คนตัวเล็กดูตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินเรื่องขบวนแห่ราตรีร้อยอสูร และเริ่มกระโดดโลดเต้นอยู่ด้านหลังของชายคนนั้น กลุ่มหมอกสีดำที่ก่อตัวขึ้นจากปราณแห่งความโกรธแค้นแผ่ออกมาจากขวดน้ำเต้าที่เขาถืออยู่ “ข้าอยากชมขบวนแห่ราตรีร้อยอสูรขอรับ! อา ข้าเข้าใจแล้ว นางจะกลับมาแค่ช่วงที่มีขบวนแห่ราตรีร้อยอสูรใช่หรือเปล่าขอรับ?!”
ชายคนนั้นส่งเสียงตอบรับในลำคออีกครั้ง ก่อนน้ำเสียงทุ้มลึกของเขาจะค่อยๆ หายไปในสายลมอันบางเบา…
ย่านการค้ายิ่งคึกคักเมื่อยามค่ำคืนใกล้เข้ามา อวิ๋นปี้ลั่วยืนอยู่ที่ห้องรับรองของชั้นหนึ่ง นางไม่เหมือนกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ เพราะนางไม่แสดงท่าทางเหนือกว่าออกมา และนางยังอ่อนโยนกว่าใครๆ
ดังนั้นนางจึงแฝงตัวเข้าไปปะปนกับทุกคนได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งยังเป็นเพราะนางสุขภาพไม่ค่อยดี ใบหน้าของนางถึงได้ดูซีดเซียวอยู่เสมอ และทำให้คนอื่นๆ รู้สึกว่าพวกเขาต้องทะนุถนอมนาง
ด้วยเหตุนี้บรรดาลูกศิษย์จากหอชั้นเลิศจึงปวดใจยิ่งนักเมื่อพวกเขาเห็นว่านางกำลังพยายามกลั้นน้ำตาอยู่
สาเหตุสำคัญนั้นเป็นเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางในเวลานี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังจะเลือกพระสนมของตนนั่นเอง
“ฝ่าบาท มันเป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ” อวิ๋นปี้ลั่วมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยดวงตาคู่งามที่คลอไปด้วยหยดน้ำตา “ท่านจะลงโทษหม่อมฉันอย่างไรก็ได้ แต่ได้โปรดอย่าเมินเฉยต่อหม่อมฉันเลยเพคะ”
อวิ๋นปี้ลั่วมีเพื่อนจากหอชั้นเลิศมาด้วยอีกสองสามคน พวกเขาตั้งใจว่าจะมาดื่มชากันที่หอน้ำชา แต่พวกนางคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับองค์ชายสามเข้า
จากคำพูดของพี่อวิ๋น ดูเหมือนว่านางจะมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับองค์ชายสามจริงๆ… ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาลือกันว่าพี่อวิ๋นเป็นคนพิเศษสำหรับองค์ชายสาม
พวกเขาคิดว่าข่าวลือเหล่านั้นเป็นเรื่องโกหกหลังจากได้เห็นว่าองค์ชายสามปฏิบัติต่อพี่อวิ๋นอย่างเย็นชาเพียงใด
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าความเย็นชาที่องค์ชายสามมีต่อพี่อวิ๋นนั้นจะมาจากการที่เขายึดติดกับอดีตของเขากับนางมากเกินไป
เพราะความซื่อสัตย์ของอวิ๋นปี้ลั่วกับความไม่แยแสขององค์ชายสาม บรรดาคนที่เห็นเหตุการณ์จึงรู้สึกเป็นห่วงยิ่งนัก
“ไปให้พ้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดเสียงเบาราวกับเขาไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
อวิ๋นปี้ลั่วน้ำตาคลอ แต่นางก็อดกลั้นไม่ให้น้ำตาของนางไหลลงมา นางมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความดื้อรั้น นางรู้ว่าเขาชอบผู้หญิงที่เชื่อฟังคำพูดของเขามาตั้งแต่เด็ก
แต่มีแค่คนที่กล้าท้าทายเขาเท่านั้นที่จะทำให้เขารู้สึกอยากเอาชนะได้
“หม่อมฉันต้องทำอย่างไร ฝ่าบาทถึงจะให้อภัยหม่อมฉันหรือเพคะ”
ขณะที่เอ่ยเช่นนั้น สายตาของนางก็มองผ่านไปทางด้านหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล็กน้อย ก่อนมันจะเป็นประกายขึ้นในทันใด น้ำเสียงของนางนุ่มนวลยิ่งกว่าที่เคย อีกทั้งยังเผยรอยยิ้มอันเจิดจ้าให้เขาอีกด้วย “หม่อมฉันจะไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าฝ่าบาทจะยอมยกโทษให้หม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันจะคอยอยู่ข้างกายและปกป้องพระองค์เสมอ”
เสียงของอวิ๋นปี้ลั่วไม่เบาไปเสียทีเดียว หลายคนถึงกับรู้สึกประทับใจกับคำพูดของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังเดินเข้ามาในหอน้ำชาพร้อมกับเฮยเจ๋อก็ได้ยินนางเช่นกัน
เฮยเจ๋อฟังสิ่งที่นางพูดยิ้มๆ แล้วหันหน้าไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ข้างๆ “เจ้าจะไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้จริงๆ หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่กลางห้องรับรองด้วยสีหน้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงขณะที่ความเจ็บปวดทิ่มแทงเข้ากลางใจ นางข่มมันเอาไว้ และไม่คิดที่จะหยุดฝีเท้าลงแต่อย่างใด ต่อให้นางจะพบเข้ากับภาพที่ไม่อยากเห็นก็ตาม แต่นางก็จะไม่ทำให้แผนการของตัวเองล่ม นางยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเดินหน้าต่อราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางไม่สำคัญกับนางแต่อย่างใด
เฮยเจ๋อยิ้มอย่างซุกซน แล้วเดินตามหลังนางไปติดๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนหันหลังให้กับทางเข้า จึงไม่ทันสังเกตเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของเขาดำขลับราวกับรัตติกาล มันเฉยชา แต่ก็สง่างาม
ความตื่นตระหนกพุ่งเข้ามาในใจของอวิ๋นปี้ลั่ว สายตาของนางเป็นประกายเล็กน้อยราวกับเพิ่งคิดอะไรได้ จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นแล้วเริ่มโบกมือให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย “เวยเวย!”
นางดูเป็นมิตรอย่างมาก คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าพวกนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
อีกด้านหนึ่งนั้น ในที่สุดใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เริ่มปรากฏอารมณ์ออกมาเมื่อเขาได้ยินชื่อของนาง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเลิกคิดที่จะเดินออกไป เขาหันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนเป็นอันดับแรก สายตาของเขาเริ่มคุกรุ่นขึ้นเมื่อเห็นเฮยเจ๋อยืนอยู่ข้างนาง ดวงตาดำขลับราวน้ำหมึกที่ทำให้สาวๆ คลั่งไคล้นั้นจมลงทันที…
ในเวลานั้นอวิ๋นปี้ลั่วเดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว นางถามขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง ริมฝีปากล่างของนางเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม แต่สายตาของนางกลับเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้นางเคยบอกอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้วว่าอย่าแสร้งทำเป็นสนิทสนมกับนาง
อวิ๋นปี้ลั่วทำราวกับว่านางลืมเรื่องนั้นไปจนหมดสิ้น และเริ่มพูดคุยกับนางต่อ รอยยิ้มของนางยิ่งดูอ่อนหวานเมื่อสายตาของนางไปหยุดอยู่ที่เฮยเจ๋อ “วันนั้นข้าเห็นเวยเวยลงจากรถม้าของคุณชายเฮย มาวันนี้ข้าก็ได้พบคุณชายเฮยอีก พวกเราคงมีชะตาต้องกันจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเงียบ นางจ้องมองรอยยิ้มของอวิ๋นปี้ลั่วจนกระทั่งอวิ๋นปี้ลั่วไม่สามารถรักษารอยยิ้มเสแสร้งของตนได้อีกต่อไป นางอ้าปาก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แม่นางอวิ๋น เรื่องบางเรื่องเราก็ควรต้องรู้จักขอบเขตของตนเองเสียบ้าง”
พูดจบนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นางเดินผ่านอวิ๋นปี้ลั่วและ… ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ ไป
อวิ๋นปี้ลั่วมีงานอดิเรกคือการเล่นละคร แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากเล่นละครเรื่อง ’หญิงสาวผู้น่าสงสาร’ ร่วมกันกับนาง นางเดาว่าองค์ชายคงจะยินดีเก็บสาวใช้ที่เขาคอยปกป้องโดยไม่รู้ตัวเอาไว้ข้างตัวมากกว่า
แต่นางไม่เคยคิดที่จะปล่อยให้อวิ๋นปี้ลั่วรู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับเฮยเจ๋อ
นางพอจะเดากลอุบายของอวิ๋นปี้ลั่วออก ในเมื่อนางไม่สามารถหาผลประโยชน์อะไรจากนางได้ เช่นนั้นนางก็คงจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับนางแทน…
อวิ๋นปี้ลั่วมองด้านหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวยซึ่งไม่คิดที่จะไว้หน้านางแม้แต่นิดเดียว แล้วมุมปากของนางก็กระตุกขึ้น
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคว้าแขนของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ไม่ได้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที รอยยิ้มเล็กๆ ที่เคยอยู่บนใบหน้าของเขาหายไปจนหมดสิ้นราวกับว่ามันไม่เคยมีมาก่อน
เขารู้สึกเหมือนมีสำลียัดอยู่เต็มอก เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ การขยับแขนเสื้อของเขานั้นเผยความโหดเหี้ยมอันรุนแรงออกมา
เฮยเจ๋อที่รู้สึกถึงทุกอย่างนั้นได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เขาจงใจเหยียดยิ้มให้อีกฝ่าย
ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วย? ข้าล่ะกลัวว่าต่อไปในอนาคตนางอาจจะหมดหนทางหนีเข้าจริงๆ แผนการที่นางเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้านี้จะมีประโยชน์จริงหรือ
อาจเป็นเพราะเฮยเจ๋อหยุดเดินนานเกินไป เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงดึงเขาขึ้นบันไดไปชั้นบน สีหน้าของนางยังคงราบเรียบราวกับสายน้ำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังจะก้าวเข้าไปหานางทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา สายตาของเขาลึกล้ำราวกับไม่มีที่สิ้นสุด…
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วซ่อนนิ้วอันงดงามราวกับงาช้างของตนเอาไว้ใต้แขนเสื้อ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศเย็น หรือเป็นเพราะเขาออกมาข้างนอกนานเกินไป ปลายนิ้วของเขาถึงได้เย็นยะเยือกเพียงนี้
อาการนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเฮยเจ๋อ
นางดูไม่ได้ระแวดระวังเท่าในยามปกติ
แสงอันนุ่มนวลและอ่อนโยนแผ่ออกมาจากดวงตาที่เคยเย็นชาของเขา
เขาเข้าใจนาง
นางไม่เคยยอมให้ใครเข้าใกล้ตัวเองได้ถึงเพียงนี้หากนางไม่ได้ไว้ใจเขาอย่างที่สุด
แม้แต่ชื่อที่นางเผลอเรียกออกมาตอนเมาเมื่อครั้งก่อนก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับเฮยเจ๋อ
นางมีแต่ซุกซ่อนความลับของตัวเองเอาไว้เมื่อเผชิญหน้ากับเขา นางไม่เคยขอร้องให้เขาช่วย แม้กระทั่งตอนที่นางต้องการอะไร นางก็ยังเลือกที่จะไปหาคนนอกแทน…