ตอนที่ 408 เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลปรากฏตัว
หลินม่ายเขียนรายงานสั้นๆ ด้วยตัวเอง
เนื้อหารายงานก็คือ ห้างสรรพสินค้าที่ทำงานร่วมกับ Unique ร่วมกันบังคับฉีกสัญญา ขับไล่ Unique ออกจากห้าง
ยุคนี้ไม่มีเครื่องถ่ายเอกสาร นับประสาอะไรกับร้านถ่ายเอกสาร
หลังเขียนรายงานเสร็จ หลินม่ายจึงส่งให้เถาจืออวิ๋นใช้เครื่องโรเนียวในโรงงานจัดการ
เธอให้เสี่ยวหม่านและคนอื่นๆ ที่กำลังหยุดพักไปที่หน้าประตูห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงและหน้าที่ทำการเทศบาลเพื่อแจกใบปลิวให้กับทุกคนที่พบหน้าห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงและใครก็ตามที่ดูเหมือนผู้นำหน้าที่ทำการเทศบาล
แม้ว่าเครื่องโรเนียวจะต้องลงมือทำเอง แต่มันก็ทำออกมาได้รวดเร็ว
ผ่านไปกว่าชั่วโมง เถาจืออวิ๋นก็โรเนียวใบปลิวออกมาได้หนึ่งพันใบ
หลินม่ายรับมาสองร้อยใบและรีบไปที่ทะเลสาบไป๋กั่ว
ที่ว่าการมณฑลของเจียงเฉิงต้องข้ามแม่น้ำ แต่ที่ทำการเทศบาลไม่ต้องข้ามแม่น้ำ
เธอเลือกที่ที่ไกลที่สุดให้ตัวเอง ยกที่ที่ใกล้ที่สุดให้พวกเสี่ยวหม่าน
ตลอดการเดินทางของหลินม่ายล้วนใช้รถประจำทางและเรือข้ามฟาก เมื่อขึ้นรถลงเรือและรีบไปถึงที่ว่าการมณฑลก็เป็นเวลาใกล้เลิกงานแล้ว
ตำรวจติดอาวุธยืนอยู่ข้างตู้ยาม ในตู้ยามก็มีลุงยามนั่งอยู่คนหนึ่ง
แม้ว่าลุงยามกำลังนั่งจิบชาสบายอารมณ์ แต่ก็ยังเฝ้ามองคนที่เดินผ่านไปมาอย่างระแวดระวัง
เมื่อหลินม่ายไปถึงที่นั่นจึงรู้ว่า ผู้นำส่วนใหญ่จะเข้าออกโดยการนั่งรถยนต์ คนที่เดินหรือปั่นจักรยานจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ยศไม่สูง
เธอจึงรู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้ว
เดิมทีเธอต้องการมาแจกใบปลิวที่ประตูที่ว่าการเพื่อดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้นำ แต่ดูแล้วน่าจะยากหน่อย
เธอลองถามลุงยามเกี่ยวกับการขอเข้าพบผู้ว่าการมณฑล
เธอไม่รู้ชื่อผู้นำคนอื่นๆ รู้แค่ชื่อผู้ว่าการมณฑล
เนื่องจากเธอมักจะอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ ชื่อผู้ว่าการมณฑลมักจะปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นเธอจึงรู้ชื่อเขา
ท่าทางของยามเฝ้าประตูยังดูเป็นมิตร มองหลินม่ายหัวจรดเท้าแล้วถามว่า “ได้นัดผู้ว่าการมณฑลไว้ไหม?”
หลินม่ายไม่กล้าโกหกพวกเขาเหมือนตอนที่เจอกับผู้จัดการข่ง
เพราะที่นี่คือที่ว่าการมณฑล
เธอส่ายหน้าและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ค่ะ”
ยามเฝ้าประตูตอบว่า “ขอโทษจริงๆ ถ้าไม่ได้นัดไว้ ผมก็ให้คุณเข้าไปไม่ได้”
หลินม่ายทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแจกใบปลิวให้คนที่เธอเจอ หวังว่าเนื้อหาในใบปลิวจะได้ผ่านเข้าไปถึงหูของเหล่าผู้นำ ดึงดูดความสนใจของผู้บังคับบัญชาทั้งหลาย
คนเฝ้าประตูเห็นแล้วจึงเดินเข้ามา ถามด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “คุณแจกใบปลิวอะไร?”
หลินม่ายยื่นให้เขาหนึ่งแผ่น
เนื้อหาในใบปลิวของเธอไม่ได้ผิดกฎหมาย แค่บรรยายเกี่ยวกับการที่ร้าน Unique ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากห้างสรรพสินค้าต่างๆ
แม้ว่าการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมนี้จะมาจากเบื้องบน แต่เธอก็ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวว่ายามเฝ้าประตูเห็นแล้วจะไม่ชอบใจ
ยามเฝ้าประตูไม่เพียงแต่ไม่ชอบใจ ยังพูดด้วยความขุ่นเคืองอีกว่า “ห้างสรรพสินค้าของรัฐเหล่านี้ไม่ส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่น ยังคุกเข่าเลียนายทุนต่างชาติ แบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
หลินม่ายใช้โอกาสนี้พูดว่า “คุณลุงคะ คุณสามารถเอาเรื่องนี้ไปรายงานผู้บังคับบัญชาได้ไหมคะ?”
ยามเฝ้าประตูส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “ผมเป็นคนเฝ้าประตูตัวเล็กๆ ไม่กล้าไปรบกวนหัวหน้าหรอก”
หลินม่ายเองก็ไม่ได้หวังมากนัก ดังนั้นเมื่อถูกปฏิเสธจึงยอมรับโดยไม่โต้เถียง
เธอก็แค่ไม่อยากปล่อยความหวังอันน้อยนิดไป จึงขอให้ลุงคนเฝ้าประตูช่วยเธอ
เธอยิ้มและส่ายหน้าตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ มีคนช่วยก็โชคดีไป ไม่มีคนช่วยก็เป็นเรื่องธรรมดา”
พูดจบก็แจกใบปลิวต่อไป
หลังแจกไปได้หลายสิบแผ่น ทันใดนั้นเธอก็เห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่
นั่นก็คือ รถยนต์ในปัจจุบันนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แล้วตอนนี้อากาศก็ร้อนมาก เพื่อรับอากาศเย็น เหล่าผู้นำจึงต้องเปิดกระจกหน้าต่าง เธอจึงเสี่ยงยัดใบปลิวเข้าไปในนั้น
หลินม่ายคิดแล้วก็ทำ
เธอยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของที่ว่าการมณฑล ทุกครั้งที่มีรถเข้าออก ก็จะถือโอกาสที่รถชะลอความเร็วตรงหน้าประตูรีบยัดใบปลิวเข้าไป
เธอหน้าตาดี อายุยังน้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส การยัดใบปลิวเข้าไปในรถจึงไม่ได้ทำให้เหล่าผู้บัญชาการขุ่นเคืองใจ
มีเพียงลุงเฝ้าประตูเท่านั้นที่วิ่งเข้ามาไล่เธอ ไม่ให้เธอรบกวนผู้นำเหล่านี้
แต่เหล่าผู้บัญชาการใจดีมาก พูดกับคนเฝ้าประตูว่า “สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร คุณอย่าไปไล่หล่อนเลย”
คนเฝ้าประตูได้ฟังดังนั้นกลับไปยืนข้างเจ้าหน้าที่ติดอาวุธและแอบยกนิ้วโป้งให้เธอเงียบๆ
หลินม่ายส่งยิ้มเพื่อแสดงความขอโทษให้เขา
การที่เธอยัดใบปลิวเข้าไปในรถของผู้นำแบบนี้อาจจะทำให้คนเฝ้าประตูโดนตำหนิได้ แต่ลุงยามก็ไม่ได้โกรธเธอแต่อย่างใด
หลินม่ายยังแจกใบปลิวสองร้อยใบไม่ครบ ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ แต่งตัวคลาสสิกเหมือนข้าราชการก็วิ่งเข้ามา โบกมือให้เธอและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สาวน้อย ตามฉันมา เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลต้องการพบเธอ”
หลินม่ายรู้สึกปลาบปลื้ม ไม่คิดเลยว่าใบปลิวที่ตัวเองแจกไปจะทำให้ได้รับความสนใจจากเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลเร็วขนาดนี้
เธอเดินตามหลังข้าราชการคนนั้นอย่างกระตือรือร้นมาจนถึงห้องทำงานของท่านเลขาธิการ
แม้ว่าห้องทำงานของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลจะใหญ่ แต่ก็เรียบง่ายมาก
นอกจากชั้นหนังสือ โต๊ะทำงานและชุดโซฟาไม้ รวมทั้งตู้สำหรับเก็บกาน้ำชาและแก้วแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีกเลย
หลินม่ายจำเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลได้อย่างรวดเร็ว
ตอนที่เธอยัดใบปลิวเข้าไปทางหน้าต่าง เขาเป็นคนแรกที่บอกกับคนเฝ้าประตูว่าไม่ต้องทำให้เธอลำบาก
เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลแต่งตัวอย่างเรียบง่าย
ถ้าเดินอยู่ตามถนนก็คงดูไม่ออกว่าเป็นผู้นำ รู้แค่เพียงเป็นคนมีการศึกษาเท่านั้น
ท่านเลขาธิการกำลังอ่านใบปลิว
เมื่อเห็นหลินม่ายเดินเข้าไป เขาก็วางใบปลิวลง เชิญให้เธอนั่งอย่างสุภาพมาก
เขาชูใบปลิวขึ้นและถามอย่างตรงประเด็น “เกิดอะไรขึ้น คุณอธิบายให้ผมฟังอย่างละเอียดได้ไหม?”
หลินม่ายนั่งลงบนโซฟาไม้อย่างระมัดระวัง ขณะข้าราชการที่พาเธอมาเมื่อครู่ยกน้ำชาเข้ามาให้
หลินม่ายเดาว่าเขาคงเป็นเลขาของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑล
เธอลุกขึ้นด้วยความเกรงใจ รับชามาและกล่าวขอบคุณ เมื่อนั่งลงแล้วจึงตอบคำถามของท่านเลขาธิการ
“เรื่องเป็นแบบนี้ค่ะ Unique ของฉันทำงานร่วมกันกับห้างสรรพสินค้าในเจียงเฉิงทั้งหมด แต่แค่ระยะเวลาในการทำงานร่วมกันบางที่ก็นานหน่อย บางที่ก็ไม่นานมากค่ะ ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะทำงานกับห้างสรรพสินค้าไหนพวกเราก็ปฏิบัติตามกฎ ไม่เคยทำผิดอะไร แต่กลับถูกห้างสรรพสินค้าในเจียงเฉิงร่วมมือกันถอดร้านออกโดยไม่มีเหตุผล ว่ากันว่าห้างใหญ่มีนายทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ทุกห้างจึงต้องไล่กิจการของฉันออกไป แต่โรงงานเสื้อผ้าอื่นๆ ของรัฐกลับไม่มีปัญหา”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นรู้สึกผิดอย่างมากและพูดต่อ
“ฉันอ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ อ่านข่าวอยู่ตลอดก็เลยรู้ว่า เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในตอนนี้จึงต้องดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามา ฉันสนับสนุนนโยบายของชาติอย่างสุดตัวแน่นอน ปัญหาก็คือ แม้ว่าร้านเสื้อผ้าของนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนทุกห้างในเจียงเฉิง แต่ก็ยังมีที่ว่างสำหรับร้านเสื้อผ้าของฉันให้ขายที่นั่นต่อไป แต่พวกเขากลับต้องการให้ฉันย้ายออก นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจค่ะ หรือเป็นเพราะว่าธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติเสียภาษี แต่ธุรกิจส่วนตัวท้องถิ่นของฉันไม่เสียภาษีเหรอคะ? ฉันไม่เพียงแต่เสียภาษีเท่านั้น ธุรกิจของฉันยังรับคนพิการเข้ามาทำงานด้ว ดังนั้นฉันจึงคิดไม่ออกเลยว่า ฉันเองก็สร้างรายได้ให้มณฑลเหมือนกัน ทำไมนักลงทุนต่างชาติเข้ามาแล้วถึงยอมให้เกิดสถานการณ์แบบนี้กับกิจการของฉันได้ ทำไมทางห้างถึงต้องไล่ฉันออกไปล่ะคะ?”
ท่านเลขาธิการได้ฟังแล้วพูดอย่างจริงจัง “ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน!”
เขาเอ่ยสั่งเลขาของตัวเอง “ตอนนี้คุณโทรศัพท์หาห้างสรรพสินค้าในนามของผมที ถามพวกเขาว่าทำไมต้องถอดร้านเสื้อผ้าของสาวน้อยคนนี้ออกไปด้วย?”
เลขาออกไปโทรศัพท์เพียงครู่หนึ่งแล้วกลับมารายงานให้ท่านเลขาธิการทราบ “ทุกห้างบอกว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาจะให้ Unique ออกไป แต่เป็นคำสั่งของเบื้องบนครับท่าน”
โทรศัพท์สมัยนี้ถูกดักฟังได้ง่ายมาก
เมื่อครู่ตอนที่เลขาโทรคุยกับห้างต่างๆ ท่านเลขาธิการและหลินม่ายก็ได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อรู้ว่าเป็นผู้อำนวยการหูจากคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีนที่ออกคำสั่งนี้ ท่านเลขาธิการก็โมโหมาก สั่งเลขาว่า “ตอนนี้คุณโทรกลับไปบอกห้างต่างๆ ว่าเป็นคำสั่งของผม ไม่ให้ไล่ร้าน Unique ของหล่อนออก คนมีสัญญากัน ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องถูกขับไล่ด้วย? อีกทั้งหล่อนยังจ่ายภาษีและช่วยเหลือคนพิการให้มีงานทำ ช่วยเหลือสังคม เราจึงไม่มีเหตุผลที่จะไล่หล่อนออกไป”
หลินม่ายนึกดีใจอยู่ในใจ การที่เธอตั้งใจช่วยเหลือคนพิการให้มีงานทำ นับว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริง
ท่านเลขาธิการเงียบลงครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “โทรหาห้างสรรพสินค้าในเจียงเฉิงเสร็จแล้วก็โทรหาผู้อำนวยการหู ให้เขารีบมาหาฉันที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เลขาตอบรับและเริ่มโทรศัพท์ทันที
หลินม่ายนั่งอยู่ด้านข้างได้ยินอย่างชัดเจนจากในสายว่าห้างสรรพสินค้าตกปากรับคำว่าจะไม่ไล่ Unique ออกไป จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในใจคิดว่าสุดท้ายวิกฤติก็คลี่คลายแล้ว
เมื่อเลขาวางสายก็พูดกับหลินม่ายว่า “ปัญหาของคุณคลี่คลายแล้ว”
หลินม่ายยืนขึ้นแสดงความขอบคุณแก่เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑล
ท่านเลขาธิการโบกมือ “เป็นคนของเราเองที่ทำงานได้ไม่ดี ทำให้คุณต้องเดือดร้อนแล้ว”
หลินม่ายรีบส่ายหน้า “ไม่เลยค่ะ ไม่เลย!” จากนั้นจึงกลับไป
ส่วนเรื่องที่ว่าท่านเลขานุการจะตำหนิผู้อำนวยการหูอย่างไร เธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด เธอแค่ต้องการทำงานของตนเองให้ดีก็เท่านั้น
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลุ้นมากว่าจะพลิกวิกฤตได้ไหม สุดท้ายก็พลิกได้ ยินดีด้วยนะคะม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)