเชื่อฟัง ศิษย์พี่ทั้งสามที่นับวันยิ่งหยิ่งยโสไม่ปฏิเสธ ทั้งสามคนวุ่นวายอยู่สักพัก ก่อนจะจัดเตรียมอาหารมังสวิรัติโต๊ะหนึ่งเรียบร้อย
เฉินตันจูนั่งลงชิมอาหารมังสวิรัติ รสชาติดีกว่าแต่ก่อนมาก อีกทั้งยังเป็นรสชาติที่คุ้นเคยไม่น้อย…
ศิษย์พี่คนหนึ่งพูดอยู่ด้านข้าง “อาหารมังสวิรัตินี้ เจ้าอาวาสเป็นผู้ปรับปรุง อาจารย์บอกว่าได้คำชี้แนะจากพระพุทธรูป”
เฉินตันจูเกือบหลุดหัวเราะในขณะที่กำลังกินเต้าหู้ห่อผัก พระพุทธรูปอันใดกัน นางเป็นคนชี้แนะอาจารย์ฮุ้ยจื้อต่างหาก นางลุกขึ้นเดินไปหาอาจารย์ฮุ้ยจื้อ
ครานี้อาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่ได้ปิดประตูหลบซ่อน เขาเปิดประตูต้อนรับนาง อีกทั้งไม่รอเฉินตันจูพูดถึงเรื่องการบริจาคอาหารมังสวิรัติ เขาก็พูดขึ้นด้วยตนเองว่าบุญครึ่งหนึ่งเป็นของเฉินตันจู
“บุญนี้ คุณหนูตันจูรับกลับจวนก็ดี ถวายต่อหน้าพระก็ดี”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ช่างมีความคิดทางการค้า”
“เหลวไหล” อาจารย์ฮุ้ยจื้อทำหน้าเคร่งขรึม “ข้าแค่มีจิตใจทางธรรม”
อันที่จริงเฉินตันจูไม่สนใจเรื่องนี้ นางมาก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ นางพูด “เรื่องนี้ไม่สำคัญ ถวายไว้ต่อหน้าพระเถิด”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่ได้โล่งอก เขามองนางอย่างระแวง “คุณหนูตันจูต้องการสิ่งใด”
เฉินตันจูครุ่นคิด ถามเสียงเบา “อาจารย์ องค์รัชทายาท…”
ไม่รอนางพูดจบ อาจารย์ฮุ้ยจื้อก้าวถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว กัดฟันพูดเสียงต่ำ “องค์รัชทายาท? คุณหนูตันจู ท่านล้มฮองเฮายังไม่พอ ยังต้องการล้มองค์รัชทายาทอีก?”
เฉินตันจูผงะ หลุดหัวเราะออกมา “อาจารย์ท่านพูดเรื่องใด ฮองเฮาเกิดเรื่องเกี่ยวอันใดกับข้า นางทำผิดเอง”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อโศกเศร้า “ความผิดของฮองเฮาคือลงโทษคุณหนูตันจูให้มากักบริเวณที่นี่”