เฉินตันจูให้คนนับเงินแล้ว ยังให้ขอรถคันหนึ่งมาจากสำนักโขลนวังลากเงินจากไปอย่างคึกคักอีก
เหล่าขุนนางแห่งสำนักโขลนวังที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูโถงต่างมีสีหน้าซับซ้อน
“ข้ารู้สึกว่า” ขุนนางคนหนึ่งพูดขึ้น
ทุกคนต่างรีบมองไปทางเขา
ขุนนางครุ่นคิด “พวกเขาไม่มีทางนำรถกลับคืนมาแล้ว”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมาในทันใด “ปล้นเงินมากมายเพียงนั้นไปแล้ว รถเพียงคันเดียวไม่มีค่านัก”
แต่ก็มีคนพูดแก้ “ไม่ถือว่าปล้น ถือว่าเบิกไปล่วงหน้า”
มีคนหัวเราะเย้ยหยัน “เบิกล่วงหน้าก็คือปล้น เสียระเบียบ หากผู้อื่นเลียนแบบจะทำอย่างไร”
คำพูดนี้ทำให้ใต้เท้าแห่งสำนักโขลนวังไม่พอใจ พูดขึ้นเสียงดังในห้อง “ผู้อื่น? ผู้อื่นมาลองดู! ดูข้าจะโบยเขาออกไปหรือไม่”
คำพูดนี้ไม่ว่าฟังอย่างไรก็ไม่มีคุณค่าในการพูด สายตาของทุกคนต่างซับซ้อน บรรยากาศภายในห้องชะงักงัน
“หญิงสาวอย่างเฉินตันจู ไร้ความเกรงกลัว” ใต้เท้าแห่งสำนักโขลนหลวงจำเป็นต้องอธิบายต่อทุกคน “ไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับนาง อีกทั้งยังมีข้อยกเว้นจากแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หากเฉินตันจูใช้ข้ออ้างนี้นำปัญหาไปทูลต่อหน้าฝ่าบาท มันจะไม่ใช่แค่ข้าลำบากใจ หากแต่เป็นการทำให้ฝ่าบาทลำบากใจ ปล่อยนางไปเถิด”
ใช่ พวกเขาทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อเฉินตันจู หากแต่เพื่อแม่ทัพหน้ากากเหล็ก พวกเขาเคารพท่านแม่ทัพ ไม่อยากให้เขาต้องวุ่นวายกับความขัดแย้งหลังจากที่ตายไปแล้ว
“ใต้เท้า” ขุนนางคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอก “เฉินตันจูกับจู๋หลินนั้นมุ่งหน้าไปยังพระราชวังขอรับ”
อะไรนะ หรือว่าได้เงินแล้วยังจะฟ้อง แต่ก็ไม่แปลกใจ เฉินตันจูใช่ว่าไม่เคยทำเรื่องแบบนี้…ทำร้ายคนแล้วยังฟ้องที่ว่าการ ชนคนแล้วยังขับไล่ออกจากเมืองหลวง ทุกคนต่างมองไปยังใต้เท้าแห่งสำนักโขลนวังด้วยสีหน้ากังวล ใบหน้าดำทะมึนของใต้เท้าแห่งสำนักโขลนวังยิ่งดำลง ในขณะที่กำลังคาดเดา ขุนนางอีกคนวิ่งเข้ามา
“ไม่ได้ไปหาฝ่าบาท” เขาหอบหายใจ สีหน้าดีใจ “เฉินตันจูไปเส้าฝู่เจี้ยน”
เส้าฝู่เจี้ยนหรือ เช่นนั้นย่อมไม่เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว ทุกคนต่างโล่งใจ ได้ยินว่าเฉินตันจูมักไปขอสิ่งของจากเส้าฝู่เจี้ยน ทำให้พวกเขารำคาญจนปวดหัวเช่นเดียวกัน
ผมและหนวดเคราของใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนล้วนขาวโพลน ขาแข้งก็ไม่คล่องแคล่วนัก เมื่อได้ยินว่าเฉินตันจูมา คนอื่นต่างกระจัดกระจายตัวออกไป เขาวิ่งช้าจึงถูกเฉินตันจูขวางไว้ในห้อง
“องค์หญิงตันจู” ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนคุ้นเคยกับเฉินตันจูอย่างมากแล้ว เขาถามอย่างหมดหนทาง “ท่านต้องการสิ่งใดอีก หากพูดอย่างไม่เคารพ สวัสดิการของท่านแทบจะเทียบเท่าฝ่าบาทอยู่แล้ว”
เฉินตันจูยิ้มหวาน “ขอบคุณใต้เท้า ข้ารู้ว่าใต้เท้าดีกับข้าที่สุด”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนหัวเราะแห้งสองที เขาคุ้นชินกับคำพูดอ่อนหวานของคุณหนูตันจูอย่างมากเช่นเดียวกัน
“พูดเถิด” เขาถามอย่างระอา “องค์หญิงตันจูต้องการสิ่งใด”
เฉินตันจูหุบยิ้ม “ข้าอยากเห็นรายการสิ่งของที่พวกเจ้าส่งให้จวนองค์ชายหก”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนผงะ คิดว่าตนเองได้ยินผิด “ผู้ใด”
“จวนองค์ชายหก” เฉินตันจูพูดทีละคำใส่หูของใต้เท้าชรา “รายการสิ่งของ”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนโกรธขึ้นมาทันควัน “องค์หญิง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ท่านถามได้!”
เฉินตันจูก็โกรธเช่นเดียวกัน ดวงตากลมเบิกกว้าง “ใต้เท้า การปฏิบัติไม่ดีต่อองค์ชายก็ไม่ใช่โทษที่ท่านแบกรับได้”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนโกรธจัด “องค์หญิงตันจู ท่านบังอาจใส่ร้ายผู้อื่น”
เฉินตันจูนั่งลงพูด “ข้าใส่ร้ายหรือไม่ หยิบรายการออกมาดูก็รู้แล้ว”
…
ขุนนางในโถงสี่ห้าคนหยิบบันทึกหลายฉบับมาแสดงให้ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนดู ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนดูฉบับนี้เสร็จ ดูฉบับนั้น พูดกับเฉินตันจูด้วยท่าทางดุดัน “เห็นหรือไม่ องค์ชายหกเพิ่งเสด็จมาก็ใช้บันทึกมากมายเพียงนี้แล้ว!”
เฉินตันจูยื่นมือ “ให้ข้าดูหน่อย”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนยื่นมือห้าม ไม่ให้นางเข้าใกล้ “เหล่านี้ล้วนเป็นความลับราชวงศ์ องค์หญิงตันจู ท่านอย่าให้ข้าไปฟ้องว่าท่านจะสอดแนมเรื่องของราชวงศ์”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านใต้เท้า ทุกคนต่างรู้เรื่องที่องค์ชายหกถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายแล้ว เช่นนี้ถือเป็นความลับของราชวงศ์รั่วไหลหรือไม่”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนส่งเสียงไม่พอใจ “พูดจาเหลวไหล” จากนั้นดูบันทึกต่อ ดูไปดูมาเขาก็ขมวดคิ้ว จับขุนนางคนหนึ่ง “เหตุใดจึง…” พูดออกมาแล้วก็มองไปยังเฉินตันจู เห็นหญิงสาวโน้มตัวเข้ามาดู เขารีบหันหลังบังสายตาของเฉินตันจู พูดกับขุนนางคนนั้นเสียงเบา เขาชี้ไปยังบันทึก “เหตุใดพระกระยาหารจึงน้อยเพียงนี้”
ขุนนางนั้นก็ตอบเสียงเบา สีหน้าไม่เป็นธรรม “ใต้เท้า จวนองค์ชายหกใช้น้อยเอง คนน้อย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ต้องการทุกสิ่ง อาจเป็นเพราะป่วย จึงมีการเลือกมาก”
เรื่องนี้พอเข้าใจได้ ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนพยักหน้า อาทิการกินการดื่มขององค์ชายสาม โดยเฉพาะของกินล้วนมีการตรวจจากสำนักหมอหลวงก่อน
เขากำลังจะพูด มือข้างหนึ่งยื่นออกมา หยิบบันทึกเล่มหนึ่งไป
“เอ๊ะ…” ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนรีบตะโกน เฉินตันจูที่ไม่รู้กระโดดเข้ามาเมื่อใดกำลังถือบันทึกเปิดอ่าน ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ของน้อยก็แล้วไป” นางสะบัดบันทึก ก่อนจะชี้ไปยังบันทึกอีกเล่มในมือของใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยน เห็นได้ชัดว่านางแอบได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้ “อีกทั้งยังไม่ส่งตามเวลา เหตุใดเวลานี้แล้ว ของใช้เดือนถัดไปยังไม่ส่ง”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนแย่งกลับมา มองบันทึกด้านบนที่ไม่ได้จดเอาไว้ ก่อนจะถลึงตามองขุนนาง
“ใต้เท้า” ขุนนางนั้นอธิบายขึ้นอย่างรีบร้อน “ยังไม่ถึงเวลา…”
เฉินตันจูพลิกบันทึกอีกเล่มจากลังอีกใบ ด้านบนระบุว่าเป็นขององค์รัชทายาท เปิดออกอย่างไม่เกรงใจ “เหตุใดจึงยังไม่ถึงเวลา ของตำหนักบูรพาส่งไปแล้วมิใช่หรือ”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนโกรธจนไปแย่งบันทึกในมือนาง “ท่านอย่าดูส่งเดช องค์หญิง ตำหนักบูรพาท่านไม่อาจดูได้!”
เฉินตันจูยกไว้ ไม่ให้เขา
ขุนนางนั้นรีบอธิบาย “องค์รัชทายาทอาศัยอยู่ในพระราชวัง องค์ชายสามและองค์ชายสี่ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงส่งไปพร้อมกับของฝ่าบาทและเหล่าเหนียงเหนียง องค์ชายห้าและองค์ชายหกอยู่นอกพระราชวัง จึงช้าเล็กน้อย…”
เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ “ช้าสองสามวันไม่สำคัญ หรือว่าคนไม่สำคัญ อีกอย่าง” นางสะบัดบันทึกอย่างขุ่นเคือง “พวกเจ้าบังอาจเทียบองค์ชายหกกับองค์ชายห้า พวกเจ้าบังอาจนัก! องค์ชายห้าเป็นคนอย่างไร ทำผิดอันใด เขาเป็นนักโทษที่ถูกฝ่าบาทกักบริเวณ องค์ชายหกไม่ได้ทำผิด พวกเจ้ามีสิทธิ์ใดเทียบองค์ชายหกกับองค์ชายห้า”
เพราะว่าพวกเขาล้วนอยู่ภายนอกพระราชวัง ขุนนางตกใจกับหญิงสาวที่โกรธเคือง
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนขมวดคิ้ว ถึงแม้การกระทำเช่นนี้ไม่มีอันใด แต่หากมีคนตั้งใจหาเรื่อง…อาทิเฉินตันจู…ฟ้องต่อฮ่องเต้ คงวุ่นวายอย่างมาก
“เอาเถิด เอาเถิด องค์หญิง” เขาอายุมากแล้ว ไม่กลัวความไม่เหมาะสมระหว่างชายหญิง เขาดึงแขนของเฉินตันจู ดึงมือที่ยกสูงของนางลงมา “มีเรื่องใดพูดดีๆ” ก่อนจะตำหนิขุนนางผู้นั้น “พวกเจ้าครุ่นคิดไม่รอบคอบ”
ขุนนางทั้งหลายก้มหน้าตอบรับ
เฉินตันจูไม่ได้ดื้อดึง “ท่านใต้เท้า ข้าไม่ได้หลอกท่าน พวกท่านกระทำเช่นนี้เป็นการปฏิบัติไม่ดีต่อองค์ชายหก”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนพูด “ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ พวกเราไม่ได้ปฏิบัติไม่ดี” ก่อนจะมองเหล่าขุนนาง “จำไว้ให้ดี ต่อจากนี้สิ่งของขององค์ชายหกกับองค์ชายห้าอย่าได้ล่าช้า ส่งพร้อมกับของในพระราชวัง…”
เฉินตันจูพูดขัดอย่างไม่พอใจ “เป็นอันใดกัน บอกแล้วว่าไม่อาจเหมือนองค์ชายห้า องค์ชายหกกับองค์รัชทายาทได้สวัสดิการเหมือนกัน องค์ชายห้า พวกท่านส่งช้าเสียเล็กน้อยแล้วกัน”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนหัวเราะ คุณหนูตันจูช่าง…
“ได้ๆๆ” เขาตอบรับระรัว
“อีกอย่าง คนขององค์ชายหกมีน้อย อาจเลือกของกินของใช้ แต่พวกท่านไม่อาจส่งไปให้เพียงเท่านั้น” เฉินตันจูพูดอีกครั้ง “องค์ชายหกไม่ใช้ คนอื่นยังใช้ได้ ภายในตำหนักขององค์รัชทายาทส่งสิ่งใด…”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนกระแอมไอ “คุณหนูตันจู เปรียบเทียบกับองค์ชายอื่นเถิด องค์รัชทายาทแตกต่างจากองค์ชายอื่น องค์รัชทายาทเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป”
“ได้” เฉินตันจูว่า “ส่งให้เหมือนองค์ชายอื่น คนน้อยไม่ได้ใช้ก็วางไว้ เขาเป็นองค์ชาย ไม่อาจไม่สนใจเกียรติยศของราชวงศ์เพียงเพราะเขาปิดประตู ผู้อื่นไม่เห็น”
อย่าคำก็โทษสองคำก็โทษ พวกเขาดูหมิ่นเกียรติยศของราชวงศ์ที่ใดกัน ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนตอบรับ “รู้แล้ว รู้แล้ว” ก่อนจะให้คนหยิบบันทึกอีกเล่มมา พูดเสียงเบา “คุณหนูตันจู ผ้าลายนี้ทางห้องทอผ้าทอออกมาใหม่ ท่านดู ชอบหรือไม่ คุณหนูตันจูงดงามเพียงนี้ ย่อมต้องสวมใส่อย่างงดงาม”
สุดท้ายเขาใช้ผ้าหลายผืน เครื่องประดับหลายชิ้น อีกทั้งยังสัญญาว่าจะจับสัตว์ป่าสองสามตัวในหลินหยวนให้จึงส่งคุณหนูตันจูที่งดงามจากไป
มองดูรถม้าเคลื่อนตัวออกไป ขุนนางทุกคนในเส้าฝู่เจี้ยนต่างโล่งอก ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนนวดคลึงหน้าผากเพื่อผ่อนคลายความปวด
“เหตุใดคุณหนูตันจูจึงสนใจเรื่องขององค์ชายหกขึ้นมา” ขุนนางคนหนึ่งพูด “แต่ก่อนก็มาแค่ขอของกิน”
ใต้เท้าแห่งเส้าฝู่เจี้ยนโบกมือ “นางแค่ต้องการขอของกินเหมือนเดิมเท่านั้น เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบในการปล้นใหม่”
เฉินตันจูลากสิ่งของเต็มสองคันรถกลับมา แต่ไม่ได้ไปจวนองค์ชายหก
อีกทั้งไม่ได้ให้จู๋หลินส่งเงินให้เฟิงหลิน
ถึงแม้จู๋หลินไม่อยากรับปาก แต่เขาก็ไม่ได้คัดค้านหรือซักถาม ตอนที่ถูกนำตัวมาจากคุกในสำนักโขลนวัง เห็นหญิงสาวที่ยืนอย่างสง่างามท่ามกลางชายหนุ่มเต็มโถง เขารู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา นึกถึงคราก่อนบนราชสำนัก คุณหนูตันจูทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคือง ฮ่องเต้จะให้องครักษ์หลวงลากนางออกไป เขาต้องการเดินเข้าไปกีดขวาง สุดท้ายถูกคุณหนูตันจูเตะล้ม…
เขามักจะบ่นเป็นประจำว่าคุณหนูตันจูชอบก่อปัญหา ทำเรื่องอันตราย แต่อันที่จริง เมื่อเผชิญเรื่องอันตราย นางมักจะปกป้องพวกเขา
องครักษ์อย่างเขา อันที่จริงไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อนางได้ อีกทั้งยังสร้างปัญหา
ดังนั้นเมื่อเฟิงหลินมาหาอีกครั้ง เขาจึงบอกเฟิงหลินว่าไม่อาจให้เงินเขาได้
เฟิงหลินทั้งตกตะลึงทั้งปวดใจ “จู๋หลิน ข้าคิดว่าพวกเราเป็นพี่น้องกัน ท่านแม่ทัพจากไป แม้แต่เจ้าก็…”
มือที่คล้อยอยู่สองข้างของจู๋หลินกำแน่น
“เฟิงหลิน” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากหลังกำแพง
จู๋หลินหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นเฉินตันจูยืนอยู่หลังกำแพง อาเถียนก็ชะโงกหน้าออกมามอง เห็นได้ชัดว่ายังคงมีความกังวล กำชับบ่าวรับใช้ “จับบันไดให้มั่น”
เฟิงหลินยกมือขึ้นโบกไปมา เขาเผยยิ้ม “คุณหนูตันจู ไม่พบกันนาน”
เฉินตันจูมือหนึ่งจับกำแพง อีกมือหนึ่งโบกพัด “ใช่ ไม่พบกันนาน มาๆๆ …”
เฟิงหลินทิ้งจู๋หลินวิ่งเข้าไป เงยหน้ามองกำแพง “คุณหนูตันจู เหตุใดท่านจึงพูดกับข้าผ่านกำแพง”
เฉินตันจูกึ่งตำหนิ “เพราะว่าเฟิงหลินเจ้ามาแล้วแต่ไม่เข้าประตูจวน ยืนคุยอยู่นอกกำแพง”
เฟิงหลินคำนับพร้อมยิ้ม “ข้าน้อยเสียมารยาท”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “เฟิงหลิน เจ้าอย่าโทษจู๋หลิน ไม่ใช่เขาไม่ให้เงินเจ้า แต่ข้าไม่ให้เขาให้”
เฟิงหลินยิ้ม “ข้าพอเดาได้ จู๋หลินเป็นองครักษ์ที่ดีมาก ทำตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถ”
จู๋หลินพูดอย่างรีบร้อน “แต่ คุณหนูตันจูให้…”
เฉินตันจูพูดขัดเขา “จู๋หลิน ข้ากำลังพูดกับเฟิงหลิน”
อาเถียนตบกำแพงอย่างขุ่นเคือง “จู๋หลินอย่าพูด”
จู๋หลินกำมือ ไม่พูด
“เฟิงหลิน ถึงแม้ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว แต่เจ้ายังเป็นองครักษ์หลวง หากเงินเดือนถูกหัก เจ้าก็ไปขอจากสำนักโขลนวัง เจ้าเป็นองครักษ์ของจวนองค์ชายหกตามรับสั่งของฮ่องเต้ หากมีขาดตกบกพร่องด้านอาหาร เจ้าก็ไปขอจากเส้าฝู่เจี้ยน เจ้ามีผู้บังคับบัญชาการ องค์ชายหกก็มีเสด็จพ่อ เจ้าไปหาพวกเขาอย่างสมเหตุสมผล ไม่มีคนกล้าตำหนิเจ้า แต่มาขอยืมคนของข้าคงไม่เหมาะสมนัก” เฉินตันจูจับกำแพงพูดอย่างจริงจัง ก่อนจะยิ้ม “แต่เจ้าอย่ากลัวเรื่องไม่สมเหตุสมผล หากเจ้าถูกรังแก ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง!”
เฟิงหลินคำนับอีกครั้ง กล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง
เฉินตันจูไม่พูดเรื่องอื่น โบกมือให้เขา จับบันไดลงไป
มองดูหญิงสาวสองคนหายลับไป จู๋หลินจึงมองเฟิงหลิน พูด “ท่านอย่าเข้าใจผิด คุณหนูตันจูไม่ใช่ไม่ดูแลพวกท่าน นางไปหาสำนักโขลนวังกับเส้าฝู่เจี้ยนมาแล้ว พวกท่านไม่ต้องกลัว สำนักโขลนวังจะนำเงินเดือนทั้งปีให้พวกท่าน พวกท่านขาดเหลือสิ่งใดก็ขอสิ่งนั้น พวกเขารู้ว่าคุณหนูตันจูจับตาดูอยู่ ไม่กล้าเพิกเฉยต่อพวกท่านอีก”
เฟิงหลินตบแขนของเขา “จู๋หลิน ข้ารู้ ข้าเข้าใจ” เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ข้ามาหาเจ้า อันที่จริงก็คือการมาหาคุณหนูตันจู เรื่องของพวกเราจะปิดบังนางได้อย่างไร ข้าแค่อยากให้นางช่วยเหลือ แต่ข้าคิดเพียงแค่นางจะให้เงินหรือของกินกับพวกเรา ไม่คิดว่าสิ่งที่นางให้เวลานี้ จะมากกว่าที่ข้าคิด”
ให้เงินเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องง่ายอีกทั้งได้ชื่อเสียง แต่คุณหนูตันจูไม่เสียดายที่จะปะทะกับสองสำนัก จวนองค์ชายหกได้รับประโยชน์ สำนักทั้งสองไม่มีความเสียหาย มีแต่คุณหนูตันจูที่ได้ชื่อเสียงไม่ดี
ชื่อเสียงเสื่อมเสียของคุณหนูตันจูยังอยู่บนหัว สามารถมากกว่าการให้เงินเป็นการส่วนตัว
จู๋หลินมองเฟิงหลิน พูดอย่างจริงจัง “คุณหนูตันจูเป็นคนที่ดีมาก”
เฟิงหลินหัวเราะ “ที่แท้เจ้าชื่นชมคุณหนูตันจูมากเพียงนี้ แต่ก่อนเจ้าเขียนแต่จดหมายบ่น ไม่มีเรื่องดีแม้แต่น้อย”
จู๋หลินหลุบตาต่ำ “แต่ก่อนข้าโง่เขลา”
“ไม่ใช่เจ้าโง่เขลา” เฟิงหลินถอนหายใจเสียงเบา “แต่ก่อนเจ้าไม่ต้องคิดเรื่องเหล่านี้ มีท่านแม่ทัพอยู่”
มีท่านแม่ทัพอยู่ พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ มีท่านแม่ทัพผู้เปรียบเหมือนภูผาอยู่ด้านหลัง ส่วนใหญ่มีแต่คนกลัวพวกเขา
…
ในเวลาเดียวกับที่เส้าฝู่เจี้ยนกำลังส่งของไปยังจวนของเฉินตันจูอย่างคึกคักนั้น พวกเขาก็ส่งสิ่งของเต็มคันรถไปให้จวนองค์ชายหกอย่างไร้เสียง
ล้วนเป็นผลไม้ สุราที่สดใหม่ ไก่ เป็ด ปลา กระต่ายที่ยังกระโดดโลดเต้น อีกทั้งยังมีแกะตัวน้อย
หวังเจียนสำรวจซ้ายขวาหน้าหลังหลายครั้ง พลางมองพลางหัวเราะ
“คนเหล่านั้นบอกว่า องค์ชายหกไม่ใช้ ไม่เป็นอันใด คนข้างกายองค์ชายหกใช้ได้ คนข้างกายองค์ชายหกใช้ก็เพื่อดูแลองค์ชายหกให้ดีขึ้น” เขาบอกต่อคำพูดของขุนนางแห่งเส้าฝู่เจี้ยน ก่อนจะชี้ไปยังเฟิงหลินที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เฟิงหลิน สิ่งเหล่านี้ล้วนให้พวกเจ้า”
เฟิงหลินยิ้มพลางเรียกสหาย “มาๆ อย่าเกรงใจ อย่าเกรงใจ คืนนี้พวกเราย่างแกะตัวน้อย”
หวังเจียนหันเข้าไปมองห้องโถง “องค์ชายหก ถึงแม้คุณหนูตันจูไม่ได้ไปมาหาสู่กับจวนของพวกเรา แต่วันนี้พวกเรากินแกะย่างได้ ท่านดีใจหรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงที่สวมชุดดำยืนอยู่บนทางเดินตอบรับ “ดีใจ”
หวังเจียนหัวเราะ ดีใจอันใดกัน ไปแสร้งทำตัวน่าสงสารกับคุณหนูตันจู หวังให้คุณหนูตันจูมาเยือนด้วยความห่วงใย แต่หญิงสาวแก้ปัญหาด้วยอีกวิธีที่รวดเร็ว ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย!
หวังเจียนสะบัดแขนเสื้อเบาๆ “ความคิดภายในใจล้วนเสียเปล่า…”