ตอนที่ 406 รวมตัวขับไล่
ซื้อวัตถุดิบเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ไปที่วิลล่า
ยังไม่ทันได้เข้าไปที่หลังบ้าน ก็เห็นคุณปู่คุณย่าฟางเล่นเตะลูกบอลเป็นเพื่อนโต้วโต้วอยู่หน้าบ้าน
ทั้งสองผู้เฒ่าเล่นกันอย่างสนุกสนาน
อาหวงเองก็มีความสุข วิ่งไล่ตามลูกบอลไปมาจนหอบลิ้นห้อย
แม่ฟู่เฉียงมีส่วนร่วมในการเตะลูกบอลบ้างเป็นครั้งคราว ส่งเสียงหัวเราะออกมาแบบคนโง่งม
หลินม่ายสั่นกระดิ่งจักรยานของเธอดังกริ๊งๆ จนทุกคนหันมามองทางนี้กันหมด
โต้วโต้ววิ่งเข้ามาด้วยความยินดี วิ่งไปถามไป “แม่จ๋า ซื้อของอร่อยมาไหมคะ?”
หลินม่ายยิ้มแล้วถาม “แอปเปิ้ลกับสาลี่นับเป็นของอร่อยไหมจ๊ะ?”
เด็กน้อยกระโดดไปมาพลางตอบว่า “นับ! นับ!”
คุณยายฟางตบก้นของหล่อน “แค่รู้ว่าจะกินอะไรก็พอ ให้แม่ของเธอเข้ามาเถอะ”
พูดจบก็เปิดประตู
หลินม่านเห็นว่าที่สวนไร้เงาของฟู่เฉียงจึงเอ่ยถาม “ฟู่เฉียงไม่อยู่บ้านเหรอคะ?”
คุณย่าฟางตอบ “อยู่ข้างใน เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลแล้วไปทำความสะอาดน่ะ บอกว่าไม่ให้ทำก็ไม่ฟัง”
หลินม่ายถาม “เขาได้พูดถึงผลการตรวจของพ่อกับแม่ไหมคะ?”
“ไม่เลย เขาแค่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเธอ”
หลินม่ายรีบเข้าไปในบ้าน เห็นฟู่เฉียงเพิ่งถูพื้นเสร็จและกำลังหยิบไม้ถูพื้นออกไปตากแดด
เธอจึงถามขึ้น “เธอมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันเหรอ เกี่ยวกับอาการของพ่อแม่เธอไหม?”
“เกี่ยวกับแม่ครับ ผลการเพาะเชื้อของพ่อยังไม่ออก”
หลินม่ายพยักหน้า “เธอเอาไม้ถูพื้นไปตากเถอะ แล้วค่อยตามไปพูดกับฉันในครัว”
พูดจบก็เดินเข้าไปในครัว เริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเที่ยง
ฟู่เฉียงตากไม้ถูพื้นเสร็จแล้วก็ตามเข้ามา บอกเธอว่าเนื้องอกที่แม่เสียสติเป็นอยู่นั้นไม่ใช่ชนิดร้ายแรง
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรีบผ่าตัด ไม่อย่างนั้นเกรงว่ามันจะแตกแล้วเป็นอันตรายถึงชีวิต
หลินม่ายพยักหน้า “รอสักบ่ายสองให้คุณหมอเข้างาน ฉันจะไปคุยเรื่องการผ่าตัดของแม่เธอที่โรงพยาบาลให้นะ”
ว่าแล้วก็เหลือบมองฟู่เฉียง “เธออย่ากังวลเลย การผ่าตัดของแม่เธอจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี”
ฟู่เฉียงตอบรับในลำคอและเตรียมวัตถุดิบอาหารด้วยกันกับเธอ
เนื่องจากเป็นการเตรียมอาหารชุดใหญ่อย่างกระดูกหมูนึ่งและปลาไหลตุ๋นน้ำแดง มันจึงต้องใช้เวลานาน
มื้อนี้หลินม่ายใช้เวลาทำอาหารไปจนถึงเที่ยงกว่าๆ จึงทำเสร็จ
แม้ใช้เวลานานหน่อย แต่ฟางจั๋วหรานก็เพิ่งกลับมาจากทำงานพอดี
แต่เขาไม่ได้กลับไม่ได้กลับมาคนเดียว ยังกลับมาพร้อมพนักงานขนส่งเครื่องซักผ้าและโทรทัศน์ด้วย
พนักงานขนส่งพวกนี้ทำตามความต้องการ วางเครื่องซักผ้าและโทรทัศน์เสร็จก็รับเงินกลับไป
คุณย่าฟางเห็นแล้วก็บ่นฟางจั๋วหราน “ทำไมถึงซื้อเครื่องซักผ้ามา? ฉันไม่ได้ซักมือไม่เป็นเสียหน่อย”
คุณปู่ฟางโต้กลับอย่างขุ่นเคือง “ย่าของหลานช่างไม่รู้อะไรจริงๆ จั๋วหรานกลัวว่าคุณจะลำบาก ก็เลยตั้งใจซื้อเครื่องซักผ้ามาให้ คุณไม่เห็นคุณค่าก็แล้วไป นี่ยังจะมาดุเขาอีก”
คุณย่าฟางจ้อง “ฉันไม่เห็นคุณค่าตรงไหน? ฉันแค่ไม่อยากให้จั๋วหรานเสียเงิน!”
หลังจากผู้อาวุโสทั้งสองโต้เถียงกัน ทุกคนก็นั่งลงกินข้าว
ขณะกินอาหาร ฟางจั๋วหรานก็พูดว่าเขาหาคนจัดสวนได้แล้ว เดี๋ยวอีกสองวันจะเข้ามาวิลล่าเพื่อสร้างสวนผักตามแบบของหลินม่าย
หลินม่ายเอ่ยชวนให้ฟู่เฉียงกับแม่กินเยอะๆ จากนั้นจึงตอบฟางจั๋วหราน “ให้คนจัดสวนออกแบบชิงช้าที่สวนหน้าบ้านให้ด้วยนะคะ จะได้เล่นชิงช้ากันสนุกๆ ตอนที่มีเวลาว่าง”
ฟางจั๋วหรานตอบรับอย่างดี
คุณปู่ฟางเอ่ยขึ้น “สวนใหญ่ขนาดนี้ไม่มีซุ้มองุ่นก็น่าเสียดาย เพิ่มซุ้มองุ่นด้วยเถอะ”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้ารับอีกครั้ง
คุณย่าฟางพูดว่า “ฉันก็อยากจะขอให้ไปหาช่างอิฐสองคนมาเปลี่ยนเตาในห้องครัวเป็นเตาไฟแบบชนบทเหมือนกัน ฉันไม่ชินกับเตาถ่าน ทำอาหารแต่ละทีใช้เวลามากเกินไป ไม่ดีเท่าเตาไฟที่บ้านนอก ไฟแรงดี ทำอาหารไม่นานก็เสร็จแล้ว”
ฟางจั๋วหรานส่ายหน้า “อย่าเปลี่ยนเลยครับ ทางมหาวิทยาลัยของผมแจ้งว่าอีกสองเดือนจะมีแก๊สแล้ว ใช้เตาแก๊สสะดวกกว่าเตาไฟอีกครับ”
คุณย่าฟางสงสัยจึงเอ่ยถามว่าแก๊สคืออะไร
แม้นางจะเป็นคนที่มีการศึกษา แต่ฟางจั๋วหรานอธิบายอยู่นาน นางก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จและเก็บล้างเรียบร้อย หลินม่ายก็กำลังจะกลับไป
คุณย่าฟางรู้นิสัยการนอนกลางวันของเธอ จึงพูดว่า “ม่ายจื่อ อย่าเพิ่งรีบกลับบ้าน ฉันจัดห้องให้เธอนอนกลางวันแป๊บหนึ่งแล้ว ต่อไปเธอก็นอนกลางวันที่นี่แล้วค่อยไปสิ”
หลินม่ายโบกมือ “สองสามวันนี้คงไม่มีเวลานอนกลางวันค่ะ ฉันต้องกลับไปใช้เวลาเรียนให้ดีที่สุด ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว”
คุณย่าฟางจึงไม่ได้รั้งเธอไว้อีกต่อไป
ในใจของเธอแม้ท้องฟ้าจะกว้างใหญ่ แต่การเรียนรู้กว้างใหญ่ที่สุด
ฟางจั๋วหรานส่งหลินม่ายที่หน้าประตู พลางกล่าวขอโทษ “ก่อนหน้านี้ผมสัญญาว่าจะซื้อเครื่องซักผ้าให้คุณ แต่…ครั้งนี้ซื้อมาเครื่องเดียว ให้คุณปู่คุณย่าก่อน ครั้งต่อไปจะซื้อให้คุณนะ”
หลินม่ายเห็นเขาตอบอย่างจริงจังจึงยิ้มออกมา “มีของดีอะไรก็ควรให้คุณปู่คุณย่าอยู่แล้วค่ะ เรื่องนี้จำเป็นต้องให้คุณมาอธิบายเหรอ? ฉันยังอายุน้อย ใช่ว่าซักผ้าไม่เป็น แล้วถึงจะซักไม่เป็น ฉันก็เอาเสื้อผ้ามาซักกับเครื่องของคุณปู่คุณย่าที่นี่ได้ ไม่ต้องให้คุณซื้อให้ฉันใหม่อีกเครื่องหรอก มันเปลืองเงินเกินไป”
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะเธอ มองดูเธอปั่นจักรยานออกไปไกลจึงปิดประตูแล้วกลับเข้าไปในบ้าน
หลินม่ายปั่นจักรยานกลับบ้าน ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คนที่รู้เบอร์โทรศัพท์บ้านเธอมีไม่มาก นอกจากฟางจั๋วหรานกับคุณปู่คุณย่าฟาง ก็มีแค่พนักงานฝ่ายบริหารของเธอเอง
เรื่องที่พนักงานฝ่ายบริหารเหล่านี้โทรหาเธอได้ก็ต้องเป็นเรื่องธุรกิจ
ดังนั้นโทรศัพท์สายนี้น่าจะมาจากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า คงมีอะไรที่ต้องการให้เธอตัดสินใจเป็นแน่
เธอรีบเปิดประตูเข้าไปรับสาย
เมื่อรับสายแล้วก็มีเสียงร้อนรนของเถาจืออวิ๋นดังออกมาจากปลายสาย “ม่ายจื่อ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
หลินม่ายปลอบเธอ “พี่อย่าลนค่ะ ค่อยๆ พูด”
“เมื่อกี้นี้ผู้จัดการแผนกการขายของห้างทุกแห่งให้เราย้ายร้านออกไปภายในสามวัน ห้างเจียงเฉิงยิ่งแล้วใหญ่ เขาให้เราย้ายร้านออกไปภายในบ่ายวันนี้”
หัวใจของหลินม่ายพลันบีบคั้น “พี่ได้ถามไหมคะว่าสาเหตุคืออะไร?”
“บอกว่าได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้จัดการย้ายเราออกไป”
“เราทำสัญญากับห้างแล้วนี่คะ ถ้าผิดสัญญาก็ต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหาย”
เถาจืออวิ๋นตอบ “พวกเขายินดีจ่ายค่าเสียหายให้”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “ฉันจะไปดูที่ห้างเจียงเฉิงแล้วกันค่ะ”
ตอนที่เธอมาถึงห้องทำงานของผู้จัดการข่งที่ห้างเจียงเฉิง ก็เห็นว่าเหรินเป่าจูกำลังเจรจากับผู้จัดการข่งอยู่
เหรินเป่าจูเห็นหลินม่ายแล้วจึงเอ่ยเรียก “ผู้อำนวยการหลิน” ด้วยดวงตาที่แดงเล็กน้อย
หลินม่ายรู้ ว่าหล่อนคงโมโห
หล่อนเป็นเพียงแค่หญิงสาวอายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดเท่านั้น เมื่อเจอการโจมตีครั้งใหญ่และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม จึงยากที่จะทำใจยอมรับ
หลินม่ายพูดเบาๆ “ที่นี่ฉันจัดการเอง คุณยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ไปกินข้าวเที่ยงก่อนนะ แล้วก็กินที่ดีๆ หน่อย”
เหรินเป่าจูพยักหน้า มองผู้จัดการข่งแล้วหมุนตัวจากไป
เธอซื้อหมั่นโถวสองลูกตามถนนใหญ่แล้วรีบไปที่ห้างลิ่วตู้เฉียว อยากเจรจากับทางลิ่วตู้เฉียว เพื่อไม่ให้ Unique ต้องโดนถอดออกจากห้าง
ภายในห้องผู้จัดการข่ง
ผู้จัดการข่งไม่รอให้หลินม่ายเปิดปากพูดก็เริ่มพูดขึ้นมาก่อน “มันเป็นความต้องการของเบื้องบนที่ให้คุณเอาร้านออกน่ะ คุณมาเถียงกับผมก็ไม่มีประโยชน์หรอก ผมจะจ่ายเงินชดเชยให้คุณตอนนี้”
ตอนเซ็นสัญญาครั้งแรกมีประสบการณ์ที่เฮ่อเชิ่งอยากได้ร้านมาก่อน ค่าเสียหายที่ต้องชดเชยให้หลินม่ายจึงไม่น้อย
ใครก็ตามที่ผิดสัญญาต้องจ่ายค่าชดเชยให้ฝ่ายตรงข้ามห้าหมื่นหยวน
คนรวยในยุคนี้ถือเป็นคนที่มีอิทธิพล เงินห้าหมื่นหยวนถือเป็นเงินที่มากมายเหลือคณานับ
ผู้จัดการข่งกลับเสนอจ่ายค่าชดเชยให้ทันทีโดยไม่กะพริบตา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีการยอมประนีประนอมในเรื่องนี้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เบื้องบนนี่มันใครกันหว่า ถึงมีอิทธิพลขนาดสั่งให้ร้านของม่ายจื่อโดนถอดออกจากห้างได้แบบนี้
ไหหม่า(海馬)