ซิ่วหยวนยืนอยู่อีกฝั่งของม่าน เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดของเฉียวเหลียนฝังดังขึ้นอย่างชัดเจน
ดวงตาของนางหม่นหมอง เสียงอ่อนโยนที่แฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นในหู
“…บุรุษควรใส่ใจและพึงปฎิบัติตามคำสอนสามหลักห้าคุณธรรม ส่วนสตรีควรพึงใส่ใจหลักการสามคล้อยตามสี่คุณธรรม เมื่อเจ้าไปอารามต้าเจวี๋ย ทุกอย่างที่ได้พบได้เห็นควรจะทำให้เจ้าเข้าใจขึ้นมาบ้างจึงจะถูก เรื่องที่ผ่านมาข้าจะไม่พูดถึง ครั้งนี้ที่รับเจ้ากลับมาฉลองตรุษจีนเป็นความต้องการของฮูหยิน ข้าเพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเรียนรู้การมีคุณธรรมจากฮูหยินและไตร่ตรองตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ผู้อาวุโสจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าจนไม่สบายใจทั้งวันทั้งคืน…”
ซิ่วหยวนถอนหายใจเบาๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดม่านแล้วเดินเข้ามา
เฉียวเหลียนฝังหมอบลงบนโต๊ะที่อยู่บนเตียงเตา ถ้วยชาสีเหลืองคาดฟ้าลายครามที่อยู่ข้างมือยังคงร้อนอยู่
“คุณหนู” ซิ่วหยวนเดินเข้ามาอย่างเบาเท้า
เฉียวเหลียนฝังเงยหน้าขึ้น สีที่ถูกเติมแต่งบนใบหน้าอย่างงดงามเลือนหายไปหมดแล้ว
นางมองสาวใช้ข้างกายผู้นี้ที่มักจะยืนเคียงข้างนางอยู่เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลยิ่งกว่าเดิม
“เขาพูดถูก ร่างกายเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากบิดามารดา ข้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับอกตัญญู…”
ซิ่วหยวนเห็นว่าจิตใจของนางอ่อนแอและหดหู่ยิ่งนัก จึกรีบเรียกสาวใช้น้อยให้ตักน้ำเข้ามา แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้นาง เอ่ยปลอบนางด้วยความหวังดีว่า “ท่านโหวกำลังโกรธ ท่านไม่ควรเก็บคำพูดของเขามาใส่ใจ รอให้ผ่านไปอีกสักหน่อย พอท่านโหวหายโกรธแล้วก็จะรู้เองว่าคุณหนูเป็นคนอย่างไรเจ้าค่ะ!”
เฉียวเหลียนฝังส่ายหน้าเล็กน้อย ดวงตาของนางเผยให้เห็นถึงความว่างเปล่า
“ข้านึกถึงตอนเด็กๆ ท่านลุงบอกว่าครอบครัวข้าไม่มีผู้สืบทอดจึงได้เอาทรัพย์สินทั้งหมดที่แบ่งให้กับท่านพ่อกลับคืนไป แม้ว่าของกินของใช้จะเป็นของส่วนกลาง แต่ก็ไม่พอที่จะได้กินของอร่อยหรือได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ท่านแม่กลัวว่าหากข้าแต่งกายไม่ดีจะโดนญาติพี่น้องหัวเราะ แต่ก็ไม่มีเงินมากพอที่จะขอให้อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการเย็บปักทำเสื้อผ้าให้ ตอนกลางคืนมักจะเอาผ้าห่มมาปิดหน้าต่างแล้วจุดตะเกียงทำเสื้อผ้าให้ข้า ทุกวันเมื่อข้าตื่นมากลางดึกท่านแม่ก็จะยิ้มแล้วกล่อมให้ข้ารีบนอน ข้ายังจำได้ว่าภายใต้แสงไฟดวงตาของท่านแม่อ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อได้เห็นในใจก็พลอยรู้สึกอบอุ่น…” ขณะที่นางกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีตเหล่านั้น ใบหน้าก็ค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ “ในฤดูร้อน เรือนอื่นก็จะมีก้อนน้ำแข็งไว้คลายร้อน แต่เรือนของเราไม่มี ข้าไม่รู้ความจึงเอาแต่โวยวายว่าอากาศร้อน ท่านแม่จึงคอยพัดให้ข้าตลอดทั้งคืน…”
สาวใช้น้อยยกน้ำร้อนเข้ามา ซิ่วหยวนช่วยนางล้างมือล้างหน้า นางเหมือนกับหุ่นกระบอกที่ปล่อยให้ซิ่วหยวนจัดการได้ตามใจชอบ
“…มีครั้งหนึ่งพี่หญิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องข้ากลับมา ท่านป้าก็เอาขนมเถาซูที่ได้รับพระราชทานจากในวังมาต้อนรับนาง ข้าอาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ได้สนใจแอบหยิบมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อหนึ่งชิ้น สุดท้ายก็ถูกพี่หญิงสี่เอาไปฟ้องท่านป้าต่อหน้าป้ารับใช้ผู้ดูแลของพี่หญิงใหญ่ ท่านป้าโกรธมาก ให้ป้ารับใช้ลากข้าไปหาท่านแม่ ข้าตกใจแทบตาย ท่านแม่ผลักป้ารับใช้ผู้นั้นออกไปแล้วกอดข้าเอาไว้แน่น ท่านแม่ที่ไม่เคยมีเรื่องกับท่านป้าใหญ่ กลับต้องมามีเรื่องกับท่านป้าใหญ่ก็เพราะข้าในครั้งนั้น จนท่านป้าสั่งเฆี่ยนป้ารับใช้ผู้นั้นที่ลากข้ายี่สิบที ท่านแม่ถึงยอมเลิกรา”
ซิ่วหยวนนั่งฟังทั้งน้ำตา
“คุณหนู” นางพยุงเฉียวเหลียนฝังมานั่งบนเตียงแล้วปรนนิบัตินางพักผ่อน
เฉียวเหลียนฝังนอนลงอย่างเงียบๆ
“ซิ่วหยวน” เสียงของนางเบาราวกับสายลมก็มิปาน “เจ้าว่านี่ใช่สิ่งที่ชาวพุทธเรียกกันว่าเวรกรรมหรือไม่” นางนอนตะแคงข้าง สายตามองตรงไปที่ซิ่วหยวน “เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้ยินท่านป้าบอกว่าไม่รู้ว่าบุตรสาวใครจะมีวาสนาได้แต่งงานเป็นภรรยาเอกคนถัดไปของหย่งผิงโหว หากอายุยังน้อย อย่างน้อยก็คงจะได้เป็นขุนนางระดับสาม ตอนนั้นข้าคิดว่าพี่น้องข้ายังไม่มีใครมีวาสนาเช่นนี้ เมื่อเกิดความคิดขึ้นมาข้าก็เลือกเดินไปจนสุดทาง...” หางตาของนางพลันมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา “…พอพลาดพลั้งก็หันกลับหลังไม่ได้แล้ว!”
“คุณหนู!” ซิ่วหยวนไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป หมอบลงที่หัวเตียงแล้วร่ำไห้ “ทั้งหมดเป็นเพราะฮูหยิน นางพูดยุยงท่านลับหลังนายหญิงเจ้าค่ะ…”
“ยุยง!” เฉียวเหลียนฝังยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นกลับเหมือนภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง “เป็นข้าเองที่โง่เขลาเอง จะมาโทษว่าผู้อื่นยุยงได้อย่างไร…ข้าลืมท่านแม่ที่ลำบากตรากตรำ ลืมหน้าที่ของบุตรสาว เอาแต่คิดถึงความฝันที่มั่งคั่งร่ำรวย จะไปโทษผู้อื่นได้อย่างไร!”
“ตอนนั้นแม้ว่าข้าจะอิจฉาบรรดาพี่น้องที่แต่งตัวดีกว่าข้า แต่ข้าก็มีท่านแม่ที่พึ่งพาได้ตลอดชีวิต ในใจจึงรู้สึกสงบและมั่นคง” นางหลับตาลง ดื่มด่ำไปกับความทรงจำ “ยามฤดูร้อนเมื่อดอกมะลิหน้าเรือนเบ่งบานสะพรั่ง ท่านแม่ก็มักจะนำหนังสือที่ท่านพ่อเหลือทิ้งไว้มาตากแดด ข้ายังจำได้ว่ากลิ่นของการบูรกับดอกมะลิผสมกันนั้น ส่งกลิ่นแพร่กระจายเป็นวงกว้างแต่ก็เบาบาง ทำให้ใจคนพลอยสงบไม่น้อย…”
นางพูดไปพูดมาก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด
ซิ่วหยวนปาดน้ำตา เดินออกมาจากห้องด้านในอย่างระมัดระวัง เจอกับจูหรุ่ยที่กำลังยกขนมเข้ามาพอดี
“ไอ๊หยา!” นางพูดอย่างสงสัยว่า “ทำไมพี่ซิ่วหยวนถึงมายืนอยู่ตรงนี้” นางมองไปที่ประตูที่มีม่านปิดอยู่ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถเห็นภายในห้องได้ “ข้ามาสายอย่างนั้นหรือ ต้องโทษท่านป้าในครัวที่หาขนมกุ้ยฮวาไม่เจอสักที มิเช่นนั้นก็ทำขนมเสร็จไปตั้งนานแล้ว”
“ไม่ต้องแล้ว” ซิ่วหยวนพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ขนมพวกนี้เจ้าเอากลับไปแบ่งกับพวกสาวใช้น้อยเถิด!” แล้วกำชับสาวใช้น้อยที่อยู่ข้างๆ ว่า “เอาที่นอนมาให้ข้าด้วย คืนนี้ข้าจะเฝ้าเวรยาม”
จูหรุ่ยเห็นว่าบรรยากาศแปลกๆ สีหน้าของนางเปลี่ยนไป รีบดึงแขนเสื้อของซิ่วหยวน “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าท่านโหว…”
ซิ่วหยวนพยักหน้าเล็กน้อย
ตนรู้ว่าวันนี้เป็นวันปรนนิบัติของเฉียวเหลียนฝัง ดังนั้นจึงช่วยนางมวยผมเป็นพิเศษ และเปลี่ยนเสื้อแขนยาวสีชมพูให้นางดูเปราะบางและอ่อนหวานมากขึ้น ใครจะไปรู้ว่าท่านโหวจะมานั่งเพียงแค่ครึ่งถ้วยชาแล้วก็จากไป แล้วยังกล่าวตักเตือนยาวเหยียด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แล้วนึกถึงคำพูดของเฉียวเหลียนฝังเมื่อครู่ ในใจของนางรู้สึกไม่ค่อยดี คิดว่าคุณหนูของตัวเองกับท่านโหวเหมือนจะเดินกันคนละทาง ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลกันออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ…
“ท่านโหวกลับเรือนหลักไปแล้ว” นางพูดเสียงเบา
น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหมดหนทางและความเศร้าอย่างปกปิดไปไม่
“เป็นไปได้อย่างไร” จูหรุ่ยประหลาดใจ
ท่านโหวคิดว่าคุณหนูเอาแต่ใจ ไม่ใจกว้างและมีคุณธรรมเหมือนฮูหยิน แล้วยังให้คุณหนูเรียนรู้จากฮูหยิน…
ซิ่วหยวนไม่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดกับจูหรุ่ยว่า “ไปพักผ่อนเถิด!”
“แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดี” จูหรุ่ยได้ยินดังนั้นก็กระวนกระวายใจ “เดิมทีฮูหยินก็อายุน้อยกว่าคุณหนูของพวกเรา ราวกับดอกไม้ที่ค่อยๆ เบ่งบานในทุกๆ วัน…แล้วยังมีหยางอี๋เหนียงผู้นั้นที่เข้าจวนมาใหม่ ไม่เพียงแต่อ่อนหวานและมีเสน่ห์ ซ้ำยังเข้ากับทุกคนได้ดี เป็นคนมีไหวพริบ ไม่เพียงแต่สามารถทำให้ฮูหยินมีความสุข แม้แต่เหวินอี๋เหนียงกับฉินอี๋เหนียงพอได้พบนางก็คุยไปหัวเราะไป…” ขณะที่พูดก็เหมือนกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาเปล่งประกาย ดึงซิ่วหยวนไปปรึกษาอยู่ด้านข้าง “คิดหาวิธีส่งจดหมายไปที่จวนเฉิงกั๋วกงดีหรือไม่ แม้ท่านโหวไม่เห็นแก่หน้าคุณหนูแต่ก็เห็นแก่หน้าเฉิงกั๋วกงอยู่บ้าง…”
“เจ้าอย่าก่อเรื่อง” ซิ่วหยวนรีบตัดบทสนทนาของจูหรุ่ย “ตั้งแต่ที่คุณหนูแท้ง เวลาเฉียวฮูหยินมาเป็นแขกที่จวนสวีก็ไม่เคยถามคุณหนูเลยสักครั้ง เจ้าจะไปล่วงเกินฮูหยินเพราะคุณหนูทำไม”
จู่ๆ จูหรุ่ยก็พูดไม่ออก
“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน” ซิ่วหยวนมองอิฐหินสีเขียวเหมือนกระจกขัดเงาที่อยู่ใต้เท้านาง “เรื่องประจบประแจงนั้น คุณหนูก็ไม่สู้ฉินอี๋เหนียง เรื่องเดาใจคน คุณหนูก็ไม่สู้เหวินอี๋เหนียง เรื่องรูปร่างหน้าตา คุณหนูก็ไม่สู้หยางอี๋เหนียง…ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกส่งไปอยู่ที่อารามต้าเจวี๋ย!”
******
สวีลิ่งอี๋สะบัดชุดคลุมขนสัตว์สีดำพลางเดินเข้ามา
“ข้างนอกหิมะตกแล้ว สีขาวโพลนไปหมดราวกับสรวงสวรรค์ เจ้าควรจะออกไปดูสักหน่อย!”
เมื่อหิมะได้เจอกับความร้อนจากในตัวเรือนก็จะละลายกลายเป็นหยดน้ำแล้วหยดลงบนอิฐหินสีเขียว
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงลุกขึ้นมารับเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำจากมือเขา ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ตอนกลับมาจากเรือนท่านแม่ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดครู่เดียวหิมะก็ตกเสียแล้ว”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางกำลังเช็ดผมก็ช่วยนางสางผมเบาๆ มีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกกุหลาบลอยมาแตะที่ปลายจมูก “อากาศเย็นเช่นนี้ยังจะสระผมอีก”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วส่งเสื้อคลุมให้สาวใช้น้อย กำชับบรรดาสาวใช้น้อยให้ไปตักน้ำมาปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตา “สระผมแล้วทำให้รู้สึกสบายยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ”
พอสระผมแล้วกลิ่นน้ำอบกุหลาบก็คละคลุ้งทั่วไปหมด
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม มองดวงตาของนางที่เปล่งประกาย เอื้อมมือไปสัมผัสที่ใบหูขาวโค้งมนของนางเบาๆ ก่อนที่จะหันหลังเดินเข้าไปในห้องชำระ
ใบหน้าของสืออีเหนียงแดงก่ำราวกับพระอาทิตย์ยามอัสดง
หู่พั่วรีบก้มหน้าแล้วเดินออกไป
“พี่หู่พั่ว ท่านทำข้าตกใจแทบแย่!” น้องสาวคนเล็กของว่านตาเสี่ยนรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ
นางถูกมอบหมายงานให้อยู่ที่เรือนของสืออีเหนียงเพื่อคอยรับใช้หู่พั่ว
หู่พั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนนี้พึ่งจะรู้สึกว่าหน้าผากของตัวเองนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แม้จะรูปงามราวกับนางฟ้าเหมือนอี๋เหนียงห้า แต่ก็มีช่วงเวลาที่ดีเพียงไม่กี่ปี ตนกลัวว่าฮูหยินจะทำให้ช่วงเวลาที่ดีนี้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์และสุดท้ายก็จบลงด้วยความว่างเปล่า…
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ฮูหยินกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
******
เหวินอี๋เหนียงนั่งลงเสียงดัง
“จริงหรือ!” การแสดงออกของนางเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่อยู่ “ท่านโหวกลับเรือนหลักแล้วหรือ”
ชิวหงพยักหน้า รู้สึกว่าเหวินอี๋เหนียงไม่สงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อนเมื่อได้ยินเรื่องเหล่านี้
หรือว่ายามปกติที่อี๋เหนียงมักพูดว่า ‘ไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับท่านโหว’ เป็นเพราะหมดปัญญา
แววตาของนางเผยให้เห็นถึงความสับสนอย่างอดไม่ได้
ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวราวกับเทียนที่สาดส่องมาทำให้เหวินอี๋เหนียงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
นางอดพึมพำไม่ได้ “ข้าก็ไม่ได้มีความหมายอื่น…ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เพราะไม่ตรงตามความปรารถนาของเขาจึงทำให้ถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี หลายปีมานี้ก็ไม่เคยให้อภัย…เฉียวเหลียนฝังผู้นั้นไม่สามารถรักษาทายาทของท่านโหวเอาไว้ได้ ต่อมาก็ยังไปล่วงเกินฮูหยิน แต่ครู่เดียวเขาก็ลืมไปแล้ว…พวกเราต่างก็เป็นอนุเหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงทำกับข้าต่างจากคนอื่นเช่นนั้น…” พูดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ฉับพลันรอยยิ้มอันภาคภูมิใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ทำกับทุกคนเหมือนกัน เท่านี้ในใจข้าก็รู้สึกสงบแล้ว”
ชิวหงได้ฟังก็อ้างปากค้างทันที
เหวินอี๋เหนียงโบกมือ “ไปนอนได้แล้ว!”
สุดท้ายก็นอนหลับอย่างมีความสุข
******
ฉินอี๋เหนียงปิดปากหัวเราะ เสียงหัวเราะอู้อี้ที่ดังบ้างเบาบ้างเหมือนกับเสียงร้องของนกเค้าแมว ทำเอาชุ่ยเอ๋อร์ตกใจกลัว
นางอดเรียกด้วยความสงสัยไม่ได้ “อี๋เหนียงเจ้าคะ”
ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าฉินอี๋เหนียงจะหยุดหัวเราะ
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เจ้าไปนอนเถิด!”
ชุ่ยเอ่อร์เห็นว่าแววตาของนางเต็มไปด้วยความสุข สัมผัสได้ว่านางมีความสุขมากจริงๆ จึงย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง
ฉินอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นทันทีแล้วเข้าไปที่เรือนหน่วนเก๋อ
“พระโพธิสัตว์ ท่านทำให้คำอธิฐานของข้าเป็นจริง” นางสวมชุดลำลองพลางคุกเข่าลงบนเบาะรอง “ตอนนี้ท่านโหวไม่สงสารเฉียวเหลียนฝังอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้…” เสียงกระซิบพึมพำของนางจางหายไปในควันที่จุดบูชาพระพุทธรูป