รถคันหนึ่งพุ่งออกมาจากจวนองค์หญิง ผู้คนบนถนนต่างตกใจ แทบจำไม่ได้ว่าเป็นรถม้าของเฉินตันจู เรื่องที่คุ้นเคยคือความบุ่มบ่าม เรื่องที่ไม่คุ้นเคยคือข้างรถม้ามีองครักษ์มากขึ้นเจ็ดแปดคน
เหล่าองครักษ์สวมชุดเกราะ มือถือดาบ พุ่งออกมาด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม ทำให้ผู้คนกลัวจนต่างหลบหลีก
“เฉินตันจูจะทำอันใด”
“ปล้นหรือ”
“ไปแก้แค้นหรือ”
“นางมีความแค้นอันใด มีแต่ผู้อื่นที่แค้นนาง”
คนบนถนนต่างซุบซิบนินทา จากนั้นพบว่าทิศทางที่เฉินตันจูไปคือพระราชวัง ทันใดนั้นผู้คนต่างเห็นใจฮ่องเต้ที่ต้องถูกเฉินตันจูตามตื๊ออีกแล้ว
“ให้ตำแหน่งองค์หญิงแก่นางยังไม่พอ ฮ่องเต้ต้องประหารนางไม่ช้าก็เร็ว”
แต่สิ่งที่ไม่เป็นตามความคาดหวังของทุกคนคือ เฉินตันจูไม่ได้ไปหาฮ่องเต้ หากแต่เดินทางไปยังสำนักโขลนวัง
“องค์หญิงตันจู” ใต้เท้าแห่งสำนักโขลนวังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าสุขุม มองรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตู “มีเรื่องใด”
เฉินตันจูลงจากรถ ไม่สนใจเขา จากนั้นขมวดคิ้วต่อองครักษ์ที่ขับเคลื่อนรถ “อาซื่อ ฝีมือการเคลื่อนรถของเจ้าไม่ได้เรื่อง สั่นจนข้าปวดหัว”
องครักษ์ที่ถูกเรียกว่าอาซื่อก้มหน้าตอบรับ
เฉินตันจูมือหนึ่งกุมหน้าผาก อาเถียนยื่นมือพยุงนางโดยไม่ต้องให้นางบอก ดวงตาแดงก่ำ “คุณหนูท่านลำบากแล้ว”
ใต้เท้าที่ถูกเพิกเฉยไม่รู้ควรพูดอันใด…นั่งรถม้าลำบากเพียงนี้หรือ?
“ใต้เท้า” เฉินตันจูมองเขา “ท่านโปรดอภัย ร่างกายข้าไม่ดี เปลี่ยนคนขับใหม่ยังไม่ชิน”
ใต้เท้าตากระตุก “องค์หญิง ท่านมีเรื่องใดก็พูดตามตรงเถิด”
“ท่านจับจู๋หลิน” อาเถียนอดพูดไม่ได้ “จู๋หลินเป็นพลขับของคุณหนู! ไม่มีพลขับ จะให้คุณหนูของพวกเราออกจากจวนอย่างไร!”
ใต้เท้าผงะ รู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อของจู๋หลินมาก่อน ขุนนางที่หลบอยู่ด้านข้างเข้ามากระซิบข้างหู “ใต้เท้า ก่อนหน้านี้บอกว่ามีทหารคนหนึ่งมาสร้างความวุ่นวาย รายงานใต้เท้า ใต้เท้าบอกให้จับเอาไว้ คนนั้น…”
“คนนั้นคือองครักษ์หลวง?” งานในสำนักโขลนวังมีจำนวนมาก ทหารภายในมือนับไม่ถ้วน เขาจำไม่ได้หมด “เขาเป็นอันใด”
เฉินตันจูฟังอยู่ด้านข้าง พูดอย่างมีนัย “ไม่ว่าเขาทำอันใด เขาก็เป็นคนที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพมอบให้ข้าหรือผู้เป็นทูตของฝ่าบาท สำนักโขลนวังของพวกเจ้าไม่อาจจับเขาได้ ภายในสายตาของพวกเจ้าไม่มีข้าไม่สำคัญ แต่ไม่อาจไม่มีฝ่าบาท”
เหตุใดจึงกลายเป็นไม่มีฝ่าบาทในสายตาไปได้! ตาของใต้เท้ากระตุก เขาพูดขัด “องค์หญิงตันจู ถามเรื่องให้กระจ่างก่อน…” ในฐานะแม่ทัพ เขาไม่หลบหลีกหญิงสาวตัวน้อยเหมือนขุนนางบุ๋นเหล่านั้น “หากกระทำผิดร้ายแรง แม้จะเป็นทูตของฝ่าบาท ข้าก็ต้องลงโทษ”
พูดพลางมองขุนนางข้างกาย
“จู๋หลินทำผิดอันใด”
ขุนนางสีหน้าประหลาด “เขาดูหมิ่นสำนักโขลนวัง เจตนาแย่งเงิน”
แย่งเงิน ใต้เท้าผงะ เฉินตันจูก็หัวเราะออกมา
“พูดเรื่องใดกัน” นางพูด “องครักษ์หลวงวิ่งมาแย่งเงินในสำนักโขลนวัง เขาเสียสติหรือพวกเจ้าเสียสติ”
แต่เรื่องก็กระจ่างในไม่ช้า ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นจู๋หลินที่เสียสติ
“เขาวิ่งมารับเงินเดือน พวกเราให้เขาแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งพูดอย่างโกรธเคือง “แต่เขายังไม่ยอมไป บังคับให้พวกเราเอาเงินทั้งปีให้เขา ไม่เคยมีกฎระเบียบเช่นนี้! พวกเราไม่ให้ เขาก็ไม่ยอมไป อีกทั้งยังจะแย่งชิง จึงทำได้เพียงจับเขาเอาไว้”
เวลานี้จู๋หลินถูกนำตัวมา ยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เรื่องเป็นเช่นนี้หรือไม่” ใต้เท้าถาม
จู๋หลินตอบด้วยสีหน้าเรียเฉย
อาเถียนวิ่งไปข้างตัวเขา ทั้งร้อนใจทั้งฉงน พูดเสียงเบา “เจ้าเป็นอันใดไป เจ้าขาดแคลนเงินหรือ เจ้าขาดแคลนเงินเจ้าบอกข้า ตอนนั้นเจ้ายืมเงินให้ข้า ข้ายังจดเอาไว้ เจ้าจะใช้เงินข้าย่อมต้องให้”
จู๋หลินเพียงแค่ทำหน้าบึ้ง ไม่ตอบ
ใต้เท้ากลั้นขำและได้ใจมองไปยังเฉินตันจู เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะองครักษ์นี้บ้าคลั่ง พูดอย่างไรพวกเขาก็มีเหตุผล “องค์หญิงตันจู ท่านดู…”
เฉินตันจูนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองเล็บมือที่ทาสีใหม่ของตนเอง “เขาต้องการเงินหนึ่งปี พวกเจ้าไม่ให้เขา ยังจับเขาอีก เกินเหตุไปหรือไม่”
เกินเหตุ? ผู้ใดเกินเหตุ ใต้เท้าถลึงตา
“เขาเป็นองรักษ์ของข้า เขาต้องการเงินย่อมเหมือนข้าต้องการเงิน” เฉินตันจูยืนขึ้น “ข้าต้องการเงินเดือนหนึ่งปีขององครักษ์ข้า ไม่ได้หรือ”
ใต้เท้าหัวเราะ “ย่อมไม่ได้! คุณหนูตันจู ท่านอย่าทำให้เสียกฎ”
“กฎอันใด” เฉินตันจูพูด “กฎบ้านเมือง กฎทหาร? เช่นนี้ ใต้เท้าท่านไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับข้า ท่านไปพูดกฎกับฝ่าบาท”
สีหน้าของใต้เท้าดำทะมึน “ไปก็ไป! ข้าไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่สนใจกฎ”
สถานการณ์ตึงเครียด จู๋หลินอดพูดขึ้นไม่ได้ “เป็นความผิดของข้า”
ส่วนขุนนางที่อยู่ด้านข้างถือบันทึกบัญชีพบเห็นบางอย่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป วิ่งไปกระซิบข้างหูใต้เท้า นำบันทึกบัญชีให้เขาดู คิ้วของใต้เท้าขมวดเล็กน้อย ถลึงตามองขุนนางผู้นั้น ก่อนจะจ้องมองบันทึกบัญชี พลางก่นด่า “สร้างปัญหา!”
ไม่รู้ว่าด่าขุนนางหรือผู้อื่น…
เขาเงยหน้าเค้นยิ้มออกมา
“เรื่องเล็กเพียงนี้ไม่ต้องลำบากฝ่าบาท องค์หญิงตันจู ถึงแม้จะไม่เหมาะสม แต่ในเมื่อองค์หญิงต้องการ ข้าจะยกเว้นให้องค์หญิง”
เฉินตันจูไม่ได้พูดยากเหมือนที่ร่ำลือ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านใต้เท้า ในเมื่อยกเว้น เช่นนั้นก็จ่ายองครักษ์อีกเก้าคนที่เหลือในจวนข้าด้วย”
เฉินตันจู! ละโมบ! ใต้เท้ากัดฟัน “ได้!”
เงินเดือนทั้งปีขององครักษ์สิบคนไม่ใช่จำนวนน้อย โชคดีที่วันนี้พาคนมามาก ทุกคนต่างเข้าไปช่วยกันนับเงินดึงเงิน จู๋หลินก็ถูกปล่อย ยืนอยู่ด้านหน้าของเฉินตันจู
อาเถียนตีเขาสองทีด้วยความขุ่นเคือง “ข้ามีเรื่องใดล้วนบอกเจ้า แต่เจ้าไม่บอกข้า” พูดพลางดึงแขนของเขามองซ้ายมองขวา “พวกเขาตีเจ้าหรือไม่”
จู๋หลินไม่ตอบ หากแต่หลุบตาพูดกับเฉินตันจู “ข้าก่อปัญหาแล้ว”
เฉินตันจูพูดอย่างเกียจคร้าน “ไม่ใช่เจ้าก่อปัญหา หากแต่เจ้าไม่อยากก่อปัญหา จนเวลานี้จึงมีปัญหา” นางชะงักไป “จู๋หลิน แต่ก่อนเจ้ารับเงินเดือนทั้งปีใช่หรือไม่”
จู๋หลินผงะ
“ท่านแม่ทัพยกเว้นให้เจ้าใช่หรือไม่” เฉินตันจูพูดเสียงเบา
จู๋หลินก้มหน้าไม่พูด
เฉินตันจูรู้ว่าตนเองเดาถูก จู๋หลินเป็นคนที่อยู่ในกฎระเบียบเสมอ เขาไม่มีทางมาเรียกร้องเอาเงินเดือนทั้งปีอย่างไร้เหตุผล ย่อมต้องมีคนอนุญาตเขา ก่อนหน้านี้ขุนนางผู้นั้นถือบัญชีพูดกับใต้เท้าไม่กี่คำ ท่าทีของใต้เท้าก็เปลี่ยนไปทันที เห็นได้ชัดว่าบนบัญชีมีบันทึกเงินเดือนหนึ่งปี
อาเถียนฟังเข้าใจ พูดอย่างขุ่นเคือง “ในเมื่อเป็นกฎของท่านแม่ทัพ เหตุใดเจ้าจึงไม่พูด”
จู๋หลินไม่พูด เฉินตันจูก็ไม่พูด นางมององครักษ์ที่ก้มหน้า นางเข้าใจความคิดของเขาอย่างมาก ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว หากเขายังอ้างชื่อของท่านแม่ทัพ หากถูกปฏิเสธ มันย่อมเป็นเหมือนการเหยียดหยามท่านแม่ทัพ เขาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมีโอกาสนี้…
“เอาเถิด” เฉินตันจูไม่อยากพูดต่อ “แต่ว่าจู๋หลิน เจ้าขาดแคลนเงินหรือ” นางแสร้งทำเป็นมองอาเถียนอย่างไม่พอใจ “เกิดอันใดขึ้น ข้าเป็นองค์หญิงแล้ว ในจวนยังขาดแคลนเงินอีกหรือ”
อาเถียนโกรธจนกระทืบเท้า “ไม่เจ้าค่ะ ไม่ขาดเงิน เงินมีมาก ผู้ใดจะรู้ว่าเขาทำอันใด ต้องการเงินก็ไม่บอกข้า ฮึ เจ้า…” นางจับแขนของจู๋หลิน พูดเสียงดัง “เจ้าไปเล่นพนันหรือ หรือว่าไปหอนางโลม!”
บนใบหน้าของจู๋หลินเผยสีหน้าขุ่นเคือง “ไม่มี! แต่เฟิงหลินต้องการเงิน”
พูดพลางชะงักไป
เฉินตันจูมองมา เฟิงหลิน?
“ดังนั้นเจ้าไปสืบเรื่องเฟิงหลินแล้วแต่ไม่บอกข้า จู๋หลิน มีคนเป็นองครักษ์แบบเจ้าหรือ” เฉินตันจูปวดใจ นางกุมหน้าอก “ท่านแม่ทัพเพิ่งจากไป ในสายตาเจ้าก็ไม่มีข้าแล้ว เวลานี้ข้าโดดเดี่ยว…”
จู๋หลินอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เรียก “คุณหนูตันจู!” เวลาใดแล้ว นางยังแกล้งเขาอีก!
เฉินตันจูเก็บความเศร้าโศกลง ตบโต๊ะ “พูด เฟิงหลินเป็นอันใด!”