ในห้องเงียบสงบ เสียงเคาะบอกเวลาดังขึ้นมาแต่ไกล
หยางอี๋เหนียงพลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย
ภาพสายตาอันเฉื่อยชาของเฉียวเหลียนฝังได้ปรากฏให้นางเห็นอยู่ตลอดเวลา
ป้าหยางที่นอนอยู่ข้างล่างเตียงได้ฟังเสียงขยับตัวของคนบนเตียงก็อดถอนหายใจในใจไม่ได้
“อี๋เหนียง ให้บ่าวรินชาร้อนๆ ให้ท่านสักถ้วยไหมเจ้าคะ” นางหยิบเสื้อมาคลุมแล้วลุกขึ้นนั่ง
ถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับอยู่ดี
หยางอี๋เหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเพียง “อืม” เบาๆ
ป้าหยางยกน้ำชามาแล้วหยิบตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะเตียงเตาริมหน้าต่างมาด้วย
หยางอี๋เหนียงเอนพิงหัวเตียงพลางรับถ้วยชามาด้วยท่าทางเหม่อลอย
ป้าหยางจัดเสื้อให้เรียบร้อยแล้วนั่งลงข้างเตียง “อี๋เหนียง ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้คิดอะไร!” หยางอี๋เหนียงเอ่ยเสียงเรียบ ก้มหน้าจิบชาก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “ป้าหยาง เจ้าว่าการที่ส่งเฉียวอี๋เหนียงไปอารามต้าเจวี๋ยเป็นความคิดของฮูหยินหรือว่าท่านโหวกันแน่”
ป้าหยางไม่เข้าใจ “จะเป็นความคิดของใครก็เหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ สุดท้ายเฉียวอี๋เหนียงก็ต้องถูกส่งไปอารามต้าเจวี๋ยอยู่ดี”
“มันจะเหมือนกันได้อย่างไร” หยางอี๋เหนียงส่ายหัวเล็กน้อย พูดเสียงเบาราวกับยุง “หากเป็นความคิดของฮูหยิน ก็ถือว่าท่านโหวเห็นแก่ความสัมพันธ์อันเก่าก่อนที่มีต่อกัน แต่หากเป็นความคิดของท่านโหว…” เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างกังวล นิ้วเรียวบีบถ้วยชาแน่นจนซีดขาว
ป้าหยางได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่เข้าใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังพูดถึงใครหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้พูดถึงใคร ไม่ได้พูดถึงใคร” หยางอี๋เหนียงมีสีหน้าสับสน ยิ้มแล้วยื่นถ้วยชาให้ป้าหยาง “นี่ก็ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปคารวะฮูหยินอีก” พูดจบก็ล้มตัวลงนอน
ป้าหยางก้มลงมองถ้วยชาในมือที่แทบจะยังไม่ได้ดื่ม ย้ายตะเกียงออกจากมุ้งด้วยสีหน้าสับสน
ชิวหงเองนอนไม่หลับเหมือนกัน พลิกตัวไปมาอยู่ข้างล่างเตียง
เหวินอี๋เหนียงอ้าปากหาวอย่างง่วงงุน “หากเจ้านอนไม่หลับก็เก็บผ้าปูที่นอนไปนอนที่เตียงเตาริมหน้าต่างของห้องจัดเลี้ยง ทางฝั่งตะวันออกมีกำแพงอุ่นทำให้ไม่หนาว จะได้ไม่ต้องมารบกวนการนอนของข้า”
ชิวหงได้ยินน้ำเสียงอันอบอุ่นของเหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงเองก็นอนไม่หลับเหมือนบ่าวไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เหวินอี๋เหนียงไม่ได้พูดอะไร
ชิวหงพูดขึ้นมาว่า “อี๋เหนียง อารามต้าเจวี๋ยเป็นสถานที่แบบไหนกันเจ้าคะ ทำไมพอเฉียวอี๋เหนียงกลับมาถึงได้ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บ่าวย่อเข่าคำนับนาง นางก็ทักทายบ่าวตอบ ทำเอาบ่าวตกใจกลัวเป็นอย่างมาก”
เหวินอี๋เหนียงฟังนางพูดพลางถอนหายใจ “อย่าพูดเรื่องนี้เลย รีบนอนเถิด! ต่อไปหากเจ้าได้เจอกับเฉียวเหลียนฝังก็หลีกไปให้ไกลก็พอแล้ว” นางนึกถึงท่าทางที่ดูระมัดระวังของเฉียวเหลียนฝัง “นางพึ่งจะกลับมาคงจะเคยชินกับนิสัยที่ถูกปลูกฝังในอารามจึงยังปรับตัวไม่ได้ ผ่านไปอีกสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น”
“เจ้าค่ะ” ชิวหงล้มตัวลงนอน หลังจากนั้นพอได้เจอกับเฉียวเหลียวฝังก็เอาแต่จ้องมอง นางพบว่าท่าทางของเฉียวเหลียนฝังดูนุ่มนวลมากขึ้น ท่าทีก็ไม่ได้หยาบกระด้างเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ว่าฉินอี๋เหนียงกับหยางอี๋เหนียงไม่ได้ให้ความสนใจเฉียวอี๋เหนียงมากนัก มีเพียงเหวินอี๋เหนียงที่ทักทายนางด้วยรอยยิ้มและพูดคุยด้วยพอเป็นพิธี
เฉียวเหลียนฝังไม่ได้มีท่าทางเยาะเย้ยหรือเบ้ปากเหมือนเมื่อก่อน นางมักจะพยักหน้าด้วยท่าทางเยือกเย็น จากนั้นก็เดินกลับไปที่เรือนของตัวเองและไม่ออกมาทั้งวัน
ชิวหงยังสังเกตเห็นอีกว่าหยางอี๋เหนียงยังคงมาทุกๆ สี่ถึงห้าวันเช่นแต่ก่อน นอกจากทุกเช้าเย็นจะนัดเหวินอี๋เหนียงไปคารวะฮูหยินแล้ว เวลาว่างก็ยังเอาเข็มกับด้ายมาปักด้วย ทำไปด้วยพลางคุยกับเหวินอี๋เหนียงไปด้วย แล้วยังพูดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตเหล่านั้น เดิมทีเหวินอี๋เหนียงไม่เก่งเรื่องการใช้เข็มกับด้ายอยู่แล้ว และไม่มีความอดทนที่จะนั่งพูดคุยอยู่บนเตียงเตาเป็นเวลานานได้ นางมักจะพูดไปพูดมาก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ จากนั้นก็เดินออกไปเป็นเวลานาน ให้อวี้เอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนหยางอี๋เหนียงในห้อง แต่หยางอี๋เหนียงก็ไม่ได้โมโหอะไร เพียงนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องทำงานเย็บปักพลางรอเหวินอี๋เหนียงกลับมา ท่าทางสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก
“อี๋เหนียง ท่านว่าหยางอี๋เหนียงกำลังปักอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ชิวหงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “วันๆ เอาแต่เย็บปัก แต่ก็ไม่เห็นว่านางจะปักออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่พูดคุยกับท่านอย่างเดียว…”
เหวินอี๋เหนียงกำลังค้นเสื้อผ้าในหีบและตู้เสื้อผ้าอยู่กับอวี้เอ๋อร์
ของขวัญวันตรุษจีนที่สกุลพี่เขยใหญ่ส่งมาจะมาถึงวันพรุ่งนี้เช้า ตามหลักแล้วสกุลเซ่าจะส่งป้ารับใช้ผู้ดูแลที่มีหน้ามีตามากับรถเพื่อมาคารวะสืออีเหนียง เหวินอี๋เหนียงกลัวว่าทางฝั่งสกุลเซ่าจะมาถึงแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ อาจจะบังเอิญเจอตอนที่นางไปคารวะสืออีเหนียงพอดีจึงกังวลว่าจะแต่งตัวอย่างไรให้ดูดีมีสกุลเพื่อไม่ให้เสียหน้า
เมื่อได้ยินดังนั้นก็จ้องนางตาเขม่นทันที พูดตัดบทสนทนา “หากเจ้าว่างขนาดนี้ก็ไปช่วยพวกสาวใช้น้อยกวาดลานไป!”
เหวินอี๋เหนียงยังกลัวอีกว่าป้ารับใช้ผู้ดูแลคนนั้นจะเกิดอยากมาดูเรือนของนาง เลยใช้ข้ออ้างว่าเนื่องจากต้องฉลองวันตรุษจีนแล้วให้สาวใช้น้อยและคนใช้แรงงานในเรือนมารวมตัวกันเพื่อทำความสะอาด
“อี๋เหนียง” ชิวหงมีท่าทางน้อยใจ มองไปที่กองเสื้อผ้าที่กองสุมราวกับภูเขาลูกเล็กแล้วพูดขึ้นมาว่า “บ่าวก็ช่วยท่านหาเสื้อผ้าอยู่นี่ไงเจ้าคะ”
“แต่ก็ยังปิดปากเจ้าไม่ได้อยู่ดี!” เหวินอี๋เหนียงพูดพลางดึงชุดผ้าไหมหังโจวสีเขียวเข้มตัวใหม่มาจากด้านล่างของหีบ “เจ้าว่าชุดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ตงหงก็เปิดผ้าม่านแล้วเดินเข้ามา เมื่อเห็นชิวหงกับอวี้เอ๋อร์ก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นมาว่า “มีเรื่องอันใด”
ตงหงลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินไปข้างหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “อี๋เหนียง ท่านโหวไปเรือนเฉียวอี๋เหนียงแล้วเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีวันนี้ก็เป็นวันที่เฉียวอี๋เหนียงต้องปรนนิบัติรับใช้ ท่านโหวไปเรือนนางก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว” จากนั้นก็สุ่มดึงได้เสื้อกั๊กสีแดงกุหลาบออกมาจากหีบ “พวกเจ้าคิดว่าชุดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ชิวหงกับตงหงส่งสายตาให้กัน ยิ้มแล้วพูดว่า “ชุดสีเขียวเข้มสวยกว่าเจ้าค่ะ เหมาะกับกระโปรงแปดเหลี่ยมสีดอกสนลายผีเสื้อชมดอกไม้ ทั้งดูสง่าและไม่แข็งทื่อเกินไปเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็หากระโปรงแปดเหลี่ยมสีดอกสนลายผีเสื้อชมดอกไม้ออกมา”
ชิวหงมองกระโปรงแปดเหลี่ยมสีดอกสนลายผีเสื้อชมดอกไม้ที่อยู่ในมือเหวินอี๋เหนียงแล้วส่งสายตาให้ตงหงก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงยืนนานขนาดนี้คงจะเมื่อยแล้ว ให้บ่าวพาอี๋เหนียงไปนั่งพักที่ห้องด้านในสักครู่เถิด ให้ตงหงกับอวี้เอ๋อร์ช่วยกันหาอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
“เจ้าอยากจะอู้งานมากกว่ากระมัง!” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วไปที่ห้องด้านในพร้อมกับชิวหงที่หอบเสื้อผ้ากองใหญ่ไปด้วย “แล้วก็เอาข้ามาเป็นโล่กำบัง!”
ชิวหงเพียงแค่หัวเราะ
******
ชุ่ยเอ๋อร์มองสาวใช้น้อยที่มารายงานด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องจริงเจ้าค่ะ” สาวใช้น้อยพูดเสียงเบาว่า “ท่านโหวไปที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียงแล้วเจ้าค่ะ”
สีหน้าของชุ่ยเอ๋อร์หม่นหมองเล็กน้อย นางรีบเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน
พบกับฉินอี๋เหนียง
มุมปากของนางเผยให้เห็นรอยยิ้ม ใบหน้าดูใจดีและเป็นมิตร พึ่งเปิดผ้าม่านออกมาจากห้องบูชาพระโพธิสัตว์ที่เรือนหน่วนเก๋อ
“มีอะไรหรือ” ช่วงนี้นางอารมณ์ดีอย่างมาก มองอะไรก็เจริญหูเจริญตาไปหมด “ทำหน้าเหมือนกับว่ามีคนติดเงินเจ้าสามร้อยตำลึงแล้วไม่คืน”
“อี๋เหนียง” ชุ่ยเอ๋อร์พูดด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านโหวไปเรือนของเฉียวอี๋เหนียงแล้วเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินอี๋เหนียงพลันแข็งทื่อขึ้นทันที
นางบีบลูกประคำไม้กฤษนาแน่น จากนั้นก็หันกลับเข้าไปที่เรือนหน่วนเก๋อ
******
สืออีเหนียงที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อแขนยาวสีแดงกุหลาบนั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างที่ห้องด้านใน ใบหน้าขาวนวลยังคงมีรอยแดงที่เกิดขึ้นตอนอาบน้ำร้อน ราวกับดอกบัวแดงที่บานสะพรั่งในเดือนหก ในความบริสุทธิ์นั้นแฝงไว้ด้วยความสดใส
“ผมของฮูหยินสวยมากเลยเจ้าค่ะ” หู่พั่วยืนอยู่หน้าตั่งนั่ง ใช้หวีที่ทำจากไม้หวงหยางช่วยสางผมที่พึ่งจะแห้งให้นาง “เหมือนกับผ้าแพรเลยเจ้าค่ะ”
“แต่จะสระผมแต่ละทีก็ยุ่งยากเป็นอย่างมาก” สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบผมสีดำขลับ
“ใครจะเหมือนฮูหยินที่สระผมทุกสองถึงสามวันล่ะเจ้าคะ” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ชอบทาน้ำมันและน้ำอบ” คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “แล้วก็ไม่ปักดอกไม้ด้วยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้ม “ใครบอกว่าข้าไม่ปักดอกไม้ ข้าก็ปักดอกพุดซ้อนกับดอกกล้วยไม้หยกไม่ใช่หรือ”
“แต่ท่านปักบนชายเสื้อของท่านต่างหากเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนพูดไปหัวเราะไป หงซิ่วก็เดินเข้ามาพอดี
“ฮูหยิน ท่านโหวไปที่เรือนเฉียวเหลียนฝังแล้วเจ้าค่ะ”
มือของหู่พั่วที่กำลังสางผมอยู่ได้หยุดชะงักทันที
“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกำชับหงซิ่วว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด!”
วันนี้เป็นเวรของหงซิ่ว สืออีเหนียงไม่ชอบให้มีคนเฝ้าเวรยามอยู่ในห้อง คนเฝ้าเวรยามจึงมักจะพักผ่อนอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างที่ห้องปีกตะวันออก บอกว่าเป็นการเฝ้าเวรยามแต่ความจริงแล้วก็เหมือนกับการพักผ่อนอยู่ที่ห้องหลักหนึ่งคืน ซ้ำยังมีไส้เดือนดินให้ความอบอุ่น เดิมทีคนมักจะบอกว่างานนี้เป็นงานที่ลำบากแต่ตอนนี้ได้กลายเป็นงานสบายแล้ว
นางยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” ก่อนจะถอยออกไป
หู่พั่วเห็นดังนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น “ฮูหยินคืนนี้ให้บ่าวเฝ้าเวรยามเถิด เหมือนกับเมื่อก่อนที่นอนอยู่ด้านล่างเตียง แล้วยังได้พูดคุยกันอีกด้วย”
“เจ้ากลัวว่าเจ้ายังทำงานตอนกลางวันไม่มากพอหรือ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “พรุ่งนี้ต้องแจกสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นลูกกวาด ธูป เทียน โคมไฟ ดอกไม้และต้นไม้สำหรับเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าเองก็รีบไปพักผ่อนเถิด มีอะไรจะพูดก็เอาไว้ฉลองตรุษจีนเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
“ฮูหยิน!” หู่พั่วอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
สืออีเหนียงรู้ว่านางกำลังกังวลอะไร แต่มีบางเรื่องที่ใช่ว่าเพียงตีโพยตีพายหรือกังวลแล้วจะสามารถหลบหลีกได้
นางยิ้มพลางรับหวีมาจากมือหู่พั่ว “เจ้าไปพักผ่อนเถิด!”
หู่พั่วพยักหน้าเล็กน้อย ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
เดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าวก็อดหันหน้ากลับไปมองไม่ได้
“ฮูหยิน!” นางคุกเข่าลงต่อหน้าสืออีเหนียง “หยางอี๋เหนียงเข้ามาแล้ว ท่านว่าให้ทุกคนสละเวลาให้หยางอี๋เหนียงคนละวัน แต่ท่านโหวบอกว่าหากเป็นเช่นนี้ก็จะมีเวลาอยู่กับท่านไม่ถึงครึ่งเดือน ดังนั้นจึงได้ลดเวลาของบรรดาอี๋เหนียงเหลือคนละสามวัน…ตอนที่ท่านไว้ทุกข์ท่านโหวก็พักอยู่ที่เรือนท่าน ครั้งนี้ท่านก็…”
ถึงอย่างไรเสียนางก็เป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน หน้าจึงแดงระเรื่อ บางคำก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
“ข้าเป็นคนกำหนดวันเอง จะไปหรือไม่ไปก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของท่านโหว” สายตาของนางค่อนข้างซับซ้อน “มีบางเรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจ” เสียงของนางค่อยๆ เบาลง “ข้ามีพันวิธีหมื่นเหตุผลที่จะรั้งให้เขาอยู่ข้างกายข้า แต่เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย”
หู่พั่วมีสีหน้าประหลาดใจ
สืออีเหนียงย้ำกับนาง
“เพราะว่าเขาเป็นท่านโหวหรือ” นางมีสีหน้าเศร้าหมอง “เขาเป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงดูข้ามาหรือ หรือเป็นคนเคียงหมอน…สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่ควรดึงรั้ง”
ห้องที่เงียบสงัดสะท้อนเสียงที่หมดหนทางของสืออีเหนียง มีความเศร้าและความเจ็บปวดในใจของหู่พั่ว ดวงตาของนางหม่นหมอง ไม่สามารถหาคำพูดใดมาเกลี้ยกล่อมได้อีก
“ไปพักผ่อนเถิด!”
สืออีเหนียงตบมือหู่พั่วเบาๆ
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าท่าทางของนางคล้ายกับไท่ฮูหยินเป็นอย่างมาก
หรือว่าความคิดของตนจะแก่มากกันนะ
สืออีเหนียงยกยิ้มเล็กน้อย
หงซิ่วรีบวิ่งเข้ามา “ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ น้ำเสียงดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ฮูหยิน!” หู่พั่วจับมือสืออีเหนียงเอาไว้แน่น แววตาของนางเผยให้เห็นรอยยิ้มอันร่าเริงที่ไม่สามารถหยุดได้ “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย ความสดใสเจืออยู่ในแววตาของนางโดยไม่รู้ตัว