หลังจากแจกจ่ายเสื้อผ้าฤดูหนาวแล้ว สืออีเหนียงก็จัดเตรียมเสื้อผ้าป่านของสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็สั่งให้บ่าวรับใช้นำดอกไม้ต้นไม้ที่มักนำมาวางไว้บนโต๊ะย้ายไปยังห้องหน่วนฝังเนื่องจากใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว เปลี่ยนเป็นดอกไม้ต้นไม้ที่ทนต่อความหนาวเช่นต้นตงชิงและต้นเหวินจู๋ หลังจากนั้นพ่อบ้านไป๋ก็นำ ‘บทกวีคลายความหนาวเย็น’ ที่กรมผู้ตรวจคัดมาให้ ก็ถือว่าช่วงไว้ทุกข์หนึ่งร้อยวันนั้นผ่านพ้นแล้ว
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนแต่ต้องสงบเสงี่ยม เมื่อสิ้นสุดช่วงไว้ทุกข์ ทุกคนจึงสนุกสนานร่าเริงอย่างกันอย่างมาก
บรรดาคุณชายและคุณชายน้อยพากันฝึกนกอินทรีล่าสัตว์ แม้แต่สตรีในจวน ต่างก็ชวนกันไปจุดธูปไหว้พระที่วัด ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของกันและกัน คึกคักเป็นอย่างมาก ส่วนสืออีเหนียงนั้น เดิมทีต้องไว้ทุกข์ให้มารดา หลังจากนั้นก็ต้องไว้ทุกข์ให้ไทเฮาต่อ จึงไม่ได้ออกไปเที่ยวปีกว่าแล้ว ทุกคนล้วนนึกถึงทุกครั้งที่นางปรากฏตัวมักจะสวมเสื้อผ้าที่สวยงาม เมื่อมีงานเลี้ยงที่จวน คนแรกที่นึกถึงจึงเป็นนาง เทียบเชิญงานเลี้ยงมากมายราวกับใบปลิว สืออีเหนียงตัดเสื้อผ้า ทำเครื่องประดับ มีเรื่องให้ทำตั้งมากมาย ออกไปพบปะสมาคมกลับมาถึงจวนก็ดึกแล้ว เมื่อเห็นท่าทีของสวีซื่อเจี้ยที่กำลังนั่งหาวรอนางอยู่ในอ้อมแขนของสะใภ้หนานหย่ง ก็รู้สึกผิดขึ้นในใจ…จึงแสร้งว่าไม่สบายแล้วอยู่แต่ในเรือน
โจวฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็มาเยี่ยมนาง
เห็นใบหน้าแดงก่ำของสืออีเหนียงที่สวมชุดอ่าวสีฟ้าเขียว นางก็ตกใจ
“ต้องออกจากจวนทุกวัน เรื่องในจวนจึงจัดการล่าช้าไปหมด” สืออีเหนียงพูดความจริงกับนาง
โจวฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ แต่ในสายตาของนางกลับไม่มีความร่าเริงเหมือนแต่ก่อน
สืออีเหนียงถึงได้สังเกตเห็นว่าโจวฮูหยินที่สวมชุดสีแดงสดดูไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไร
“พี่หญิงเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” นางเชิญโจวฮูหยินไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องรับรอง
สาวใช้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา หลังจากนั้นก็เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
โจวฮูหยินส่ายหน้าเบาๆ หย่อนกายนั่งลงบนเตียงเตาแล้วถามสืออีเหนียงอย่างอ่อนแรง “อี๋เหนียงคนนั้นของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
สืออีเหนียงแอบรู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
นางยื่นเตาอุ่นมือลายดอกไม้และวิหคในมือให้โจวฮูหยิน “นอกจากมาคารวะข้าเช้าเย็นแล้ว ก็เพียงแค่เย็บปักถักร้อยอยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ”
โจวฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น “อี๋เหนียงคนนั้นของจวนข้า ถูกเขาสั่งให้คอยปรนนิบัติรับใช้เขาข้างกาย”
สืออีเหนียงนึกถึงคำพูดที่โจวฮูหยินพูดก่อนหน้านี้ จึงถอนหายใจเบาๆ
“เห็นท่าทีของนาง ข้าก็รู้สึกขยะแขยงราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปในท้อง” โจวฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “แต่นายท่านของข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น สองวันก่อนซุ่นอ๋องชวนนายท่านไปล่าสัตว์ เขาก็พาหยางอี๋เหนียงคนนั้นไปด้วย ได้ยินมาว่ายังบอกให้นางร้องเพลง เต้นระบำกระโปรงขนนกสีรุ้ง…เขาไม่อายคนอื่น แต่ข้าอายคนอื่น!”
ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นอนุภรรยา ไม่ใช่นางรำที่สกุลเลี้ยงดูเอาไว้ ออกไปเต้นรำในสถานที่เช่นนั้น เหลวไหลเกินไป!
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “เช่นนั้นองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง…”
โจวฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็โบกมือ “คนในเรือนของข้า ยังจะต้องให้องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเป็นคนจัดการอีกหรือ ถ้าอย่างนั้นฮูหยินเช่นข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
พูดเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล
สืออีเหนียงไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงถามเบาๆ ว่า “แล้วพี่หญิงวางแผนทำอย่างไรต่อเจ้าคะ”
“คงต้องรอความหลงใหลของเขาหมดไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” โจวฮูหยินพูดพลางถอนหายใจเบาๆ “โชคดีที่ข้าเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เลยไม่กลัวว่านางจะก่อเรื่องอันใด”
โจวฮูหยินไม่ได้พูดว่าเตรียมพร้อมอะไร สืออีเหนียงก็ไม่ถาม นางยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงเรื่องของฟังเจี่ยเอ๋อร์ “…สองวันก่อนเข้าไปคารวะฮองเฮาจึงได้เจอกับนาง สีหน้าดูดีไม่น้อย “
เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดถึงบุตรสาวที่ตัวเองภาคภูมิใจ ความเครียดก็ได้ถูกปัดเป่าไป ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าเหมือนใคร ไม่ง่วงนอนแล้วยังไม่คลื่นไส้อาเจียนอีก ราวกับคนปกติทั่วไป”
“คงจะเป็นเพราะว่าคนรอบข้างดูแลดี” สืออีเหนียงยิ้ม “เช่นนี้พี่หญิงก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เดิมทีนี่เป็นคำพูดปลอบใจ แต่มันกลับทำให้โจวฮูหยินถอนหายใจ “ถึงแม้ไท่จื่อจะดูเคร่งขรึมไม่ค่อยพูดจา แต่กลับเอาใจใส่ไม่จื่อเฟยเป็นอย่างมาก ปีใหม่ตอนที่ข้าไปคารวะไทเฮา ไท่จื่อเฟยเองก็อยู่ที่นั่นด้วย หิมะตกลงมาพอดี ไท่จื่อจึงสั่งให้คนนำเตาอุ่นมือมาให้ แล้วยังกลัวว่าผู้หลักผู้ใหญ่เห็นเช่นนี้แล้วจะไม่สบายใจ จึงให้ขันทีรอรับใช้อยู่ข้างนอกพระตำหนักฉือหนิง…” นางพูดด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ
สืออีเหนียงรู้ว่านางอยากมาระบายความในใจของตัวเอง ระบายออกมาแล้วก็ดี จึงพยายามตั้งใจฟังนาง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม โจวฮูหยินก็ยิ้มหน้าบาน ทานข้าวเย็นที่เรือนของนางแล้วกลับไปจวนของตัวเอง
หลังจากนั้นสืออีเหนียงก็เริ่มตรวจสมุดบัญชีของร้านขายของมงคลสมรสกับอาจารย์เจี่ยนและกานไท่ฮูหยิน
ในหนึ่งปี พวกนางได้กำไรสามร้อยสามสิบสี่ตำลึงเงิน
พวกนางสามคนพอใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงแนะนำให้จัดงานฉลองที่หอชุนซี แล้วเชิญคนในร้านขายของมงคลสมรสมาร่วมทานอาหาร
“ข้าเลี้ยงเอง” กานไท่ฮูหยินบอกด้วยรอยยิ้ม
“ใช้เงินของที่ร้านเถิด!” อาจารย์เจี่ยนยิ้ม “ถือว่าเป็นน้ำใจของพวกเรา”
กานไท่ฮูหยินพยักหน้าซ้ำๆ เมื่อถึงวันที่เจ็ดเดือนสิบสอง อาจารย์เจี่ยนก็ร่วมทานข้าวฉลองปีใหม่กับบรรดาช่างเย็บปัก เถ้าแก่ รวมถึงบ่าวรับใช้แทนสืออีเหนียงและกานไท่ฮูหยิน มอบซองแดง จากนั้นก็ให้บ่าวรับใช้สองคนคอยอยู่ดูแลร้าน ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มหยุดพักผ่อนอย่างเป็นทางการ เตรียมตัวกลับบ้านเกิดไปฉลองปีใหม่
สืออีเหนียงปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “ทางฝั่งเฉียวอี๋เหนียง เกรงว่าคงต้องส่งคนไปรับเจ้าค่ะ ไม่ควรให้นางอยู่ขึ้นปีใหม่ที่นั่นกระมัง” นางพูดช้าๆ “ข้าเคยบอกให้เฉียวอี๋เหนียงคัด ‘บัญญัติสตรี’ สามร้อยรอบ เพื่อเป็นการลงโทษ” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “แต่หากนางไม่พอใจ ไม่ยอมคัด ‘บัญญัติสตรี’ หรือคัดไม่เสร็จจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ แต่ถ้าไม่รับนางกลับมา ปล่อยนางอยู่ลำพังคนเดียวก็คงไม่ดี แต่ถ้ารับนางกลับมา เช่นนั้นคำพูดของข้าก็คงเชื่อไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเองอีก”
“ข้าคิดว่า เจ้ากำลังลงโทษตัวเอง” สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “มีแค่คนที่ถูกลงโทษเท่านั้นที่จะกังวลว่าตัวเองจะคัดลอกไม่เสร็จ มีคนลงโทษที่ไหนกันที่คอยกังวลว่าคนถูกลงโทษจะทำไม่เสร็จ” พูดจบเขาก็พูดอีกว่า “หากนางยังคัด ‘บัญญัติสตรี’ สามร้อยจบไม่เสร็จ เจ้าก็ให้บ่าวรับใช้ที่จะไปรับเฉียวอี๋เหนียงบอกนางว่า รอให้ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในปีหน้าค่อยกลับมารับนาง ข้าคิดว่าเช่นนี้เฉียวอี๋เหนียงคงต้องหาทางคัดให้เสร็จก่อนปีใหม่อย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงฟังแล้วก็เหงื่อตก ผ่านไปสองสามวันก็ส่งป้าซ่งและเยี่ยนหรงไปรับเฉียวเหลียนฝังกลับมาในตอนเย็น
อี๋เหนียงทั้งสามคนกำลังคารวะสืออีเหนียงอยู่ในห้อง เมื่อรู้เรื่องแล้วพวกนางก็พากันเงียบเสียง
ป้าซ่งและเยี่ยนหรงเดินเข้ามาพร้อมกับสตรีที่สวมชุดอ่าวสีเขียว
ผมสีดำถูกม้วนเป็นมวยอย่างเรียบร้อย ไม่มีเส้นผมโผล่ออกมาแม้แต่เส้นเดียว ผิวของนางขาวสะอาดแต่กลับไม่มีความแวววาวราวกับหยกด้าน ใบหน้างดงาม สายตาเป็นประกายวาววับ แต่สีหน้าแข็งทื่อราวกับดอกไม้แห้งก็ไม่ปาน ถึงแม้ว่าท่าทางและสีหน้าจะนิ่งสงบ แต่เพราะดูไร้ชีวิตชีวา จึงทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดใจ
“เฉียว เฉียวอี๋เหนียง…” หยางอี๋เหนียงเบิกตากว้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับไม่ได้สนใจ นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็ยืนเงียบอยู่ตรงนั้น ราวกับกำลังรอรับคำติเตียนจากสืออีเหนียง
มือที่ถือถ้วยชาของสืออีเหนียงสั่นเทา
คัด ‘บัญญัติสตรี’ สามร้อยจบ ไม่มีทางทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้แน่นอน
ตอนที่เฉียวเหลียนฝังอยู่ที่อารามต้าเจวี๋ย เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่
คิดได้เช่นนี้ นางก็พลันสับสนในใจ
“ฮูหยินเจ้าคะ” ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด เยี่ยนหรงก็ยื่นกระดาษหนาหนึ่งกองมาให้สืออีเหนียง “นี่คือ ‘บัญญัติสตรี’ ที่เฉียวอี๋เหนียงคัดเจ้าค่ะ อาจารย์ในวัดนับแล้วครบสามร้อยจบพอดีเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงสงบสติอารมณ์ พยายามพยักหน้าอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็พูดเบาๆ “เฉียวอี๋เหนียงเดินทางมาเหนื่อย รีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”
เฉียวเหลียนฝังพูดตอบรับเพียง “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมา “อี๋เหนียงคนอื่นก็ไปพักผ่อนเถิด!”
อี๋เหนียงทั้งสามคนย่อเข่าคำนับ จากนั้นก็เดินออกไปทีละคน
สืออีเหนียงลุกขึ้นยืน “เยี่ยนหรง เหตุใดเฉียวอี๋เหนียงถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้”
*****
ซิ่วหยวนกอดเฉียวเหลียนฝังร้องไห้ “อี๋เหนียง อี๋เหนียง เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้เจ้าคะ”
สายตาที่มึนงงของเฉียวเหลียนฝังพลันเป็นประกายขึ้นมา
“ซิ่วหยวน?” นางวางมือลงบนไหล่ของซิ่วหยวนที่กำลังร้องไห้ปนสงสัย
ซิ่วหยวนเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา จับมือเฉียวเหลียนฝังเอาไว้ “อี๋เหนียง บ่าวเอง ซิ่วหยวนเองเจ้าค่ะ!”
ฝ่ามือที่อบอุ่น ใบหน้าที่คุ้นเคย…ผ่านไปไม่นาน เฉียวเหลียนฝังก็น้ำตาเอ่อล้นออกมา
“ซิ่วหยวน” นางจับมือซิ่วหยวนแน่น “ซิ่วหยวน…”
*****
“…บรรดาอาจารย์ไม่ตี ไม่ด่า เพียงให้นางยืนอยู่ใต้ชายคาเจ้าค่ะ” เยี่ยนหรงพูดเบาๆ “ไม่ให้ข้าวทาน ไม่ให้ดื่มน้ำ แล้วก็ไม่ให้เข้าห้องน้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้นอน” นางพูดด้วยสีหน้าที่ทนไม่ได้ “สองสามวันผ่านไป แม้แต่คนที่ดื้อด้านดั่งเหล็กกล้าก็คงทนไม่ได้”
สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกหู่พั่ว “ให้ซิ่วหยวนดูแลนางให้ดี!”
ตอนเย็นนางก็เล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…คงจะลำบากไม่น้อยเลย!”
“หากลำบากแล้วสามารถดัดนิสัยนางได้ เช่นนั้นก็ให้นางได้รู้จักความยากลำบากเสียบ้าง” สวีลิ่งอี๋พูด “แค่กลัวว่าแผลเป็นหายดีแล้วจะลืมความเจ็บปวด ลำบากไปก็เปล่าประโยชน์”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
*****
ซิ่วหยวนนำดอกซ่อนกลิ่นโรยใส่ในน้ำสะอาด ช่วยเฉียวเหลียนฝังสระผม จากนั้นก็ประคองนางไปนั่งบนเตียงเตา ย้ายถาดไฟไปช่วยนางเป่าผมให้แห้ง
“ฮูหยินไม่ได้ลดอาหารและของใช้ของเราเจ้าค่ะ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม” นางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เฉียวเหลียนฝังฟังอย่างละเอียด “ตอนนี้คนที่ฮูหยินโปรดปรานมากที่สุดคือหยางอี๋เหนียง นางมักจะช่วยวาดลายปักให้ร้านขายของมงคลสมรสของฮูหยิน เหวินอี๋เหนียงที่เดิมทีมักจะไปมาหาสู่กับฮูหยินบ่อยๆ กลับไม่ค่อยไปหาฮูหยินแล้ว เอาแต่ช่วยคุณหนูใหญ่จัดการเรื่องสินเดิม ส่วนฉินอี๋เหนียงก็ยังคงเหมือนเดิม เหวินอี๋เหนียงทำอะไรนางก็ทำเช่นนั้น จุดธูปไหว้พระอยู่ในเรือนทุกวัน ทำเอาทั้งลานมีแต่กลิ่นธูป ทำให้ท่านโหวไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงวันที่นางต้องรับใช้ท่านโหวเข้านอน แม้แต่หน้าประตูลานท่านโหวยังไม่อยากย่างเท้าเข้าไปเลยเจ้าค่ะ” จู่ๆ นางก็ทำสีหน้าสับสน “เมื่อก่อนฉินอี๋เหนียงยังคอยระมัดระวัง ตอนที่ท่านโหวไปที่เรือนนางยังทำความสะอาดทั้งนอกและใน เตรียมสุราอาหาร แต่ช่วงนี้นางกลับทำท่าทีไม่สนใจอะไรสักอย่าง” พูดจบ มือที่กำลังจับผมของเฉียวเหลียนฝังก็หยุดชะงัก “บ่าวได้ยินสาวใช้แอบพูดว่า ดูเหมือนว่าฉินอี๋เหนียงจะทำพิธีบางอย่างต่อหน้าพระโพธิสัตว์อีกแล้ว บ่าวไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านลองคิดดู ไหว้พระโพธิสัตว์ก็เพื่อที่จะมัดใจท่านโหวไม่ใช่หรือ แต่การกระทำของนางราวกลับผลักไสท่านโหวออกไปเช่นนี้ แล้วทำไมถึงยังต้องไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย”
ในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงถ่านที่กำลังเผาไหม้ปะทุดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว
ซิ่วหยวนก้มหน้าลงก็เห็นเฉียวเหลียนฝังหลับตาสนิท ไม่รู้ว่านางหลับไปตั้งแต่เมื่อใด
นางห่มผ้าให้เฉียวเหลียนฝังอย่างเบามือ
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง