“เจ้าได้ยินหรือเปล่า”
“ได้ยินเรื่องอะไรหรือ”
“ก็เรื่องที่องค์ชายสามกำลังจะเลือกพระสนมน่ะสิ”
“จริงรึ”
“จริงแท้แน่นอน มิหนำซ้ำยังมีกระทั่งพระราชโองการออกมาแล้วด้วยนะ ข้าได้ยินมาว่าคนที่ถูกเลือกจะต้องมีพร้อมทั้งความงามและความสามารถ แม่นางอวิ๋นจะต้องเป็นคนแรกที่ถูกเลือกแน่นอน…”
“ชู่ ลดเสียงลงหน่อย เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ข้างหน้า ระวังนางจะได้ยินเข้า”
เสียงพูดคุยจากรอบตัวของพวกนางดังขึ้นเรื่อยๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับเสียงนั้น แต่นางกลับลดฝีเท้าของตัวเองลงเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องที่ตู๋ซูเฟิงอยู่
วันนี้เจ้าเจ็ดไม่อยู่ ดังนั้นที่แห่งนี้จึงดูค่อนข้างอ้างว้างเงียบเหงา
หยวนหมิงเองก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้นพร้อมกับเฮ่อเหลียนเวยเวยตลอดทาง มือของเขาประสานกันอยู่หลังศีรษะพลางชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยจากทางด้านข้าง ชายคนนั้นกำลังจะเลือกสนม เช่นนั้นนางวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าให้เขาพูดละก็ คงต้องบอกว่าบนโลกนี้ไม่มีผู้ชายดีๆ แม้แต่คนเดียว
ในระหว่างที่เขายังมีใจให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ควรทำอย่างว่ากับเขาสักสองสามครั้งเพื่อเอาพลังหยางของเจ้ากลับคืนมา แล้วจากนั้นก็ทิ้งเขาไปเสีย
หยวนหมิงพูดสิ่งที่ตนคิดให้เฮ่อเหลียนเวยเวยฟัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเขาเพียงสองคำว่า “หุบปาก” พร้อมทั้งยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินเลี้ยวเข้าไปในห้อง
ตู๋ซูเฟิงวางพู่กันในมือลงหลังจากที่เห็นนาง ความอบอุ่นปรากฏขึ้นที่กลางหว่างคิ้ว “นั่งลงสิ”
“ท่านเจ้าสำนัก ทำไมท่านถึงเรียกข้ามาเพียงคนเดียวหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักตู๋ซูเฟิง นางรู้ว่าเขาจะไม่เอาบทบาทของเจ้าสำนักกับหัวหน้าหน่วยพิฆาตวิญญาณมาปนกันหากไม่มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ดวงตาของตู๋ซูเฟิงก็จมลง เขามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วกล่าวว่า “ระยะนี้พลังปราณภายในสำนักไท่ไป๋ไม่คงที่ ข้อมูลที่เจ้าได้มาเมื่อคราวก่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักไท่ไป๋ และมีใครบางคนต้องการที่จะทำลายปราณมงคลภายในสำนักไท่ไป๋แห่งนี้ ข้าเกรงว่าอีกไม่นานมันจะเกิดขึ้น ดังนั้นข้าจึงส่งเจ้าเจ็ดกลับไปที่วังหลวง แต่คนอื่นๆ ไม่ควรรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เพราะทั้งจักรวรรดิจ้านหลง หรือแม้แต่ในวังหลวง สถานที่ที่มีปราณมงคลมากที่สุดก็คือสำนักไท่ไป๋แห่งนี้นี่เอง ถ้าแม้แต่สำนักไท่ไป๋ก็ยังเกิดเรื่องขึ้น เช่นนั้นทั่วทั้งแผ่นดินก็คงตกอยู่ในความโกลาหลแน่”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเองต้องการแก้ปัญหาเรื่องพลังปราณที่ว่านี้ให้เร็วที่สุดเช่นกัน ฝันร้ายพวกนั้นทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดทีเดียว
ตู๋ซูเฟิงเคลื่อนสายตาขึ้นมองนาง ดวงตาของเขาส่องแสงเจิดจ้า “เจ้าเคยฝึกชิงหลงให้เชื่องได้มาแล้ว และคนที่สามารถฝึกมันได้นั้นนับว่าหายากที่สุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมชิงหลงถึงได้ถูกจองจำอยู่ใต้ทะเลสาบชิงหลง”
“ไม่ใช่เพราะว่ามันทำความผิด และก่อปัญหาขึ้นจนมีคนจับมันขังไว้ที่ก้นทะเลสาบหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ตู๋ซูเฟิงยิ้ม “เวลาผ่านมานานหลายปี ความทรงจำของชิงหลงก็คงจะสับสนไปบ้างเช่นกัน แต่คนที่บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นเอาไว้ย่อมเขียนไม่ผิดแน่ สาเหตุเบื้องหลังการหลับใหลอันยาวนานของชิงหลงที่ทะเลสาบนั้นเป็นเพราะมันสังหารคนมามากเกินไป และเป็นเพราะที่แห่งนั้นจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุ้มครองหรือ”
“ใช่แล้ว” ตู๋ซูเฟิงยกถ้วยชาขึ้น แววตาของเขาสะท้อนอยู่ในน้ำชา “ตอนที่มันพ่นไฟออกมาเผาเมืองทั้งเมือง ทุกอย่างถูกเผาจนหมดสิ้น เว้นก็แต่ที่นี่เพียงที่เดียว มันควรจะพาร่างอันใหญ่โตของมันหนีไปได้ แต่สุดท้ายมันก็ถูกตรวนเหล็กน้ำแข็งทมิฬจองจำเอาไว้ที่ก้นทะเลสาบชิงหลง ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะมันเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นเพราะนี่เป็นสถานที่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่เจ้านายของมันจะตื่นขึ้นมาต่างหาก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับริมฝีปากล่างของตน แล้วเดาว่า “คนที่สร้างพระราชวังใต้ดินนั่นเอาไว้ก็คงเป็นเจ้านายของชิงหลงด้วยล่ะสิ”
“เจ้าฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” มุมปากของตู๋ซูเฟิงกระตุกสูงขึ้น “แผ่นดินในสมัยนั้นมิได้สงบสุขเช่นทุกวันนี้ บนโลกมีปีศาจออกอาละวาดทุกหนแห่ง และมนุษย์ก็ถูกผลักให้จมอยู่ใต้นรกแห่งความทุกข์ตรม มนุษย์เราไม่มีคุณค่าหรือฐานะใด แต่ท่ามกลางช่วงเวลานั้น ผู้นำของบรรดาปีศาจเหล่านั้นกลับเป็นมนุษย์”
“มนุษย์หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มรู้สึกสนใจ นางเลิกคิ้วขึ้น
ตู๋ซูเฟิงเล่าต่อ “ใช่ แต่เราก็บอกไม่ได้ว่าเขาเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ คนกล่าวกันว่าเขาเป็นลูกของปีศาจกับมนุษย์ แต่อันที่จริงนั้นก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดเช่นกัน แต่ที่ข้าต้องการบอกก็คือตอนที่เขาขึ้นเป็นผู้นำปีศาจพวกนั้น ก็ยังไม่ได้ร้ายแรงนัก เพราะไม่เพียงแต่เขาจะได้รับความเคารพจากบรรดาปีศาจเพียงอย่างเดียว มนุษย์เองก็ยังทั้งรักและเกลียดชังเขาเช่นกัน แต่คนบางกลุ่มก็ไม่อยากตกอยู่ใต้การปกครองของใคร ดังนั้นพวกเขาจึงรวบรวมพลังจากพระอาจารย์หลายท่านเพื่อขับไล่เขาให้ไปอยู่ในนรกเก้าชั้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเมื่อปราศจากชายผู้นี้ โลกกลับวุ่นวายขึ้นเสียอีก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปีศาจก็ออกอาละวาดโดยไร้ซึ่งผู้นำ จับมนุษย์กินเป็นว่าเล่น และก่อกรรมทำชั่วตามใจปรารถนา… มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งทนเห็นความทุกข์ของมนุษย์ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงสละกระดูกของตน แล้วเรียกให้พระอาจารย์ผู้มีพลังอันแกร่งกล้าจากทั้งลัทธิเต๋าและพุทธสี่ท่านมารวมตัวกัน พวกเขาสร้างผนึกที่สามารถขับไล่ปีศาจได้ขึ้นมาทั้งหมดสี่ชิ้นทั้งสี่ทิศบนแผ่นดินของเราโดยอาศัยเลือดและเนื้อตัวเอง การทำเช่นนี้ทำให้ปีศาจทั้งหมดถูกผนึกเอาไว้ในนรกเป็นเวลาหลายปี”
“แต่ผู้ชายคนนั้นไม่เคยปรากฏตัวขึ้นจนกระทั่งถึงตอนนี้” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยทอแสงเล็กน้อย “ถ้าไม่อย่างนั้นชิงหลงก็คงไม่คิดที่จะอยู่ที่ก้นทะเลสาบต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้โดยไม่คิดที่จะไปไหน มันกำลังรอเจ้านายของมันอยู่”
ตู๋ซูเฟิงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนกล่าวชมในความหัวไวของนาง “ถูกต้อง ตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นไม่กลับมา ชิงหลงก็ไม่มีทางไปจากที่นี่ ปราณมงคลบนร่างของชิงหลงนั้นส่งผลดีกับสำนักไท่ไป๋มาเป็นเวลาหลายปี ในฐานะผู้พิทักษ์สถานที่แห่งนั้น มันจึงได้ปกป้องคุ้มครองสำนักไท่ไป๋ไปด้วยในเวลาเดียวกัน แต่ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นแล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นอกจากการจองจำร่างของชิงหลงแล้ว หน้าที่หลักของโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬก็คือการทำให้มั่นใจว่าแม้จะไม่มีเจ้านาย แต่ชิงหลงก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังปราณใดๆ แต่ทันทีที่โซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬขาดออก ชิงหลงก็จะกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกแทรกแซงและได้รับผลกระทบจากโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย…”
“ข้าไม่ควรคลายโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬเส้นนั้นเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือแน่น นางคาดไม่ถึงว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นนีั
ตู๋ซูเฟิงส่ายหน้า แล้วยิ้มให้นาง “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ล้วนแต่ถูกโชคชะตากำหนดเอาไว้แล้วทั้งสิ้น ในเวลานั้นตอนที่ชิงหลงถูกจองจำเอาไว้ เคยมีคำทำนายกล่าวว่าสักวันหนึ่งโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬจะคลายออก แล้วชิงหลงจะขี่เมฆโผบินขึ้นสู่นภา ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสัญญาณบอกว่าชายคนนั้นกำลังจะตื่นขึ้น ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดเกินไปนัก และทั้งหมดที่เจ้าต้องทำในเวลานี้ก็คือการหมั่นไปที่ทะเลสาบชิงหลง ชิงหลงยังคงยินดีที่จะเข้าใกล้เจ้าอยู่ แล้วก็อีกอย่าง… ช่วงนี้ในราชสำนักก็ไม่ค่อยมั่นคงเท่าใดนัก ข้าเกรงว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อสำนักไท่ไป๋ ดังนั้นเจ้าควรสนใจกับสถานการณ์รอบตัวเจวี๋ยเอ๋อร์ให้มากกว่านี้ หลานชายทั้งสองของข้าชอบทำตัวให้ข้าต้องเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
เมื่อได้ยินตู๋ซูเฟิงเอ่ยถึงไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รับปากอย่างใจลอยว่า “อืม”
คราวนี้หยวนหมิงเป็นฝ่ายที่ตั้งใจฟังมากกว่าเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาของเขาหยุดลงที่หน้าของนาง “ถ้าเจ้าคิดที่จะตรวจสอบเรื่องปราณแห่งความโกรธแค้นนั่นละก็ ข้าแนะนำให้เจ้าพาผู้ชายของเจ้าไปด้วย” แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจองค์ชายสาม แต่ในฐานะที่คนคนนั้นสามารถพากิเลนอัคคีไปไหนมาไหนด้วยได้ เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เห็นแน่…